เพราะความฝันในวันนั้นทำให้เสิ่นลี่จูรู้สึกว่าภายในใจไม่ค่อยจะสงบเท่าใดนัก การเข้ามาในนิยายเรื่องนี้มีภารกิจที่นางต้องทำมากมาย ทั้งเรื่องของเจิ้งจิ่งเหอ และอาจจะต้องช่วยหาเบาะแสการตายของเสิ่นอ้ายเยว่ที่ยังคงเป็นปริศนา ดูเหมือนว่าวิญญาณของสตรีนางนั้นจะไม่ได้รับความเป็นธรรม และต้องการให้นางช่วยทวงคืนความเป็นธรรมให้
แต่จะเริ่มจากตรงที่ใดก่อนดีเล่า
การหาตัวฆาตกรไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางไม่ใช่คนในยุคนี้ ไม่ได้รู้จักใครที่จะพอช่วยได้เลยด้วยซ้ำ สิ่งที่นางจะทำได้ก็คือ การไปเยือนจวนตระกูลเสิ่นสักครั้ง อย่างไรคงต้องเริ่มจากที่นั่น
แต่ว่าการจะออกจากวังหลวงย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
เสิ่นลี่จูครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเจ้าของร่างเดิมทีมีวรยุทธ์สูงส่ง เสิ่นลี่จูจึงลองฝึกฝนอย่างง่าย ๆ โดยการใช้มีดสั้นและฝึกยิงธนู เหาะเหินขึ้นต้นไม้ ก่อนที่นางจะต้องร้องว้าวด้วยความดีใจ เพราะร่างนี้ช่างมีความสามารถเป็นอย่างมาก
นับว่าเป็นเรื่องที่ดี
ยามเช้าของวันนี้อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นมากแล้ว เพราะเข้าสู่ช่วงปลายฤดูหนาว อีกไม่นานก็จะถึงวันปีใหม่ ทุก ๆ ที่ในเมืองหลวงล้วนจัดงานเฉลิมฉลองต้อนรับปีใหม่กันอย่างครื้นเครง แม้แต่ในวังหลวงยังประดับประดาโคมไฟอย่างงดงามหลายที่ เสิ่นลี่จูพาเมี่ยวเถียนและนางกำนัลไปเดินเล่นที่อุทยานหลวงซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตำหนักของนางเท่าใดนัก ที่นี่มีดอกเหมยที่ออกดอกบานสะพรั่งดูงดงามเป็นอย่างมาก หิมะที่ตกโปรยปรายอาบย้อมทั่วทุกพื้นที่จนกลายเป็นสีขาวบริสุทธิ์สะอาดตา
เดินเล่นอยู่นาน เสิ่นลี่จูก็ได้พบกับสตรีน้อยนางหนึ่ง เมื่อสอบถามจากนางกำนัลก็ได้ทราบว่า สตรีใบหน้าพริ้มเพรานางนั้นมีนามว่าเจิ้งหมี่ เป็นองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวในวังหลวง และยังเป็นน้องสาวที่เจิ้งจิ่งเหอทรงรักใคร่มากที่สุด เสิ่นลี่จูพินิจมองสตรีน้อยตรงหน้าที่มีอายุราวสิบสี่ถึงสิบห้าปีคราหนึ่ง พบว่าใบหน้าของนางมีส่วนคล้ายคลึงกับเจิ้งจิ่งเหอถึงแปดในสิบส่วน พี่ชายหล่อเหลาเช่นไร น้องสาวก็งดงามหยาดเยิ้มไม่ต่างกัน
เจิ้งหมี่เองก็เหมือนจะรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังจ้องมองนางอยู่ หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะสบสายตาเข้ากับเสิ่นลี่จู
ก่อนหน้านี้นางพอจะทราบเรื่องที่พี่ชายรับสนมเข้าวังหลวงมาบ้างแล้ว เดิมทีพี่ชายของนางมีใจรักใคร่ในตัวเสิ่นอ้ายเยว่ บุตรสาวที่เกิดจากอนุของจวนตระกูลเสิ่น แต่นางกลับโชคร้ายต้องตกตายจากไป อีกทั้งยังทรยศพี่ชายของนางด้วยการลอบมีสัมพันธ์กับชายอื่นจนตั้งครรภ์ พี่ชายของนางจึงมีรับสั่งให้เรียกตัวเสิ่นลี่จูเข้าวังหลวงมาแทนพี่สาวของตน เรื่องนี้นางไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก และไม่ได้อยากสนทนาพาทีกับเสิ่นลี่จูเท่าไร
แต่เมื่อยามนี้ได้พบเจอกันแล้วย่อมหลีกเลี่ยงไม่สนทนาคงไม่ได้ หากนับกันตามศักดิ์ฐานะแล้ว เสิ่นลี่จูก็คือพี่สะใภ้ของนาง
"พี่สะใภ้"
เจิ้งหมี่เดินเข้ามาทักทายเสิ่นลี่จูด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร เสิ่นลี่จูเองก็ยิ้มตอบเช่นเดียวกัน
"พี่สะใภ้เข้าวังหลวงมาหลายวันแล้ว แต่เรายังไม่เคยได้สนทนากันเสียที น้องเพียงเคยเห็นท่านในระยะไกล ๆ วันนี้ได้เจอหน้ากันแล้ว พี่สะใภ้ช่างงดงามยิ่งนัก"
เสิ่นลี่จูยิ้มให้เจิ้งหมี่ นางไม่ได้รู้สึกหลงใหลได้ปลื้มหรืออยากยกยอตนเองเพียงเพราะคำชมเล็กน้อยเหล่านี้
"องค์หญิงทรงตรัสชมเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงนางสนมเล็ก ๆ ไม่คู่ควรให้พระองค์ต้องเอ่ยชมถึงเพียงนี้"
"พี่สะใภ้อย่าได้ถ่อมตน น้องชมท่านจากใจจริง พี่สะใภ้มาเดินเล่นหรือ เช่นนั้นก็ตามสบายเถิด น้องกำลังจะกลับตำหนักพอดีเพคะ"
"น้อมส่งองค์หญิง"
เสิ่นลี่จูเอ่ยตอบด้วยท่าทีไม่ห่างเหินและไม่สนิทสนม แต่ทว่าแววตาคู่งามกลับจับจ้องแผ่นหลังของเจิ้งหมี่อย่างไม่ลดละ เมื่อคนจากไปแล้วนางก็มีท่าทีครุ่นคิด
องค์หญิงผู้นี้ภายนอกดูงดงามอ่อนหวาน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงรู้สึกว่าแววตาและรอยยิ้มของเจิ้งหมี่ยามมองมาที่นางนั้นดูแข็งกระด้างชอบกล ราวกับรอยยิ้มเหล่านั้นซุกซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้
หรือว่านางอ่านนิยายเกี่ยวกับวังหลวงมากเกินไป จนเก็บเอามาหวาดระแวงกันนะ
แต่นางรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ การที่นางระแวดระวังตนเองไว้ก็นับว่าเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ
บางทีนางอาจจะคิดมากเกินไป นางและเจิ้งหมี่ไม่ได้เป็นศัตรูกัน อีกทั้งนางยังเป็นสนมของเจิ้งจิ่งเหอ ย่อมไม่มีเหตุผลที่เจิ้งหมี่จะไม่ชอบใจในตัวนาง นอกเสียจากว่าเจิ้งจิ่งเหอจะเป่าหูน้องสาวตนให้ชิงชังนาง หากเป็นเช่นนั้นก็ดูจะสมเหตุสมผลเสียมากกว่า
เมื่อเดิินเล่นจนเบื่อแล้ว เสิ่นลี่จูจึงกลับตำหนักมาพักผ่อน นางวางแผนว่าคืนนี้จะหาทางออกจากวังหลวงอย่างเงียบ ๆ มุ่งหน้าไปที่จวนตระกูลเสิ่นเผื่อจะได้เบาะแสใดบ้าง ก่อนหน้านี้นางลองถามเมี่ยวเถียนถึงเรื่องของของเสิ่นอ้ายเยว่แล้ว แต่กลับไม่ได้ความอันใดมากนัก มิสู้นางลงแรงสืบหาความจริงเองจะดีกว่า เผื่อจะได้เรื่องได้ราวมากกว่านี้
ตกดึกคืนนั้น ในขณะที่บรรยากาศรอบด้านเงียบสงัด เสิ่นลี่จูก็ปลอมตัวออกมาจากวังหลวง นางสวมชุดสีดำและใช้ผ้าปิดบังใหน้า หญิงสาวกระโดดลัดเลาะมาตามกำแพงวังหลวงหลบสายตาของเหล่าทหารองครักษ์จนสามารถออกมาจากวังหลวงได้ แต่ก็ค่อนข้างทุลักทุเลเป็นอย่างมาก
จวนตระกูลเสิ่นตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ก่อนถึงตลาดใหญ่
เสิ่นลี่จูมีสีหน้าครุ่นคิด หลังจากที่นางทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างนี้ นางก็ไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมโดยรอบเท่าใดนัก แต่นางจำได้จากการอ่านนิยายว่าจวนตระกูลเสิ่นตั้งอยู่ทางใดจึงเดินลัดเลาะมาตามเส้นทางที่พอจะจำได้ จนพบกับป้ายหน้าจวนที่เขียนว่าจวนตระกูลเสิ่น นางจึงพรูลมหายใจออกมากด้วยความโล่งอก
ถึงเสียที!
ไม่รอช้า นางรีบกระโดดทะยานเข้าไปในจวนตระกูลเสิ่นอย่างเงียบเชียบ ใช้ความรู้ที่ได้อ่านมาจากนิยายจับทิศทางภายในจวนเพื่อหาทางหนีทีไล่ เดิมทีที่นี่ก็คือบ้านของนาง หากถูกจับได้อย่างไรก็ไม่มีปัญหา เพียงแต่นางอยากสืบเรื่องนี้อย่างเงียบ ๆ
เสิ่นลี่จูเดินไปหยุดอยู่ที่ใต้ต้นดอกเหมยซึ่งเป็นสถานที่ที่เสิ่นอ้ายเยว่ใช้เชือกแขวนคอเพื่อปลิดชีพตน เมื่อเสิ่นลี่จูเงยขึ้นไปมองบนต้นดอกเหมยก็ให้รู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมาเล็กน้อย นางจึงละสายตาจากต้นดอกเหมย ก่อนจะตรงไปที่เรือนของอนุซ่ง มารดาของเสิ่นอ้ายเยว่ในทันที
เรือนของอนุซ่งตอนนี้มืดสนิทคาดว่ายามนี้เจ้าของเรือนคงจะหลับไปแล้ว มีเพียงสาวใช้เฝ้าอยู่หน้าประตูเรือนเพียงคนเดียว อย่างไรก็เป็นเพียงอนุความเป็นอยู่จึงไม่ได้ดีเท่าใดนัก เสิ่ี่นลี่จูมองซ้ายมองขวา ก่อนจะเดินเข้ามาไปในเรือนของอนุซ่งอย่างเงียบเชียบ
นางไม่แน่ใจว่าห้องนอนของเสิ่นอ้ายเยว่นั้นอยู่ตรงไหน จึงลองสำรวจดูทุกห้องอย่างเร่งรีบ จนกระทั่งมาถึงห้องหนึ่ง ซึ่งมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของกำยานกลิ่นสาลี่ นางจำได้ว่าเสิ่นอ้ายเยว่ชื่นชอบกำยานกลิ่นนี้มาก นางจึงคาดเดาได้ว่าห้องนี้่คงจะเป็นห้องนอนของเสิ่นอ้ายเยว่ บางทีอาจเพราะอนุซ่งคิดถึงบุตรสาวจึงจุดกำยานนี้เอาไว้ภายในห้อง เสมือนว่าเสิ่นอ้ายเยว่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้ตายจากไปที่ใด เพื่อหลอกตนเองไปวันต่อวัน
เสิ่นลี่จูรู้สึกเวทนาในชะตาชีวิตของสองแม่ลูกคู่นี้ยิ่งนัก
บางคราเบาะแสการตายของเสิ่นอ้ายเยว่อาจจะอยู่ในห้องนี้
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเสิ่นลี่จูจึงเข้าไปในห้องนอนของเสิ่นอ้ายเยว่อย่างเงียบเชียบ ในขณะที่นางกำลังเดินเข้ามาและกำลังจะปิดประตู ก็ถูกใครบางคนกระชากตัวจากทางด้านหลัง ก่อนที่เขาจะล็อคคอนางและใช้มีดสั้นจ่อเอาไว้ที่ลำคอขาวเนียนของนางอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระซิบเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
"เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงแฝงตัวเข้ามาในห้องของเสิ่นอ้ายเยว่ยามวิกาลเช่นนี้ หรือว่าเจ้าคือฆาตกรที่สังหารนาง!"
เสิ่นลี่จูตัวแข็งทื่อพลางชำเลืองมองปลายมีดสีเงินแวววาวที่จ่อคอตนคราหนึ่ง นางพยายามตั้งสติอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสลัดตัวจนหลุดออกจากการเกาะกุมของชายปริศนา แต่เพราะไม่ทันระวังทำให้ผ้าปิดหน้าของนางร่วงหล่น แสงจันทร์จากด้านนอกหน้าต่างส่องเข้ามาสลัวราง ทำให้ชายปริศนามองเห็นใบหน้าสวยหวานของสตรีตรงหน้าได้อย่างชัดเจน
"เสิ่นลี่จู สตรีชั่ว เจ้าถึงกับกล้าหนีออกจากวังหลวงยามวิกาลเชียวหรือ"
เสิ่นลี่จูขมวดคิ้วมุ่น ก่อนที่นางจะยกมือขึ้นปิดปากตนด้วยความตกใจ เสียงนี่มัน
"ฝ่าบาทหรือเพคะ!"
ยามนี้ทหารกบฏตายหมดสิ้นแล้ว อู๋อ๋องถูกตัดศีรษะ แต่ทว่าเจิ้งจิ่งเหอกลับหาตัวของเจิ้งมู่หยางไม่พบเวลาเดียวกันนั้น เสิ่นฮูหยินก็มาแจ้งว่า เสิ่นลี่จูหายตัวไปตั้งแต่กลางดึกแล้ว นางส่งคนออกตามหาแต่กลับไม่พบตัวคนเจิ้งจิ่งเหอและกู้อวิ๋นหานตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เขาสั่งคนออกตามหาเสิ่นลี่จูแต่กลับไร้วี่แวว เจิ้งจิ่งเหอคิดว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวพันกับเจิ้งมู่หยางเป็นแน่เมื่อหาเสิ่นลี่จูไม่พบ เจิ้งจิ่งเหอก็ไม่เป็นอันทำสิ่งใด เขาเหมือนคนคลุ้มคลั่ง ในขณะที่กำลังสิ้นหวังเต็มที เขาก็เหลือบไปเห็นว่าบนโต๊ะมีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ บนกระดาษมีข้อความเขียนเอาไว้คนรักของเจ้าอยู่ที่ป่าไผ่รกทึบ ห่างจากจวนตระกูลเฉิงไปไม่ไกล ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีร่องรอยของการขุดฝัง รีบไปก่อนจะไม่ทันการณ์เจิ้งจิ่งเหอกำจดหมายนั้นเอาไว้แน่น เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งมา แต่ยามนี้ทางใดที่เหมือนแสงสว่างเขายินดีทำทั้งหมด กู้อวิ๋นหานเมื่อได้ทราบข่าวจากเจิ้งจิ่งเหอก็รีบไปช่วยตามหา แม่ทัพใหญ่เสิ่นนั้นก็เร่งตามไปเช่นเดียวกันชายหนุ่มทั้งสองมายังจุดที่จดหมายปริศนาบอกเอาไว้ เขาตรงไปที่ต้นไม้ใหญ่และพบร่องรอยการขุดดินจริง ๆเจิ้งจิ่งเหอรีบใช้
หลายสิบวันต่อมา ในที่สุดเจิ้งจิ่งเหอก็เดินทางมาถึงชายแดนเมืองหวายเยียนพร้อมกับกู้อวิ๋นหาน ครั้งนี้เขานำกำลังทหารมาไม่น้อยเลย แม่ทัพใหญ่โต้วรีบออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ครั้งนี้บิดาของเสิ่นลี่จูก็ออกมารับเสด็จเช่นเดียวกัน เจิ้งจิ่งเหอยังไม่ทันได้พบกับเสิ่นลี่จูก็รีบเร่งรุดไปที่ชายแดนเสียก่อน เขาจัดกำลังทหารใหม่ ได้พักเพียงวันเดียวก็ต้องออกรบทำศึกเสียแล้วเสิ่นลี่จูอยู่ที่จวนตระกูลเฉิง นางทำอาหารหลายอย่างและให้เจิ้งจิ่งเหอ กู้อวิ๋นหาน และคนอื่น ๆ ได้กินรองท้อง ตั้งแต่เขาเดินทางมาที่นี่ยังไม่ได้พบกับนางเลย แต่เสิ่นลี่จูกลับไม่ได้รู้สึกน้อยใจ นางรู้ดีว่าเขากำลังมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการมากกว่าเรื่องของนางเจิ้งจิ่งเหอออกรบอยู่ที่นอกกำแพงเมือง เมื่อเขามาถึงก็ทำให้ได้ทราบว่า แท้จริงแล้วกุนซือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการก่อสงครามครั้งนี้ก็คือเจิ้งมู่หยางเจิ้งมู่หยางยังไม่ตาย ศพที่พบก่อนหน้าคือคนทีี่ปลอมตัวเป็นเจิ้งมู่หยางโดยใช้หน้ากากหนังมนุษย์เพื่อหลอกให้เขาตายใจเจิ้งมู่หยางนำกำลังทหารของตนไปผนวกร่วมเข้ากับแคว้นอู๋ และร่วมมือกันก่อกบฏ โดยใช้อู๋อ๋องเป็นคนนำทัพ ส่วนตนเองนั้นคอยบงการอยู่เบื้องหลัง
หลายวันต่อมา เสิ่นฮูหยินก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง ซึ่งส่งมาจากเมืองหวายเยียน บอกว่าน้องชายของนางเกิดล้มป่วยกะทันหัน คาดว่าคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน และอยากจะพบหน้านางซึ่งเป็นพี่สาวครั้งสุดท้าย เสิ่นฮูหยินจึงรีบสั่งให้คนเก็บข้าวของเพื่อเดินทางไปเมืองหวายเยียนทันทีเสิ่นฮูหยินมารดาของเสิ่นลี่จูเป็นสตรีที่มีถิ่นฐานเดิมมาจากเมืองหวายเยียน ยามนั้นแม่ทัพใหญ่เสิ่นไปออกรบ คนทั้งสองได้พบรักกัน มารดาของนางเป็นบุตรสาวของคหบดีที่ร่ำรวยผู้หนึ่งในเมืองหวายเยียน อีกทั้งยังมีกิจการอยู่ที่เมืองหลวงไม่น้อย เมื่อแต่งกับแม่ทัพใหญ่เสิ่นจึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวง ร้านรวงที่อยู่ในเมืองหลวง ทางครอบครัวได้มอบให้เป็นสินเดิมของนางทั้งหมดแม่ทัพใหญ่เสิ่นที่ได้ทราบข่าวก็ตั้งใจว่าจะเดินทางไปกับภรรยาด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเขาไม่มีสิ่งใดต้องรับผิดชอบอีกแล้ว เสิ่นลี่จูก็ต้องร่วมเดินทางไปด้วยเช่นเดียวกัน เผื่อว่าทางใต้มีทำเลทิศทางทำการค้าได้ดี นางอาจจะเปิดภัตตาคารที่นั่นอีกสาขาหนึ่งเจิ้งจิ่งเหอที่ได้ทราบข่าวเดิมทีเขาไม่อยากให้นางไป ตอนนี้ทางทิศใต้สงครามยังไม่สงบ รองแม่ทัพโต้วซึ่งยามนี้กลายเป็นแม่ทัพใหญ่โต้วคนใหม่ ได้ไปปราบ
เอ่ยจบเขาก็กึ่งเดินกึ่งลากตัวนางออกมาจากเรือน เสิ่นลี่จูรีบรั้งตนเองเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย"ฝ่าบาท เหตุใดจึงทรงทำเช่นนี้เล่าเพคะ"เจิ้งจิ่งเหอหันมาจ้องสตรีตรงหน้าเขม็ง"ทำไม หรือว่าเจ้าอยากแต่งกับเขา เสิ่นลี่จู ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้ตรงนี้เลยนะ ข้าไม่มีวันให้เจ้าได้สมใจ""เพราะเหตุใด เราต่างไม่มีเรื่องติดค้างใจต่อกันแล้ว พระองค์ไม่มีสิทธิ์มาทำเช่นนี้ตามใจชอบ""เพราะว่าข้าชอบเจ้าได้ยินหรือไม่!""ฮะ!"เสิ่นลี่จูถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออก นางรู้สึกว่าตนเองกำลังหูฝาดไป จึงเอ่ยถามเขาย้ำอีกหน"ฝ่าบาททรงเอ่ยว่าอย่างไรนะเพคะ"เจิ้งจิ่งเหอถอนหายใจออกมา เขาเม้มริมฝีปากแน่น เสิ่นลี่จูนางหูหนวกหรือว่าหูตึงจึงไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาบอก เมื่อคิดได้เช่นนั้นชายหนุ่มจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะตะโกนจนลั่นจวน"ข้าชอบเจ้า สตรีหน้าโง่ เจ้าได้ยินหรือไม่ว่าข้าชอบเจ้า!"เสียงของเขาดังมาก ดังเสียจนทำให้บ่าวที่กวาดลานถึงกับทำไม้กวาดหล่นจากมือ สาวใช้ที่กำลังเช็ดจวนถึงกับทำผ้าหล่นลงพื้น แม่ทัพใหญ่เสิ่นหันไปมองฮูหยินของตนคราหนึ่งเมื่อได้ยินชัด ๆ แล้ว เสิ่นลี่จูก็ยิ้มออกมาในทันที นางไม่เคยคิดเลยว่ารักครั้งแรกของนางจะต้องมาเจ
เมื่อกลับมาอยู่ที่จวนแล้ว เสิ่นลี่จูก็เริ่มหมักสุราตามสูตรของนาง นางฝังสุราหลายไหเอาไว้ใต้ต้นไม้ สุราแต่ละชนิดล้วนมีเวลาการหมักบ่มของมัน เสิ่นลี่จูเองก็ไม่รีบร้อน อีกทั้งนางยังสั่งให้บ่าวไพร่ปลูกผักในจวนเอาไว้ขาย ไม่นานมานี้นางยังไปปรับปรุงภัตตาคารในเมืองหลวงซึ่งเป็นสินเดิมของมารดาเพื่อทำการค้าใหม่ ฝีมือการทำอาหารของเสิ่นลี่จูนับว่ายอดเยี่ยม ประจวบเหมาะกับนางนำความรู้จากยุคปัจจุบันมาประยุกต์ใช้ จึงทำให้อาหารที่ภัตตาคารของนางไม่เหมือนกับที่ใดที่ชวนให้ผู้คนสนใจมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นการสุ่มอาหาร ลูกค้าที่เข้ามาจะสามารถเลือกการจับฉลากสุ่มอาหารได้ เพียงจ่ายในราคาหนึ่งตำลึงสำหรับการสุ่มอาหารชุดใหญ่ ราคาสิบอีแปะสำหรับการสุ่มอาหารชุดกลาง และราคาสามอีแปะสำหรับการสุ่มอาหารชุดเล็ก พวกเขาจะไม่รู้เลยว่าอาหารชุดใหญ่นั้นจะมีอะไรบ้าง บางครายังได้สุราชั้นดีแถมกลับบ้านอีกด้วย เรื่องนี้สร้างความสนุกสนานแก่ผู้คนในเมืองหลวงไม่น้อยส่วนอาหารที่ขึ้นชื่ออีกอย่างก็คือ สลัดผัก เพราะในยุคโบราณมีวัตถุดิบไม่มาก นางจึงใช้น้ำมันงามาทำน้ำสลัดอย่างง่าย ๆ แต่รสชาติกลมกล่อมเป็นอย่างมาก สตรีในเมืองหลวงหลายคนที่ต้องการล
กว่าจะเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงก็เป็นเวลาเย็นย่ำมากแล้ว เมื่อกลับมาถึงตำหนักเสิ่นลี่จูก็รีบผลัดเปลี่ยนอาภรณ์และมากินมื้อเย็น หลังจากกินอิ่มแล้ว นางจึงไปเยี่ยมกู้ไทเฮาและอยู่พูดคุยด้วยกันครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาที่ตำหนักของตนเสิ่นลี่จูก็เดินไปที่โต๊ะตำรา ก่อนจะเปิดตำราเล่มหนึ่ง ด้านในนั้นมีหนังสือสัญญาที่เขาและนางลงลายมือประทับเอาไว้ร่วมกัน ไม่รู้เพราะเหตุใดยามที่คิดว่าถึงเวลาจะต้องแยกทางกันแล้ว นางจึงรู้สึกเศร้าใจถึงเพียงนี้ไม่รู้ว่านางเกิดความรู้สึกผูกพันกับเจิ้งจิ่งเหอยามใด เดิมทีเขาและนางเปรียบเหมือนกับเส้นขนานที่ไม่อาจจะมาบรรจบกันได้ เขาไม่เคยรักนาง ส่วนนางก็ต้องกลับไปยังที่ที่ตนเองจากมา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการไม่สานความสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกันนับว่าเป็นเรื่องดีเมื่อนึกเรื่องที่ต้องกลับไปยังโลกอนาคต เสิ่นลี่จูก็พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เรื่องของเสิ่นอ้ายเยว่ก็ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ว่าเหตุใดนางจึงกลับไปไม่ได้เล่าหญิงสาวมองไปโดยรอบ ก่อนจะพบเข้ากับเทพธิดาจิ้งจกที่เกาะอยู่ตรงประตู"เทพธิดาจิ้งจก ข้าไขคดีการตายของเสิ้นอ้ายเยว่ได้แล้ว เหตุใดจึงยังไม่สามารถกลับไปได้อีกเล่า"เทพธิดาจิ้งจกปรา