ผ่านไปหลายสัปดาห์กว่าบุลินจะได้เจอกับน้องสาวฝาแฝดของนิศากร ส่วนคนเป็นแม่นั้นหญิงสาวก็บอกตามตรงว่าพ่อกับแม่ของตัวเองเกลียดกันมาก หากรู้ว่าพวกเธอทั้งสองมาเจอกันจะเป็นปัญหา ชายหนุ่มได้แต่รู้สึกว่าพวกผู้ใหญ่ช่างไม่แยกแยะเอาเสียเลย
“พ่อกับแม่เลิกกันตั้งแต่กี่ขวบ” บุลินคุยกับหญิงสาวระหว่างนั่งรถไปด้วยกัน
“เจ็ดขวบค่ะ ตั้งแต่ตอนนั้นก็ถูกห้ามเจอกับฝาแฝด แล้วก็คุณแม่ด้วย”
ชายหนุ่มนึกถึงพ่อของตัวเองที่เสียไป ตอนนั้นเขาเพิ่งจะสามขวบ ส่วนบวรก็ห้าขวบ เขากับพี่ชายแทบไม่มีความรู้สึกเศร้าเสียใจด้วยซ้ำ เพราะยังไม่มีใครเข้าใจว่าความตายคืออะไร อาจจะคิดถึงอยู่บ้างตอนที่โตขึ้นมาและรับรู้ว่าตัวเองไม่มีพ่อแล้ว
“พวกเราเคยนอนด้วยกันทุกคืน พอต้องแยกกันไนท์ก็เอาแต่ร้องไห้จนคุณพ่อรำคาญ” สีหน้าฝืนยิ้มนั้นทำให้บุลินสงสาร “งานแต่งคุณพ่อก็คงไม่ยอมให้คุณแม่มาแน่ๆ ส่วนคุณแม่ก็คงไม่มาเพราะไม่อยากเจอหน้าคุณพ่อ”
“พ่อเธอดูเป็นคนใจดีนะ ไม่คิดเลยว่าจะทิฐิแรงอยู่เหมือนกัน”
“จริงๆ ก็ทั้งคุณพ่อคุณแม่เลยค่ะ กว่าไนท์กับเดย์จะได้เจอกันก็เมื่อไม่กี่ปีก่อนเอง แล้วก็เจอกันด้วยความบังเอิญ ไนท์ไม่รู้ว่าคุณแม่อยู่ที่ไหน ส่วนเดย์ก็จำทางกลับบ้านไม่ได้”
“แล้วงานแต่งล่ะ น้องสาวจะมาหรือเปล่า”
“คงไม่ได้มาค่ะ ก็เลยอยากให้เขาได้เจอพี่บุ้ง เขาจะได้สบายใจ”
บุลินเลิกคิ้ว “...”
“เขากลัวว่าไนท์จะได้แต่งกับคนที่นิสัยไม่ดี แต่ไนท์คิดว่าพี่บุ้งเป็นคนดีก็เลยอยากให้ได้เจอกัน เดย์จะได้ไม่ต้องห่วง” นิศากรเอียงคอเล็กน้อยพลางยิ้มอย่างน่ารัก ทำให้คนมองเผลอจ้องตาไม่กะพริบ
“อ๋อ...” ชายหนุ่มค่อยๆ เบือนหน้าหนีจากหญิงสาวอย่างแนบเนียน
ทิพากรอยู่ในชุดเดรสแขนตุ๊กตายาวเคียงเข่าเช่นเดียวกันกับนิศากร เพียงแต่ว่าที่เจ้าสาวของเขาใส่สีฟ้าอ่อน แต่อีกฝ่ายใส่สีเหลืองอ่อน ส่วนหน้าตานั้นก็เหมือนกันอย่างกับพิมพ์ หากมองในระยะร้อยเมตรก็คงแยกไม่ออก
หญิงสาวผู้มีหน้าเหมือนว่าที่เจ้าสาวของบุลินราวกับแกะยกมือไหว้ชายหนุ่มผู้สูงวัยกว่า นิศากรแนะนำทั้งคู่ให้ได้รู้จักกันเรียบร้อยแล้ว บุลินก็เรียกพนักงานให้มารับออเดอร์
“เธอ...” ชายหนุ่มชะงักพลางมองสองสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ปกติเขาอยู่กับนิศากรก็แทนอีกฝ่ายว่าเธอตลอด แต่เพราะตอนนี้มีสองคน จะบอกว่าพวกเธอมันก็...
“น้องไนท์กับน้องเดย์อยากทานอะไรก็สั่งได้เลยครับ วันนี้พี่เป็นเจ้ามือเอง”
นิศากรยิ้มหน้าบานเหมือนอย่างเคย ส่วนทิพากรเพียงมองเขานิ่งแล้วเอ่ยขอบคุณ
บุลินพิศมองทั้งสองคนที่กำลังคุยกันกะหนุงกะหนิง เสียงหัวเราะใสๆ ของนิศากรนั้นเปี่ยมไปด้วยความสุข ส่วนทิพากรเองก็ดูเหมือนจะมีความสุขไม่ต่างกัน ชายหนุ่มคิดว่าทั้งคู่คงรักกันมาก ตอนนั้นต้องเจ็บปวดแค่ไหนกันนะที่ถูกแยกจากกัน
พออาหารถูกยกมาเสิร์ฟเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนก็รับประทานกันเงียบๆ เสียเป็นส่วนใหญ่ อาจเพราะทั้งสามคนไม่มีใครคุยเก่งนักและไม่รู้จะคุยอะไรกันดี แต่แปลกที่บุลินไม่ได้รู้สึกอึดอัด เขากลับรู้สึกเพลินที่ได้มองหญิงสาวสองคนอยู่ด้วยกัน
ก่อนจะกลับนิศากรขอตัวไปห้องน้ำ แต่ทิพากรกลับเลือกที่จะไม่ไปด้วย บุลินพอจะรู้ว่าเจ้าตัวคงอยากคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว
“คุณดูเป็นคนดี”
บุลินก็คิดว่าเขาไม่ได้ร้ายนะ “ครับ”
“ฝากพี่สาวของฉันด้วยนะคะ เพราะคุณพ่อเอาแต่หวง ก็เลยไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกเลย ถ้าไม่ลำบากจนเกินไปฉันก็อยากให้คุณพาเธอไปเที่ยวบ่อยๆ” ทิพากรยิ้มบาง
ชายหนุ่มนึกถึงทุกครั้งเวลาที่นิศากรได้ออกมาข้างนอก “ผมจะไม่ปล่อยให้เธออยู่แต่บ้านอย่างแน่นอนครับ วางใจได้”
“ขอบคุณค่ะ”
ดูเหมือนทิพากรจะเป็นคนคุยไม่เก่ง ดังนั้นบทสนทนาก็เลยจบลงอย่างรวดเร็ว แต่ในใจชายหนุ่มอยากให้เธอวางใจในตัวเขามากกว่านี้
“รู้ใช่ไหมครับว่าการแต่งงานของผมกับไนท์มีเงื่อนไข” อีกฝ่ายพยักหน้า “แต่ผมรับรองว่ามันจะไม่เลวร้ายอย่างแน่นอน พี่สาวของคุณเป็นคนน่ารัก บางที...ถ้าได้ใกล้ชิดกันมากกว่านี้ ผมกับเขาจะต้องเป็นคู่สามีภรรยาที่ดีอย่างแน่นอนครับ” บุลินรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ก็เลยพูดออกไปด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
ทิพากรยิ้มกว้างกว่าเดิม “ดีใจค่ะที่ได้ยินอะไรแบบนี้จากคุณ”
บุลินคิดว่าการพบกับน้องสาวของว่าที่ภรรยานั้นผ่านไปด้วยดี อีกฝ่ายดูจะมองเขาอย่างเป็นมิตรมากขึ้น ก่อนจะจากลากันเขาก็ได้เห็นทั้งสองสาวหอมแก้มกันไปมาด้วยท่าทางน่ารัก
พอกลับมาอยู่กันสองคนนิศากรก็เอ่ยขึ้น “เดย์บอกว่าเขาชอบพี่บุ้งนะคะ พี่บุ้งดูใจดีเหมือนกับที่ไนท์บอกเขาไว้”
“พี่ดูใจดีเหรอครับ”
“ค่ะ” นิศากรยิ้มจนตาหยี “ตอนแรกไนท์ไม่ได้หวังเลยว่าคนที่ต้องแต่งด้วยจะเป็นคนใจดี ขอแค่เป็นคนที่ไม่ใจร้ายก็พอแล้ว แต่เพราะพี่บุ้งใจดี ไนท์เลยคิดว่าไนท์โชคดีที่จะได้แต่งงานกับพี่บุ้ง”
บุลินมองดวงหน้าของหญิงสาวนิ่ง ภายในใจไม่ได้รังเกียจเจ้าตัวเลยสักนิดตั้งแต่ที่ได้พบกันวันแรก ความรู้สึกว่าเข้ากันได้เป็นความรู้สึกที่สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน หากอีกฝ่ายไม่รังเกียจเขาเช่นกัน บางทีก็อาจแต่งงานและเป็นสามีภรรยากันไปจนแก่เฒ่า ส่วนความรู้สึกรักมันอาจจะมีหรือไม่มีเขาก็ไม่อาจจะรู้ล่วงหน้าได้ แต่อย่างน้อยๆ เขากับเธอก็คงจะต้องผูกพันกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะตอนนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารู้สึกเอ็นดูอีกฝ่ายอยู่มาก
“พรุ่งนี้เราไปเที่ยวกันดีไหมครับ”
“เที่ยวเหรอคะ”
“ครับ”
“...” หญิงสาวทำหน้าลังเล
“เดี๋ยวพี่ไปขออนุญาตคุณชัยกรให้เองครับ”
“...ถ้าคุณพ่ออนุญาต ไนท์ก็ไปค่ะ” ริมฝีปากอิ่มแย้มยิ้ม
“จะไม่ถามหน่อยเหรอครับว่าพี่จะพาไปที่ไหน ถ้าพี่พาไปขายจะทำยังไงฮึ”
นิศากรหัวเราะ “ไนท์ตัวนิดเดียวเองน่าจะขายไม่ได้ราคาหรอกค่ะ”
“จะพาไปเที่ยวแถวๆ สวนผึ้งที่ราชบุรีน่ะ ค้างสักสองคืน”
บุลินอธิบายต่อเรื่อยๆ พลางจิ้มนิ้วลงบนมือถือของตัวเองไปด้วย “เก็บของไปแค่เสื้อผ้าก็พออย่างอื่นเดี๋ยวให้ศิลป์เขาเตรียมให้ เพราะพี่สั่งงานเรียบร้อยแล้ว” เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้อีกฝ่ายหญิงสาวอมยิ้มเล็กน้อย “จริงๆ แล้วพี่บุ้งก็ดูเป็นคนเอาแต่ใจเหมือนกันนะคะ”
“อ๋อ...นิดหน่อยน่ะ แล้วไม่ชอบคนเอาแต่ใจหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าแค่นิดหน่อย”
เขาจะไม่เล่าหรอกว่าแต่ก่อนตัวเองเป็นคนเอาแต่ใจแค่ไหน เพราะถูกทั้งคุณย่าและพี่ชายอย่างบวรโอ๋ แต่พอได้อยู่กับตัวเองมาเป็นสิบปีความเอาแต่ใจก็ลดลงไปเยอะแล้ว
อืม...ลดลงเยอะแล้วจริงๆ นะ
อีกด้านหนึ่งเลอศิลป์ก็ต้องรีบเร่งหาจองห้องพักเป็นการด่วน ห้องพักหรูหรา ดูดี มีสระว่ายน้ำส่วนตัว!
“น่ารักจังเลยค่ะ”ใบหน้าพออกพอใจของนิศากรทำให้คนที่สามารถหาจองบ้านพักแบบพูลวิลล่าได้ยืดนิดๆ
“เป็นไงบ้างครับพี่บุ้ง พอใจไหมครับ” เลอศิลป์ผายมือไปยังบ้านพักขนาดกะทัดรัดสีขาว ด้านบนมีดาดฟ้าชมวิวและสระว่ายน้ำส่วนตัวขนาดเล็ก
“ก็ดี แต่นี่ดีสุดแล้วเหรอ”
“ประทานโทษครับ นี่สุดความสามารถแล้ว กะทันหันขนาดนี้ก็ยังได้ที่พักเลิศๆ ขนาดนี้เชียวนะครับ”
บุลินหัวเราะในลำคอเบาๆ “ขอบใจ”
“พี่บุ้งบอกให้ผมจองไว้สองคืน แต่ผมจองเผื่อไว้สามคืนนะครับ ที่นี่บรรยากาศดี คิดว่าพี่คงเปลี่ยนใจแน่ๆ” เลอศิลป์เดินเข้าไปใกล้เจ้านายซึ่งพ่วงตำแหน่งญาติกันแล้วกระซิบบอกเสียงเบา
“ทำเป็นรู้ดี”
“ก็ไม่รู้ว่าพี่จะทำอะไรนะถึงได้ให้หาห้องพักที่เป็นเตียงเดี่ยว” เลอศิลป์หรี่ตา “หรือจะซ้อมเข้าหอ”
ป๊อก! บุลินเคาะหน้าผากของเลขาตัวเองไปหนึ่งที
“โอ๊ยพี่!”
นิศากรซึ่งเดินเข้าไปสำรวจภายในบ้านก่อน โผล่หน้ากลับมาเห็นเหตุการณ์พอดี จึงมองทั้งสองหนุ่มด้วยความงุนงง
“เป็นเลขารู้แค่เรื่องงานก็พอแล้ว”
“อันนี้ถามในฐานะน้องไง”
“เรื่องของฉัน”
สีหน้าลำบากใจของนิศากรทำให้ชายหนุ่มทั้งสองเริ่มรู้สึกตัวว่าละเลยเธอ หญิงสาวมองหน้าบุลินแล้วทำหน้าอึกอัก
“ผมขอขึ้นไปนอนเล่นบนดาดฟ้าสักหน่อยแล้วค่อยกลับแล้วกันนะครับ” พูดจบก็เดินขึ้นบันไดข้างตัวบ้านขึ้นไปยังดาดฟ้า แล้วทิ้งว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวไว้ให้อยู่กันสองต่อสอง
“มีอะไร” บุลินเดินเข้าไปหานิศากรที่ยืนอยู่ตรงประตู เธอถอยหลังกลับเข้าไปข้างใน ชายหนุ่มจึงตรงไปนั่งยังโซฟาลายดอกไม้สไตล์วินเทจสีอ่อนหวาน
“เตียงมัน...มีแค่เตียงเดียวค่ะ”
“จองกะทันหันก็เลยมีแต่บ้านพักหลังนี้ครับ”
“แล้ว...จะนอนกันยังไงล่ะคะ”
“ก็นอนด้วยกันไงครับ” บุลินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ผิดกับหญิงสาวที่หน้าเริ่มแดงเรื่อ เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่เขาได้เห็นเธอเขินแบบจริงจังขนาดนี้ เพราะก่อนหน้านั้นท่าทางของนิศากรดูสบายๆ อยู่ตลอดเวลาเสียมากกว่า “รังเกียจเหรอครับ หรือเห็นว่าไม่เหมาะสมเพราะเรายังไม่ได้แต่งงานกัน”
นิศากรก้มหน้างุด “ไม่ได้รังเกียจค่ะ แค่รู้สึกเหมือนจะทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่ชิน”
“มานั่งตรงนี้สิ” บุลินกวักมือเรียกให้มานั่งข้างกัน หญิงสาวจึงค่อยๆ ทิ้งตัวลงนั่งข้างชายหนุ่ม
“คืนนี้จะลองดูก่อนน่ะ”
“ลอง!” นิศากรร้องเสียงหลง “ลองมีอะไรกันเหรอคะ”
บุลินหัวเราะเบาๆ “ยังหรอก แค่นอนด้วยกันเฉยๆ ก็พอ ทำความคุ้นเคยนิดหน่อย เพราะเวลาก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้วนะ ถือว่าเป็นหลักสูตรเตรียมตัวก่อนเข้าหอแล้วกัน เพราะถ้าให้พี่เดาเธอไม่น่าจะมีประสบการณ์การเรื่องผู้ชาย”
“มะ...มีค่ะ” แก้มแดงๆ ของนิศากรยังคงเป็นสีเข้มเหมือนเดิม
“หืม...”
“เคยจูบกับเพื่อนผู้ชาย”
“จริงเหรอ งั้นลองจูบพี่หน่อยสิ” บุลินอยากรู้จริงๆ ว่าจูบนั่นมันจะเป็นยังไง
“...จะให้จูบพี่บุ้งจริงๆ เหรอคะ”
“จริงสิ แค่จูบเอง เพราะถ้าแต่งงานกันไปมันก็ต้องมากกว่าจูบอยู่แล้ว อีกอย่างจูบกันบ้างก่อนแต่งก็ดีเหมือนกัน ถือว่าช่วยกระชับความสัมพันธ์”
นิศากรทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “งั้นพี่บุ้งหลับตาก่อนสิคะ”
“ทำไมล่ะ”
“พี่บุ้งไม่เขิน แต่ไนท์อาย” อารมณ์เขินอายของหญิงสาวทำให้บุลินรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกและรู้สึกชอบใจไม่น้อย
“โอเครับ” ดังนั้นชายหนุ่มจึงหลับตาลงตามคำขอ เขาเฝ้ารออย่างอดทน แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นเพียงการใช้ริมฝีปากของอีกฝ่ายแตะลงมาเบาๆ ก่อนจะผละออกเท่านั้นเอง
“ละ...ลืมตาได้แล้วค่ะ”
บุลินลืมตาขึ้นก็พบว่านิศากรกำลังยกมือขึ้นกุมหน้าตัวเองอยู่ “นี่จูบแล้วเหรอ ไหนบอกพี่มาหน่อยว่าตอนที่จูบกับคนอื่นครั้งแรกน่ะอายุเท่าไหร่”
“ทำไมต้องบอกด้วยล่ะคะ” หญิงสาวลดมือลง ใบหน้ายังคงแดงก่ำ ไม่ยอมสบตากับชายหนุ่ม ทั้งๆ ที่ปกติกล้าสบตาเขาตรงๆ อยู่เสมอ
“ไม่บอกก็ไม่เป็นไร แต่พี่จะทำให้ดูว่าจูบน่ะเขาทำกันแบบไหน” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปรั้งเอวเล็กๆ ให้ขยับเข้ามาใกล้ “ถ้าไม่อยากจูบก็ปฏิเสธได้นะ แต่ถ้าอยากลองก็หลับตาลงซะ”
นิศากรที่ยังคงก้มหน้างุดเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง เธอไม่เคยคิดเลยว่าหัวใจจะเต้นแรงเพราะใครคนหนึ่งได้ขนาดนี้ เธอกำลังแย่แล้ว
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มที่กำลังจับจ้องเธอด้วยดวงตาแวววาว มันมีแรงดึงดูดมหาศาลที่ทำให้เธอเอ่ยปากปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้นจึงแทบไม่ทันรู้ตัวเลยว่าตัวเองหลับตาลงตรงไหน พอรู้ตัวอีกทีริมฝีปากที่เธอเคยได้แต่มองก็แตะลงมาบนริมฝีปากของตัวเองแล้ว
บุลินเอียงศีรษะเล็กน้อยเพื่อให้ได้มุมที่เหมาะสม มืออีกข้างที่ว่างอยู่ไต่ไปตามแผ่นหลังจนกระทั่งถึงเรือนผมนุ่มน่าสัมผัส เขาสอดเข้าไปสัมผัสผิวบริเวณหลังลำคอพลางใช้นิ้วหัวแม่มือคลึงเบาๆ เป็นวงกลม ไม่รู้ว่าผู้ชายคนอื่นทำแบบนี้ไหม แต่เขาชอบที่จะเล่นกับผิวของอีกฝ่ายตรงบริเวณลำคออย่างนี้
นิศากรถูกลิ้นของชายหนุ่มดุนดันเบาๆ เธอจึงเผยอริมฝีปากขึ้นด้วยสัญชาตญาณ มือเล็กยกขึ้นขยุ้มเสื้อของเขาเมื่อลิ้นอุ่นแทรกเข้ามาภายในโพรงปาก เธอทำอะไรไม่ถูกเลยตอนที่ลิ้นถูกเกี่ยวกระหวัดไล่ต้อนจนเธอจนมุม
เธอ...เธอไม่ไหวแล้ว
“อื้อ...” หญิงสาวผลักชายหนุ่มเต็มแรง “พี่บุ้ง ไนท์หายใจไม่ออก!”
หญิงสาวหอบเหมือนเพิ่งไปวิ่งมา ส่วนชายหนุ่มกุมท้องของตัวเองหัวเราะเสียงดัง!
ตอนพิเศษ คนที่แสนโชคดี บุลินนอนมองคุณแม่ของลูกสาวทั้งสองซึ่งยังหลับสนิท เพราะวันนี้เป็นวันหยุดของลูกๆ รวมถึงของเขาด้วย เธอจึงไม่ต้องรีบตื่นเพื่อเข้าครัวทำมื้อเช้าให้กับทุกคน เธอปรือตาขึ้นมองสามี แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองนิ่งๆ เท่านั้น บุลินอดใจไว้ไม่ไหวจึงยื่นหน้าไปจูบหนักๆ ลงบนหน้าผากของคนที่ยังไม่ตื่นเต็มตา ลูกสาวคนโตนอนหลับอยู่ในห้องส่วนตัวของเธอ ส่วนคนเล็กไปนอนค้างกับบวรและปภาดา ดังนั้นตอนนี้พวกเขาจึงมีเพียงกันและกันอยู่บนเตียงกว้าง ช่างเป็นยามเช้าที่แสนเย้ายวนใจ “น้องไนท์ถุงยางอนามัยหมดแล้ว” บุลินก้มลงกระซิบ มือก็ลากไล้ไปตามเอวของหญิงสาวที่ขยับขยายกว้างขึ้นเล็กน้อยเพราะผ่านการเป็นคุณแม่มาแล้ว นิศากรพยักหน้ารับรู้เบาๆ เขาอมยิ้ม “ถ้าไม่ใช้ก็อาจจะท้องอีกนะครับ” คนฟังขมวดคิ้ว ตอนแรกเธอไม่ได้คิดอะไร แต่พอได้ยินอีกประโยคสติก็เริ่มแจ่มชัด “พี่บุ้งอยากมีอีกคนเหรอคะ” “เจ้าขาก็โตแล้ว จันทร์เจ้าก็ถูกพี่บีแย่งไป เหงาน่ะไม่มีใครให้อุ้มเลย” “ลูกมากจะยากจนนะคะ” นิศากรหัวเราะคิกคัก
ตอนพิเศษ เมื่อพบกันอีกครั้ง ลูกสาวคนโตวัยเกือบเจ็ดขวบกว่านั้นไม่เคยมาขอนอนด้วยอีกเลยตั้งแต่มีห้องส่วนตัวเป็นของตัวเองส่วนลูกสาวคนเล็กที่อายุเพิ่งครบห้าปีก็แทบจะไปนอนกับบวรและปภาดาวันเว้นวัน ดังนั้นสองสามีภรรยาจึงมีเวลาส่วนตัวในยามค่ำคืนอยู่มาก นิศากรหวีผมเรียบร้อยแล้วก็ปีนขึ้นเตียงไปหาสามีที่กำลังอ้าแขนรอ เธอซบหน้ากับอกของชายหนุ่มพลางหายใจเอากลิ่นหอมจากกายสามีเข้าเต็มปอด “มีอะไรครับ” บุลินเอ่ยถามเพราะรู้สึกได้ถึงอาการกังวลใจของภรรยา “เดย์บอกว่าคุณพ่ออยากเจอไนท์ค่ะ” อ้อมแขนแข็งแรงกอดกระชับแน่นขึ้น “อยากเจอหรือเปล่าครับ” เธอพยักหน้า “เดย์บอกว่าคุณพ่อกังวลมากและคิดอยู่นานว่าจะเจอไนท์ดีหรือเปล่า” หญิงสาวถอนหายใจ “ไนท์จะเริ่มต้นใหม่กับคุณพ่อได้ไหมคะ มันจะราบรื่นหรือเปล่า” “ยังไงก็มีเจ้าขากับจันทร์เจ้าอยู่นะครับ คุณพ่อเอ็นดูสองคนนั้นจะตายไป” บุลินพาลูกสาวทั้งสองคนไปเยี่ยมชัยกรอย่างน้อยเดือนละครั้ง “ลูกต้องช่วยให้บรรยากาศระหว่างเธอกับท่านเป็นไปอย่างราบรื่นแน่” “ไนท์ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นค่ะ” “ยังไงก็
ตอนพิเศษ ดุจจันทรา ดุจจันทราหรือน้องจันทร์เจ้าของทุกคน ลูกสาวคนที่สองของบุลิน เป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด ทำเอาทุกกังวลใจกันไปหมด แต่หลังจากออกจากตู้อบมาแล้ว ร่างกายก็แข็งแรงดี เพียงแต่เจ้าตัวกลับติดบวรมากกว่าคนเป็นพ่ออย่างบุลินเสียอีก ดังนั้นจึงกลายเป็นพ่อบี พ่อบุ้งไปโดยปริยาย “พรุ่งนี้จันทร์เจ้าจะไปโรงเรียนเป็นวันแรก พี่บีจะไปส่งลูกไหมคะ” ปภาดาซึ่งนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจก หันมาถามสามีเมื่อเห็นว่าเขาออกมาจากห้องน้ำแล้ว “พี่ว่าจะไม่ไปหรอก” บวรรับหวีมาจากมือของปภาดาแล้วช่วยแปรงผมให้อย่างเบามือ “อ้าวทำไมล่ะ ลูกไปโรงเรียนวันแรกเลยนะ ไอ้บุ้งก็บอกว่าต้องลองไปสัมผัสดู ครั้งเดียวในชีวิตเลยที่ลูกจะมีวันนี้” ปภาดาฟังประสบการณ์ครั้งแรกของบุลินที่ไปส่งดั่งบุหลันลูกสาวคนโตแล้วตื่นเต้นอยากไปบ้าง “ไม่อยากเห็นน้องจันทร์เจ้าร้องไห้น่ะค่ะ” “โอ๊ย พ่อบี น้องจันทร์เจ้าเก่งจะตายไป ไม่ร้องหรอก” “ต้องร้องแน่ๆ ไม่มีเด็กคนไหนไม่ร้องหรอก ขนาดไอ้บุ้งยังร้องไห้จ้าอยู่เป็นอาทิตย์ๆ” ปภาดาหัวเราะคิกคัก “ปอนด์จำได้ ร้องจนปอนด์รำคาญ แต่เด็กที่ไม่
ตอนพิเศษ ดั่งบุหลัน “เจ้าขาคนดีของพ่อบุ้ง ทำไมถึงไม่อยากไปโรงเรียนล่ะครับ” บุลินถูกภรรยาวานให้มากล่อมลูกสาวคนโตที่งอแงไม่ยอมไปโรงเรียน ชายหนุ่มเท้าคางนอนตะแคงอยู่ข้างลูกสาวที่ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มนิ่ง แม้ว่าจะพูดอะไรก็ไม่ยอมตอบกลับมาสักคำ “ลืมทำการบ้านหรือเปล่า กลัวคุณครูดุก็เลยไม่อยากไปโรงเรียนเหรอครับ” บุลินพยายามคาดเดาเหตุผลที่ลูกสาวไม่อยากไปโรงเรียน “หรือว่าถูกใครแกล้ง” พอพูดออกไปเขาก็ขมวดคิ้ว เท่าที่ผ่านมาไม่มีเด็กกล้ารังแกลูกเขาหรอก เคยทำคนที่มาแกล้งจนฟันน้ำนมหักเลยด้วยซ้ำ เหตุผลนี้คงไม่ใช่ “เราเคยสัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอครับว่ามีอะไรก็จะบอกพ่อบุ้ง เจ้าขาก็รู้ว่าพ่อเก็บความลับเก่งที่สุดเลย” คนร่างจิ๋วภายใต้ผ้าห่มขยับตัวยุกยิก บุลินใจชื้นที่ลูกสาวมีปฏิกิริยาสักที เขารอคอยอย่างอดทนให้ลูกสาวออกมาคุยกันดีๆ แต่แล้วกลับนิ่งไปอีก “เอ๊ะ หรือว่าจริงๆ แล้วป่วย” บุลินพยายามจะดึงผ้าห่มออกจากตัวของลูกสาว “พ่อหนูไม่ได้ป่วยนะ” น้ำเสียงเล็กๆ ที่ตอบกลับมานั้นฟังอู้อี้ “แล้วทำไมไม่อยากไปโรงเรียนล่ะครับ” “ก็มัน...เสียใจ เจ
ตอนที่ ๒๓ ถึงคนเป็นพ่อจะยังไม่หายดีและยังไม่พร้อมเจอกับนิศากร แต่เรื่องที่ยอมให้อยู่กับบุลินได้อย่างเดิมก็ถือว่าเป็นความก้าวหน้าทางด้านอารมณ์ของชัยกรไปในทางที่ดี อย่างน้อยๆ เธอก็ไม่ต้องเผชิญกับอารมณ์เดี๋ยวรัก เดี๋ยวเกลียดของอีกฝ่ายอีกต่อไปแล้ว พอเดินพ้นประตูบ้านเข้าไปด้านในโดยมีมือของบุลินที่กอบกุมมือเธออยู่ ก็พบว่าทุกคนในครอบครัวของเขาอยู่ที่นั่นเพื่อรอต้อนรับการกลับมาของเธอ รวมทั้งน้องสาวฝาแฝดอย่างทิพากรด้วย ซึ่งวันนี้ถูกแต่งหน้าจนสวยกว่าทุกที ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นฝีมือของปภาดาอย่างแน่นอน นิศากรเดินเข้าไปหาแสงรุ้งเป็นคนแรก หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบโยน “ขวัญเอ๋ย ขวัญมา” แล้วจับมือของหญิงสาวมาบีบเบาๆ “จากนี้ต่อไปก็ขออย่าให้มีอะไรมาพรากเธอไปจากหลานชายฉันอีกเลย” “คงไม่มีแล้วค่ะ ยกเว้นพี่บุ้งจะเบื่อไนท์” “ไม่มีวันนั้นหรอกน่า” บุลินแทรกขึ้นมาทันที “ย่าก็ว่าอย่างนั้นแหละ” หญิงชรายังคงไม่ยอมปล่อยมือของคนอ่อนวัยกว่าและเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แล้วคราวนี้ฉันก็จะไม่ยอมแน่” “นั่นสิ คราวนี้ไม่มีใครยอมหรอกนะน้องไนท์” ปภาดาเบ
ตอนที่ ๒๒ “เราว่าเนื้อเรื่องดูสดใสขึ้นนะ” คเชนทร์ที่ได้รับอนุญาตให้อ่านพล็อตของเพื่อนก่อนใครให้คำวิจารณ์กับเพื่อนสนิท นิศากรยิ้มจนตาหยี “ดีกว่าเดิมใช่ไหม” “เราก็คิดว่าดีกว่าเดิมนะ เหมาะกับลายเส้นน่ารักๆ ของเธอด้วย แถมพระเอกนิสัยสามีแห่งชาติขนาดนี้ เขียนให้เป็นแนวรักไปเลยน่าจะผ่านนะ” เพราะว่าพล็อตคราวก่อนไม่ผ่านจึงต้องมาปรับกันใหม่ “แล้วนี่ อยู่คนเดียวโอเคใช่ไหม” “โอเค เราอยู่ได้ไม่ต้องห่วง แต่ว่าจริงๆ แล้ว พี่บุ้งมาหาทุกสองสามวันเลยแหละ ไม่ค่อยเหมือนอยู่คนเดียวสักเท่าไหร่” คเชนทร์ได้ฟังแล้วก็หัวเราะ เมื่อนึกถึงสามีของเพื่อนที่หย่ากันเพราะความจำเป็น แต่ทั้งสองยังรักกันดีจนเขาอดอิจฉาไม่ได้พอคิดถึงแฟนที่เพิ่งเลิกกันไปก็น้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง “เอ๊ะ นั่นน้องสาวเธอหรือเปล่า” นิศากรหันหน้าไปตามสายตาของคเชนทร์ ก็พบว่าทิพากรเดินเคียงมากับชายหนุ่มร่างสูงท่าทางดูดีมากคนหนึ่ง เธอจำได้ว่านั่นคือยามที่เคยเป็นกระแสในโลกโซเชียลของโรงแรมบุลินซึ่งทำให้ยอดจองช่วงหนึ่งมากขึ้นจนน่าตกใจ “สองคนนั้นสนิทกันเหรอเนี่ย” นิศากรเลิก