ดุจจันทราหรือน้องจันทร์เจ้าของทุกคน ลูกสาวคนที่สองของบุลิน เป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด ทำเอาทุกกังวลใจกันไปหมด แต่หลังจากออกจากตู้อบมาแล้ว ร่างกายก็แข็งแรงดี เพียงแต่เจ้าตัวกลับติดบวรมากกว่าคนเป็นพ่ออย่างบุลินเสียอีก ดังนั้นจึงกลายเป็นพ่อบี พ่อบุ้งไปโดยปริยาย
“พรุ่งนี้จันทร์เจ้าจะไปโรงเรียนเป็นวันแรก พี่บีจะไปส่งลูกไหมคะ” ปภาดาซึ่งนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจก หันมาถามสามีเมื่อเห็นว่าเขาออกมาจากห้องน้ำแล้ว
“พี่ว่าจะไม่ไปหรอก” บวรรับหวีมาจากมือของปภาดาแล้วช่วยแปรงผมให้อย่างเบามือ
“อ้าวทำไมล่ะ ลูกไปโรงเรียนวันแรกเลยนะ ไอ้บุ้งก็บอกว่าต้องลองไปสัมผัสดู ครั้งเดียวในชีวิตเลยที่ลูกจะมีวันนี้” ปภาดาฟังประสบการณ์ครั้งแรกของบุลินที่ไปส่งดั่งบุหลันลูกสาวคนโตแล้วตื่นเต้นอยากไปบ้าง
“ไม่อยากเห็นน้องจันทร์เจ้าร้องไห้น่ะค่ะ”
“โอ๊ย พ่อบี น้องจันทร์เจ้าเก่งจะตายไป ไม่ร้องหรอก”
“ต้องร้องแน่ๆ ไม่มีเด็กคนไหนไม่ร้องหรอก ขนาดไอ้บุ้งยังร้องไห้จ้าอยู่เป็นอาทิตย์ๆ”
ปภาดาหัวเราะคิกคัก “ปอนด์จำได้ ร้องจนปอนด์รำคาญ แต่เด็กที่ไม่ร้องก็มี พี่บีจำไม่ได้เหรอคะ”
บวรก้มลงจูบหน้าผากคนที่เงยหน้าขึ้นมามองเขา “จำได้สิคะ คนเก่งของพี่ไม่ร้องสักแอะ แถมยังอาสาดูแลน้องชายพี่ให้อีก”
“อิอิ พี่บีตอนใส่ชุดนักเรียนเนี่ยน่ารักที่สุดเลยค่ะ” ปภาดาหันไปหยิบมือถือของตัวเองมาโชว์หน้าจอ มันเป็นรูปบวรสมัยยังเป็นนักเรียนประถม เธอถ่ายภาพนี้มาจากรูปถ่ายอีกที “ตอนนี้ปอนด์ใช้ภาพนี้เป็นภาพหน้าจอค่ะ”
“น่าอายเกินไปแล้วไหมนั่น” บวรอายจริงๆ แต่พอเห็นภรรยาดี๊ด๊ากับรูปของตัวเองก็ดุให้เอาออกไม่ลง
“น่ารักค่ะ ไม่น่าอายเลย ปอนด์ว่าจะใช้รูปนี้ไปสักหลายๆ เดือนแล้วค่อยเปลี่ยน” ปภาดาลุกขึ้นพลางเดินไปที่เตียง
“งั้นให้พี่ใช้ภาพปอนด์ตอนประถมบ้างได้ไหม” บวรเองก็ก้าวขึ้นไปบนเตียงด้วยเช่นกัน
“หยุดเลยค่ะ ไม่เอาสมัยหัวเกรียนเด็ดขาดเลย” ปภาดาเอ็ด
“ทำไมล่ะคะ พี่ก็ว่าปอนด์ตอนประถมน่ารักดีออก”
“ตอนนั้นยังไม่สวยนี่คะ” ปภาดาทำหน้างอน “ขอสั่งห้ามเด็ดขาดเลย ว่าแต่ตอนนี้พี่บีใช้ภาพอะไรเป็นภาพหน้าจอคะ”
“ภาพน้องจันทร์เจ้าที่ถ่ายกับตุ๊ต๊ะ ตุ้มตุ้ย” บวรกดโทรศัพท์ให้ปภาดาดูภาพเด็กหญิงตัวน้อยซึ่งกำลังยิ้มกว้างจนเห็นฟันแทบหมดปากกับสุนัขแสนน่ารักทั้งสองตัว
“ตายแล้ว! ภาพนี้น่ารักโคตร ปอนด์เพิ่งจะเคยเห็น” ปภาดาตาวาว “ส่งให้ปอนด์บ้างสิคะ จะเปลี่ยนภาพหน้าจอมือถือ”
“อ้าว ไหนว่าจะใช้ภาพพี่ไปหลายๆ เดือน” บวรหัวเราะ
“ก็ลูกสาวของพวกเราน่ารักนี่นา”
“พี่ว่าน่าจะยังมีอีกหลายรูปนะที่ปอนด์ไม่เคยเห็น” บวรกำลังกดเปิดรูปถ่ายมากมายที่ถ่ายดุจจันทราไว้ให้ปภาดาดู แต่กลับมีสายเข้าจากบุลิน “ว่าไง ได้สิ เดี๋ยวฉันเดินไปรับ”
“มีอะไรเหรอคะ”
“น้องจันทร์เจ้าร้องจะมานอนด้วยน่ะ” บวรว่าพลางขยับตัวลุกขึ้น เพื่อจะเดินไปรับหลานสาวที่บ้านของน้องชายซึ่งอยู่ในรั้วบ้านเดียวกัน เพียงแต่สร้างอยู่ด้านหลังคฤหาสน์หลังโตจนถูกบดบัง ทำให้ไม่ค่อยมีคนรู้ว่ามีบ้านอีกหลังอยู่ด้านใน
เมื่อบวรเดินไปถึงบ้านหลังน้อยของน้องชายก็พบว่าเจ้าตัวกำลังอุ้มลูกสาวในชุดนอนหมีพูห์ยืนรออยู่บริเวณหน้าบ้าน แต่เด็กหญิงตัวเล็กวัยสี่ขวบกำลังหัวเราะร่วน ไหนว่าร้อง
พอเด็กหญิงหันมาเห็นเขาก็พยายามจะถลาตัวมาหาทันที บวรรับเอาคนตัวเล็กมาไว้ในอ้อมแขน
“ไงคะ อยากไปนอนกับพ่อบีเหรอ”
เด็กหญิงไม่ได้ตอบคำถาม เอาแต่หัวเราะคิกคัก
ดุจจันทรากอดคอคนเป็นลุง แต่ในความรู้สึกกลับไม่ได้ต่างจากคนเป็นพ่อเลยสักนิด
“เอานี่ไปด้วยครับ” บุลินส่งชุดอนุบาลซึ่งถูกรีดไว้เรียบร้อยแล้วให้กับพี่ชาย “ตอนเช้าก็ช่วยแต่งตัวให้น้องจันทร์เจ้าด้วยครับ”
“นี่คิดจะโยนภาระให้ฉันทั้งหมดเลย” บวรเลิกคิ้ว
“อ้าว ก็ลูกสาวพี่ไม่ใช่เหรอ คนนี้เนี่ย” บุลินยื่นมือไปจี้เอวลูกสาวด้วยความมันเขี้ยว ดุจจันทราหัวเราะพลางดิ้นหนีมือของผู้เป็นพ่อ “คืนนี้พ่อนอนเหงาแย่เลย”
“ให้พี่เจ้าขามานอนด้วยสิคะ” ลูกสาวบอกกับคนเป็นพ่อเสียงใส
“พี่เจ้าขาเป็นสาวแล้วค่ะ เขาชอบนอนคนเดียวมากกว่า ไม่มานอนกับพ่อกับแม่หรอก” เด็กหญิงดั่งบุหลันซึ่งกำลังจะขึ้นชั้น ป. 1 นั้นมีห้องส่วนตัวเป็นของตัวเองแล้ว
บวรนึกถึงหลานสาวคนโตอย่างดั่งบุหลัน รายนั้นเมื่อครั้งยังเด็กเคยติดพ่อแม่มากจนใครก็อุ้มไม่ได้ ส่วนตอนนี้น่ะเหรอ อาการนั้นหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว แถมยังดูท่าว่าจะเป็นสาวสายลุย โตกว่านี้เมื่อไหร่น้องชายของเขาคงได้ปวดหัวน่าดู แต่พอคิดๆ ไป ก็สมน้ำหน้าเพราะตอนเด็กๆ บุลินก็ไม่ใช่เด็กที่เลี้ยงง่ายเลย
“ได้เวลานอนแล้วเราไปกันเถอะ” บวรกระชับแขนที่อุ้มหลานสาวแน่นขึ้น
“พ่อบุ้งขา บ๊ายบายค่า” ดุจจันทราโบกมือเล็กๆ ให้กับคนเป็นพ่อและยังไม่ลืมแตะปากกับฝ่ามือเพื่อส่งเสียงจุ๊บๆ ด้วย
ระหว่างทางเดินกลับบวรก็เอ่ยปากถามหลานสาว “พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแล้วจันทร์เจ้ากลัวไหมคะ”
“ไม่กลัวค่า หนูอยากไปโรงเรียน โรงเรียนมีเพื่อนเยอะ” มารดาของเด็กหญิงอย่างนิศากรเป็นคนไปรับส่งลูกสาวไปโรงเรียน ดังนั้นจึงมักจะพาลูกสาวคนเล็กไปด้วย เธอจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับโรงเรียนพอดู
“จริงสิ จันทร์เจ้าไปโรงเรียนบ่อยแล้วเนอะ” บวรรู้สึกว่าตัวเองกังวลมากเกินไป
“ไปรับพี่เจ้าขาทุกวันเลย”
พอเปิดประตูห้องนอนปภาดาก็รีบเดินมาอุ้มดุจจันทราแทนบวร “แปรงฟันมาหรือยังคะลูกสาว” หญิงสาวหอมแก้มเด็กหญิงฟอดใหญ่
เพราะว่ามาค้างบ่อย ห้องของบวรกับปภาดาจึงมีข้าวของจำเป็นสำหรับเด็กหญิงเตรียมไว้พร้อม
“หนูแปรงแล้วค่ะ” ยิงฟันให้ดูจนแทบหมดปาก ก่อนจะหอมแก้มนุ่มของคนเป็นป้าโดยไม่ต้องขออีกทีหนึ่งด้วย ทำเอาปภาดาแทบใจละลาย
“ถ้าแปรงแล้วก็นอนกันเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นสายแล้วไปโรงเรียนไม่ทันจะยุ่งเอานะ” บวรไล่ต้อนสองแม่ลูกขึ้นเตียง ก่อนจะปิดไฟ
บวรกับปภาดาล้มตัวลงนอนขนาบซ้ายขวาของคนตัวเล็ก
“พรุ่งนี้แม่ปอนด์จะไปส่งหนูที่โรงเรียนไหมคะ”
“ไปค่ะ”
“พ่อบีล่ะคะ”
“อือ...ไม่รู้สิ พ่อขอคิดดูก่อน”
“ทำไมต้องคิดล่ะคะ หนูอยากให้พ่อบีไป”
บวรยอมแพ้ในที่สุดเพราะทนน้ำเสียงออดอ้อนไม่ไหว “ค่ะ พ่อบีจะไป”
ส่วนปภาดาก็แอบหัวเราะคิกคักเสียงเบา
“พรุ่งนี้จะได้การบ้านไหมคะ”
“ยังหรอกค่ะ” บวรตอบ
“แม่ปอนด์ถักเปียให้หนูหน่อยนะคะ”
“จ้า แม่จะถักให้นะ”
“ข้าวที่โรงเรียจะอร่อยเหมือนแม่ไนท์ทำไหมคะ”
“ไม่รู้สิคะ พ่อบียังไม่เคยกินข้าวที่โรงเรียนของน้องจันทร์เจ้าเลยค่ะ”
“พ่อบีคะ”
“คะ”
“หนูง่วงค่ะ”
บวรแอบหัวเราะโดยไม่มีเสียง “นอนสิคะ หลับฝันดีค่ะ”
ชายหนุ่มขยับตัวขึ้นจุมพิตลงบนหน้าผากเล็ก ก่อนจะยื่นตัวไปประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของภรรยาด้วย ปภาดายิ้มในความมืดสลัวอย่างมีความสุขก่อนจะหลับไป
ไหนใครว่าดุจจันทราจะไม่ร้องไห้
แล้วไอ้ที่กำลังเกาะขาเขาแน่นเป็นลูกลิงแล้วร้องไห้ลั่นนี่คืออะไร!
“พะ...พ่อบี ไม่ไป ไม่ไป แงงงง!” ดุจจันทราทั้งกอดและเกี่ยวขาเล็กกับขาแข็งแรงของบวร บุลินที่ยืนอยู่ด้วยกันขำจนตัวสั่น ปภาดาชกแขนเพื่อนพลางกลั้นขำเหมือนกัน
“อย่าหัวเราะสิไอ้บุ้ง น้องจันทร์เจ้ากำลังร้องไห้จนน่าสงสารอยู่นะ” ปภาดากระซิบเสียงเบา
“แต่มันไม่ไหวว่ะ ขำหน้าพี่บี ดูสิจะร้องไห้ตามแล้ว”
“ไอ้บ้านั่นพี่ชายไง ให้เกียรติด้วย” คนพูดเองก็กัดปากตัวเองแน่น
บวรย่อตัวลงพลางแกะแขนขาเล็กที่เกาะเขาแน่นออกก่อนจะอุ้มดุจจันทราขึ้นมา เด็กหญิงซุกหน้าร้องไห้โฮกับซอกคอของชายหนุ่ม
บุลินเดินเข้ามาลูบหลังลูกสาวอย่างอ่อนโยน “ไหนใครบอกพ่อว่าอยากมาโรงเรียน”
“นะ...หนู...นึกว่าพ่อ...บีจะ....อยู่เรียนด้วย” น้ำเสียงของดุจจันทราสะอึกสะอื้นจนคนฟังต้องตั้งใจมาก พอจับใจความได้ก็อดร้อง โถๆ เด็กน้อย ในใจไม่ได้เลย
“พ่อบีต้องไปทำงานค่ะ งานเยอะมากเลย ถ้าพ่อบีไม่ไปทำงาน พี่ๆ ที่บริษัทต้องแย่แน่ๆ ค่ะ”
ดุจจันทราเคยไปวิ่งเล่นที่บริษัทอยู่หลายครั้งและพวกพี่ๆ ก็ใจดีมาก เด็กหญิงนิ่งไปราวกับกำลังประมวลคำพูดให้เข้าใจ แต่สุดท้ายก็ยังร้องไห้ต่อไปอยู่ดี
“ตอนเย็นพ่อบีกับแม่ปอนด์จะรีบมารับจันทร์เจ้านะคะ” หลังจากหยุดขำ ปภาดาก็เข้ามาช่วยปลอบเด็กหญิงด้วย
นิศากรซึ่งเพิ่งเดินไปส่งลูกสาวคนโตที่ห้องเรียนใหม่กลับมาเห็นเหตุการณ์น่าปวดหัวก็ได้แต่อมยิ้ม ผู้ใหญ่สามคนทำยังไงเด็กหญิงก็ไม่ยอมหยุดร้องสักที
“พี่บีส่งน้องจันทร์เจ้ามาให้ไนท์เถอะค่ะ”
บวรส่งหลานสาวให้กับน้องสะใภ้ แม้คนตัวเล็กจะอยู่ในอ้อมกอดของคนเป็นแม่แล้วก็ยังเอาแต่ร้องไห้ นิศากรส่งเสียงกล่อมเบาๆ ก่อนจะก้าวเดินเร็วๆ ไปยังห้องเรียน ส่งดุจจันทราให้กับครูประจำชั้นแล้วเดินจากมาโดยไม่หันกลับไปมอง
“กลับกันได้แล้วค่ะ ถ้ายิ่งร่ำลานานเขาจะยิ่งไม่หยุดร้องนะคะ” ทั้งสามคนได้แต่มองนิศากรตาปริบๆ “ไนท์บอกกับลูกไปว่าถ้านาฬิกาบนข้อมือเป็นเลข 15.00 เมื่อไหร่ จะมีคนมารับ ถ้าพี่บีกับพี่ปอนด์อยากมารับจะต้องมาให้ตรงเวลานะคะ ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้น้องจันทร์เจ้าจะร้องไห้งอแงอีก เพราะคิดว่าถูกพวกเราทิ้ง” หญิงสาวอธิบาย
“โห น้องไนท์ใจเด็ดอะ” ปภาดายกนิ้วให้กับน้องสะใภ้
“ก็มีประสบการณ์แล้วนี่คะ”
“ว่าแต่จะไม่เป็นอะไรจริงๆ เหรอ” บวรอดเหลียวไปมองห้องเรียนของดุจจันทราไม่ได้
“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ได้เจอเพื่อนก็หยุดร้องไห้เอง อีกอย่างคุณครูก็บอกว่าถ้าน้องไม่หยุดร้องไห้หรือดูมีอาการเครียดกว่าปกติจะรีบโทรมาบอก พวกพี่วางใจเถอะค่ะ “นิศากรยิ้มไปพูดไป “อีกอย่างถ้ายอมมาโรงเรียนอย่างราบรื่นจนครบหนึ่งอาทิตย์ก็ว่าจะจัดปาร์ตี้เล็กๆ แล้วก็ให้ของขวัญเป็นกำลังใจที่เป็นเด็กดีด้วยค่ะ”
บุลินมองภรรยาด้วยความเอ็นดู รู้สึกความสุขในใจนั้นกำลังล้นทะลัก อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปจูงมือเธอกลับไปยังรถที่จอดรออยู่
“พี่สู้น้องไนท์ไม่ได้เลย” บวรบ่นกับคนข้างกาย
“โถ ก็พี่บีเป็นคุณพ่อมือใหม่นี่คะ นั่นน่ะคุณแม่มืออาชีพแล้ว” ปภาดาหัวเราะ “เย็นนี้เรามารับน้องจันทร์เจ้าด้วยกันนะคะ”
บวรยิ้มกว้าง “รับรองว่าพี่ไม่พลาดแน่นอนค่ะ”
เย็นวันนั้นปภาดาก็ได้รูปถ่ายพ่อบีกับลูกสาวที่กอดกันแน่นเพราะคิดถึง หลังจากห่างกันไปตั้งหลายชั่วโมงมาใช้เป็นภาพหน้าจอภาพใหม่
ตอนพิเศษ คนที่แสนโชคดี บุลินนอนมองคุณแม่ของลูกสาวทั้งสองซึ่งยังหลับสนิท เพราะวันนี้เป็นวันหยุดของลูกๆ รวมถึงของเขาด้วย เธอจึงไม่ต้องรีบตื่นเพื่อเข้าครัวทำมื้อเช้าให้กับทุกคน เธอปรือตาขึ้นมองสามี แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองนิ่งๆ เท่านั้น บุลินอดใจไว้ไม่ไหวจึงยื่นหน้าไปจูบหนักๆ ลงบนหน้าผากของคนที่ยังไม่ตื่นเต็มตา ลูกสาวคนโตนอนหลับอยู่ในห้องส่วนตัวของเธอ ส่วนคนเล็กไปนอนค้างกับบวรและปภาดา ดังนั้นตอนนี้พวกเขาจึงมีเพียงกันและกันอยู่บนเตียงกว้าง ช่างเป็นยามเช้าที่แสนเย้ายวนใจ “น้องไนท์ถุงยางอนามัยหมดแล้ว” บุลินก้มลงกระซิบ มือก็ลากไล้ไปตามเอวของหญิงสาวที่ขยับขยายกว้างขึ้นเล็กน้อยเพราะผ่านการเป็นคุณแม่มาแล้ว นิศากรพยักหน้ารับรู้เบาๆ เขาอมยิ้ม “ถ้าไม่ใช้ก็อาจจะท้องอีกนะครับ” คนฟังขมวดคิ้ว ตอนแรกเธอไม่ได้คิดอะไร แต่พอได้ยินอีกประโยคสติก็เริ่มแจ่มชัด “พี่บุ้งอยากมีอีกคนเหรอคะ” “เจ้าขาก็โตแล้ว จันทร์เจ้าก็ถูกพี่บีแย่งไป เหงาน่ะไม่มีใครให้อุ้มเลย” “ลูกมากจะยากจนนะคะ” นิศากรหัวเราะคิกคัก
ตอนพิเศษ เมื่อพบกันอีกครั้ง ลูกสาวคนโตวัยเกือบเจ็ดขวบกว่านั้นไม่เคยมาขอนอนด้วยอีกเลยตั้งแต่มีห้องส่วนตัวเป็นของตัวเองส่วนลูกสาวคนเล็กที่อายุเพิ่งครบห้าปีก็แทบจะไปนอนกับบวรและปภาดาวันเว้นวัน ดังนั้นสองสามีภรรยาจึงมีเวลาส่วนตัวในยามค่ำคืนอยู่มาก นิศากรหวีผมเรียบร้อยแล้วก็ปีนขึ้นเตียงไปหาสามีที่กำลังอ้าแขนรอ เธอซบหน้ากับอกของชายหนุ่มพลางหายใจเอากลิ่นหอมจากกายสามีเข้าเต็มปอด “มีอะไรครับ” บุลินเอ่ยถามเพราะรู้สึกได้ถึงอาการกังวลใจของภรรยา “เดย์บอกว่าคุณพ่ออยากเจอไนท์ค่ะ” อ้อมแขนแข็งแรงกอดกระชับแน่นขึ้น “อยากเจอหรือเปล่าครับ” เธอพยักหน้า “เดย์บอกว่าคุณพ่อกังวลมากและคิดอยู่นานว่าจะเจอไนท์ดีหรือเปล่า” หญิงสาวถอนหายใจ “ไนท์จะเริ่มต้นใหม่กับคุณพ่อได้ไหมคะ มันจะราบรื่นหรือเปล่า” “ยังไงก็มีเจ้าขากับจันทร์เจ้าอยู่นะครับ คุณพ่อเอ็นดูสองคนนั้นจะตายไป” บุลินพาลูกสาวทั้งสองคนไปเยี่ยมชัยกรอย่างน้อยเดือนละครั้ง “ลูกต้องช่วยให้บรรยากาศระหว่างเธอกับท่านเป็นไปอย่างราบรื่นแน่” “ไนท์ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นค่ะ” “ยังไงก็
ตอนพิเศษ ดุจจันทรา ดุจจันทราหรือน้องจันทร์เจ้าของทุกคน ลูกสาวคนที่สองของบุลิน เป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด ทำเอาทุกกังวลใจกันไปหมด แต่หลังจากออกจากตู้อบมาแล้ว ร่างกายก็แข็งแรงดี เพียงแต่เจ้าตัวกลับติดบวรมากกว่าคนเป็นพ่ออย่างบุลินเสียอีก ดังนั้นจึงกลายเป็นพ่อบี พ่อบุ้งไปโดยปริยาย “พรุ่งนี้จันทร์เจ้าจะไปโรงเรียนเป็นวันแรก พี่บีจะไปส่งลูกไหมคะ” ปภาดาซึ่งนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจก หันมาถามสามีเมื่อเห็นว่าเขาออกมาจากห้องน้ำแล้ว “พี่ว่าจะไม่ไปหรอก” บวรรับหวีมาจากมือของปภาดาแล้วช่วยแปรงผมให้อย่างเบามือ “อ้าวทำไมล่ะ ลูกไปโรงเรียนวันแรกเลยนะ ไอ้บุ้งก็บอกว่าต้องลองไปสัมผัสดู ครั้งเดียวในชีวิตเลยที่ลูกจะมีวันนี้” ปภาดาฟังประสบการณ์ครั้งแรกของบุลินที่ไปส่งดั่งบุหลันลูกสาวคนโตแล้วตื่นเต้นอยากไปบ้าง “ไม่อยากเห็นน้องจันทร์เจ้าร้องไห้น่ะค่ะ” “โอ๊ย พ่อบี น้องจันทร์เจ้าเก่งจะตายไป ไม่ร้องหรอก” “ต้องร้องแน่ๆ ไม่มีเด็กคนไหนไม่ร้องหรอก ขนาดไอ้บุ้งยังร้องไห้จ้าอยู่เป็นอาทิตย์ๆ” ปภาดาหัวเราะคิกคัก “ปอนด์จำได้ ร้องจนปอนด์รำคาญ แต่เด็กที่ไม่
ตอนพิเศษ ดั่งบุหลัน “เจ้าขาคนดีของพ่อบุ้ง ทำไมถึงไม่อยากไปโรงเรียนล่ะครับ” บุลินถูกภรรยาวานให้มากล่อมลูกสาวคนโตที่งอแงไม่ยอมไปโรงเรียน ชายหนุ่มเท้าคางนอนตะแคงอยู่ข้างลูกสาวที่ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มนิ่ง แม้ว่าจะพูดอะไรก็ไม่ยอมตอบกลับมาสักคำ “ลืมทำการบ้านหรือเปล่า กลัวคุณครูดุก็เลยไม่อยากไปโรงเรียนเหรอครับ” บุลินพยายามคาดเดาเหตุผลที่ลูกสาวไม่อยากไปโรงเรียน “หรือว่าถูกใครแกล้ง” พอพูดออกไปเขาก็ขมวดคิ้ว เท่าที่ผ่านมาไม่มีเด็กกล้ารังแกลูกเขาหรอก เคยทำคนที่มาแกล้งจนฟันน้ำนมหักเลยด้วยซ้ำ เหตุผลนี้คงไม่ใช่ “เราเคยสัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอครับว่ามีอะไรก็จะบอกพ่อบุ้ง เจ้าขาก็รู้ว่าพ่อเก็บความลับเก่งที่สุดเลย” คนร่างจิ๋วภายใต้ผ้าห่มขยับตัวยุกยิก บุลินใจชื้นที่ลูกสาวมีปฏิกิริยาสักที เขารอคอยอย่างอดทนให้ลูกสาวออกมาคุยกันดีๆ แต่แล้วกลับนิ่งไปอีก “เอ๊ะ หรือว่าจริงๆ แล้วป่วย” บุลินพยายามจะดึงผ้าห่มออกจากตัวของลูกสาว “พ่อหนูไม่ได้ป่วยนะ” น้ำเสียงเล็กๆ ที่ตอบกลับมานั้นฟังอู้อี้ “แล้วทำไมไม่อยากไปโรงเรียนล่ะครับ” “ก็มัน...เสียใจ เจ
ตอนที่ ๒๓ ถึงคนเป็นพ่อจะยังไม่หายดีและยังไม่พร้อมเจอกับนิศากร แต่เรื่องที่ยอมให้อยู่กับบุลินได้อย่างเดิมก็ถือว่าเป็นความก้าวหน้าทางด้านอารมณ์ของชัยกรไปในทางที่ดี อย่างน้อยๆ เธอก็ไม่ต้องเผชิญกับอารมณ์เดี๋ยวรัก เดี๋ยวเกลียดของอีกฝ่ายอีกต่อไปแล้ว พอเดินพ้นประตูบ้านเข้าไปด้านในโดยมีมือของบุลินที่กอบกุมมือเธออยู่ ก็พบว่าทุกคนในครอบครัวของเขาอยู่ที่นั่นเพื่อรอต้อนรับการกลับมาของเธอ รวมทั้งน้องสาวฝาแฝดอย่างทิพากรด้วย ซึ่งวันนี้ถูกแต่งหน้าจนสวยกว่าทุกที ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นฝีมือของปภาดาอย่างแน่นอน นิศากรเดินเข้าไปหาแสงรุ้งเป็นคนแรก หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบโยน “ขวัญเอ๋ย ขวัญมา” แล้วจับมือของหญิงสาวมาบีบเบาๆ “จากนี้ต่อไปก็ขออย่าให้มีอะไรมาพรากเธอไปจากหลานชายฉันอีกเลย” “คงไม่มีแล้วค่ะ ยกเว้นพี่บุ้งจะเบื่อไนท์” “ไม่มีวันนั้นหรอกน่า” บุลินแทรกขึ้นมาทันที “ย่าก็ว่าอย่างนั้นแหละ” หญิงชรายังคงไม่ยอมปล่อยมือของคนอ่อนวัยกว่าและเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แล้วคราวนี้ฉันก็จะไม่ยอมแน่” “นั่นสิ คราวนี้ไม่มีใครยอมหรอกนะน้องไนท์” ปภาดาเบ
ตอนที่ ๒๒ “เราว่าเนื้อเรื่องดูสดใสขึ้นนะ” คเชนทร์ที่ได้รับอนุญาตให้อ่านพล็อตของเพื่อนก่อนใครให้คำวิจารณ์กับเพื่อนสนิท นิศากรยิ้มจนตาหยี “ดีกว่าเดิมใช่ไหม” “เราก็คิดว่าดีกว่าเดิมนะ เหมาะกับลายเส้นน่ารักๆ ของเธอด้วย แถมพระเอกนิสัยสามีแห่งชาติขนาดนี้ เขียนให้เป็นแนวรักไปเลยน่าจะผ่านนะ” เพราะว่าพล็อตคราวก่อนไม่ผ่านจึงต้องมาปรับกันใหม่ “แล้วนี่ อยู่คนเดียวโอเคใช่ไหม” “โอเค เราอยู่ได้ไม่ต้องห่วง แต่ว่าจริงๆ แล้ว พี่บุ้งมาหาทุกสองสามวันเลยแหละ ไม่ค่อยเหมือนอยู่คนเดียวสักเท่าไหร่” คเชนทร์ได้ฟังแล้วก็หัวเราะ เมื่อนึกถึงสามีของเพื่อนที่หย่ากันเพราะความจำเป็น แต่ทั้งสองยังรักกันดีจนเขาอดอิจฉาไม่ได้พอคิดถึงแฟนที่เพิ่งเลิกกันไปก็น้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง “เอ๊ะ นั่นน้องสาวเธอหรือเปล่า” นิศากรหันหน้าไปตามสายตาของคเชนทร์ ก็พบว่าทิพากรเดินเคียงมากับชายหนุ่มร่างสูงท่าทางดูดีมากคนหนึ่ง เธอจำได้ว่านั่นคือยามที่เคยเป็นกระแสในโลกโซเชียลของโรงแรมบุลินซึ่งทำให้ยอดจองช่วงหนึ่งมากขึ้นจนน่าตกใจ “สองคนนั้นสนิทกันเหรอเนี่ย” นิศากรเลิก