สุนิษาเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่านิศากรเดินจูงมือกับใครอีกคนซึ่งหน้าเหมือนกันราวกับพิมพ์ เธอรู้ว่าชัยกรมีลูกฝาแฝด แต่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับอีกคนหนึ่ง
“น้าสุคะ ไนท์พาเดย์มาเยี่ยมคุณพ่อค่ะ”
“เออ...ไม่ใช่ว่าพ่อเธอไม่ชอบหน้าลูกสาวอีกคนหรอกเหรอ” สุนิษาพูดเสียงเบา “ฉันกลัวว่าจะอาละวาดขึ้นมาอีก เธอก็รู้นี่ตอนนี้ถ้าทำอะไรขัดใจก็...” นึกถึงเมื่อวานที่นิศากรขอให้จิตแพทย์มาคุยด้วย แต่ชัยกรกลับอาละวาดโวยวายราวกับคนบ้า เธอก็ขยาด ยังดีที่มีคนรองรับอารมณ์กลับมาแล้วเธอจึงเบาใจว่าตัวเองคงไม่เดือดร้อน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถึงจะอาละวาดขึ้นมา พวกหนูจะช่วยกันรับมือเอง”
“งั้นฉันก็แล้วแต่พวกเธอ” สุนิษาดูเวลาในมือถือ “ส่วนฉันขอตัวก่อน นัดกับเพื่อนว่าจะไปสปา” เธอยิ้มให้กับลูกเลี้ยง แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
“เดย์ไม่ชอบยายป้านี่เลย” ทิพากรมองตามร่างของสุนิษาไปจนลับสายตา “ถึงจะไม่ได้ทำตัวเป็นแม่เลี้ยงใจร้าย แต่เขาทำเฉยทั้งๆ ที่รู้ว่าพี่ไนท์ถูกพ่อทำอะไรบ้างเนี่ยนะ แบบนี้ก็ไม่ต่างกันกับคุณพ่อหรอก”
“พี่ว่าแค่เขาไม่คอยซ้ำเติมก็ดีแล้วละ” นิศากรเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลงๆ ก่อนจะจูงมือน้องสาวเข้าไปยังห้องพักผู้ป่วยของ
ชัยกรบนเตียงกลางห้องกว้าง ชัยกรกำลังนอนหลับสนิท ทิพากรมองดูดวงหน้าของคนเป็นพ่อที่ไม่ได้เห็นมาเนิ่นนานด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเหมือนกัน เพราะตอนนี้มันตีกัน ทั้งคิดถึงและรังเกียจ
ฝาแฝดถอยไปนั่งบนโซฟารอให้คนเป็นพ่อตื่นอย่างเงียบๆ ทิพากรแอบมองพี่สาวซึ่งนั่งเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ตอนแรกเธอโกรธพี่เขยแทบตายที่อยู่ๆ มาขอหย่ากับนิศากร แต่พอเห็นว่าพี่สาวกลับยิ้มแล้วบอกว่าพี่เต็มใจหย่าเอง แล้วก็ไม่ได้โกรธกันเลยสักนิด
“พี่คิดว่าหย่ากันมันดีแล้วละ คุณพ่อจะได้ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับพวกเขาอีก”
ทิพากรเบือนหน้าจากพี่สาวพลางมองตรงไปยังเตียงคนไข้ที่ชัยกรกำลังหลับอยู่ ลึกๆ ในใจแล้วเธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณพ่อที่เคยน่ารักขนาดนั้นกลับกลายเป็นเหมือนปีศาจร้ายไปได้เพียงเพราะถูกหักหลังจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่มีค่าพอจะให้รักอย่างแม่ของพวกเธอ
ถ้าถามว่าเธอเกลียดพ่อของตัวเองไหม แน่นอนทิพากรจะบอกว่าเกลียดสิ แต่เกลียดใครมากที่สุด ก็คงตอบได้ว่าแม่กับปู่ของพวกเธอนี่แหละ เพราะเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
ยิ่งพอมานึกดู สมัยนั้นที่สองคนนั้นไม่ค่อยระวังตัวเพราะเห็นว่าพวกเธอยังเด็ก ภาพในความทรงจำที่ทั้งสองจับมือกัน ไม่ก็นั่งชิดกันหรือบางครั้งก็สบตากันนานๆ คิดถึงทีไรก็คล้ายกับว่าในท้องมันปั่นป่วนไปหมดจนอยากจะอ้วกออกมา ยิ่งโตมาแล้วรู้ว่าพวกเขาแอบไปทำอะไรกันจนฝ่ายหนึ่งท้องก็เกิดความรู้สึกขยะแขยงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
“พี่ไนท์พ่อกำลังจะตื่นแล้ว” ทิพากรสะกิดพี่สาวเบาๆ นิศากรจึงเบือนหน้าจากหน้าต่างมามองชัยกร
“คุณพ่อ” นิศากรลุกเดินขึ้นไปหาพ่อของเธอ มองดูแขนที่มีร่องรอยการกรีดข้อมือและรอยแผลอีกหลายรอยบนแขน อีกทั้งความอ่อนแอที่เกิดจากการอดอาหารทำให้ชัยกรดูซูบซีดเป็นอย่างมาก ชัยกรยื่นมือไปหาลูกสาว แต่นิศากรกลับยืนนิ่ง ส่วนทิพากรก็ก้าวเข้ามายืนข้างกัน
“แกมาที่นี่ทำไม กลับไปอยู่กับแม่ชั่วๆ ของแกสิ!” ชัยกรจ้องทิพากรด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว
ทิพากรตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณแม่เสียไปแล้วค่ะ เมื่อไม่กี่เดือนก่อน”
ดวงตาของชัยกรเบิกกว้าง นิ่งอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ดีแล้ว ตายๆ ไปเถอะผู้หญิงน่ารังเกียจแบบนั้น”
“แต่แม่ฝากมาขอโทษคุณพ่อด้วยนะคะ” ทิพากรนึกถึงช่วงชีวิตก่อนที่สิรินภาจะสิ้นใจ ทั้งๆ ที่ถือทิฐิมาตลอดตั้งแต่ถูกชัยกรไล่ออกจากบ้าน แต่ช่วงเวลาของความเป็นความตายกลับร้องไห้ออกมาและพูดขอโทษอดีตสามีทั้งน้ำตา
“ฉัน...ฉันไม่รับคำขอโทษจากผู้หญิงคนนั้นหรอก” ชัยกรขบกรามแน่น
“คุณแม่บอกว่าจะยกโทษหรือไม่ยกโทษก็ไม่เป็นไรค่ะ ขอแค่ได้บอกก็พอ”
“ฉันรู้แล้ว แกกลับไปได้แล้ว คนที่ทิ้งฉันไปแล้วน่ะ ยังไงฉันก็ไม่อยากเห็นหน้าอีก” ชัยกรเบือนหน้าหนี
ทิพากรถอนหายใจ “ยังไงก็ไปแน่ค่ะ แต่หลังจากที่ตกลงบางอย่างกับคุณพ่อเสร็จแล้วนะคะ”
ชัยกรตวัดสายตากลับมามองลูกสาวฝาแฝดซึ่งครั้งหนึ่งในวันที่พวกเธอเกิดมา เป็นวันที่เขาคิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก
นิศากรสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเอ่ยอย่างช้าๆ “หนูขอพูดเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะคะ หนูต้องการให้คุณพ่อรับการรักษาจากจิตแพทย์ค่ะ”
“ฉันไม่ต้องการ ฉันไม่ได้บ้า!” ชัยกรตวาดลั่น
ทิพากรกุมมือพี่สาวแน่นเป็นเชิงให้กำลังใจ “คุณพ่อไม่ได้บ้าค่ะ คุณพ่อแค่กำลังป่วยทางใจ เพราะฉะนั้นคุณพ่อก็เลยจำเป็นต้องรักษาด้วยจิตแพทย์”
“ทำมาพูดว่าจิตแพทย์ สุดท้ายก็แค่หมอรักษาคนบ้า”
“คุณพ่อคะ” นิศากรเอ่ยตัดพ้อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “คุณพ่อไม่รักพวกหนูเลยเหรอคะ สักนิดก็ไม่รักแล้วเหรอคะ”
ชัยกรนิ่งงัน ภาพของทั้งสองคนในวัยเยาว์นั้นบริสุทธิ์และไร้เดียงสาที่สุด แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเพราะทั้งคู่เกิดจากผู้หญิงน่ารังเกียจคนนั้น ถ้าทั้งคู่เป็นแค่ลูกของเขาคนเดียว
แค่เขาคนเดียวมันจะดีแค่ไหนกันนะ เขาเอาแต่คิดแบบนี้ซ้ำๆ อยู่ตลอดเวลาจนแทบบ้า
ใช่ เขาแทบจะบ้าไปแล้ว
“ฉัน...” ตั้งแต่เมื่อไหร่เขาเองก็ไม่รู้ตัวเลยว่าไม่ได้แทนตัวเองว่าพ่อมานานแค่ไหนแล้ว “รักสิ เพราะพวกเธอเป็นลูกของพ่อนะ เป็นลูกของพ่อจริงๆ พ่อตรวจดีเอ็นเอยืนยันแล้วด้วย!”
“ถ้าคุณพ่อรักพวกเรา คุณพ่อก็ต้องหยุดทำร้ายพี่ไนท์เสียที” ทิพากรกระชับมือพี่สาวแน่นขึ้น “พวกหนูรู้ว่าคุณพ่อใจสลายเพราะเรื่องของคุณแม่กับปู่ แต่พี่ไนท์ก็ไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ของคุณพ่อ ถ้าคุณพ่อไม่หยุด วันหนึ่งพี่ไนท์ก็คงทนไม่ไหวแน่ๆ บางทีอาจจะถึงขั้นทำแบบเดียวกับที่คุณพ่อทำก็ได้” ทิพากรกลัวมาตลอด เธอกลัวว่านิศากรจะฆ่าตัวตายเข้าสักวัน
ชัยกรส่ายหน้า “ไม่ อย่าทำแบบนั้น”
“เพราะฉะนั้นคุณพ่อยอมเถอะนะคะ พบจิตแพทย์สักครั้ง แค่ครั้งเดียวก็ยังดี”
“ไม่!” ชัยกรยังคงดื้อดึงจนนิศากรแทบอยากจะร้องไห้
หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น เธอไม่รู้ว่าทำแบบนี้จะดีหรือเปล่า แต่ถ้าชัยกรเอาชีวิตตัวเองมาต่อรองกับเธอได้ เธอเองก็จะสู้ด้วยวิธีนี้
“ถ้าคุณพ่อยังไม่ยอม หนูก็คงจะไม่สามารถอยู่ตรงนี้กับคุณพ่อได้อีก เพราะหนูเองก็แทบจะทนไม่ไหวแล้วค่ะ มันเจ็บปวดมากๆ เลยนะคะที่ถูกคนที่เรารักมากที่สุดทำร้ายเอา”
ชัยกรมองนิศากรด้วยดวงตาเบิกกว้าง คำว่าถูกคนที่รักทำร้ายเอานั้นเหมือนกับค้อนที่ทุบลงมาบนหัวใจ สีหน้ารวดร้าวของคนเป็นลูกนั้นไม่ต่างจากตอนที่เขาได้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับคนที่รักอย่างสิรินภาและคนที่เขารักมากที่สุดอย่างคนเป็นพ่อ
“หนูจะกลับมาก็ต่อเมื่อคุณพ่อยอมรักษาตัวจนหายดี”
“ละ...ลูกจะไปไหน”
“ที่ไหนก็ได้ค่ะ ที่ที่คุณพ่อจะไม่สามารถทำร้ายหนูได้อีก” น้ำตาไหลอาบแก้มของนิศากร
ทิพากรเดินเข้าไปจับมือของคนเป็นพ่อ “ให้พี่ไนท์เขาไปเถอะนะคะ เมื่อไหร่ที่เดย์เห็นว่าคุณพ่อหายดีแล้ว เดย์จะเป็นคนบอกให้พี่เขากลับมาค่ะ”
ชัยกรมองดูนิศากรที่กำลังจะจากไป “ถ้าเธอทำแบบนั้น ฉันก็จะ...”
“ก็แล้วแต่คุณพ่อค่ะ หนูเหนื่อยเกินกว่าจะรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว” นิศากรใช้สายตาที่ไม่แสดงอาการยินดียินร้ายมองคนเป็นพ่อ เธอรู้ว่าพ่อของเธอน่าสงสาร แต่วันนี้เธอเองก็ยอมรับได้เสียทีว่าตัวเองก็น่าสงสารเช่นกัน
ความรู้สึกสึกผิดที่เป็นสาเหตุให้พ่อรู้เรื่องของคนเป็นแม่ซึ่งคอยกัดกินจิตใจของเธอมาตลอดนั้นหยุดลงแล้ว เธอต้องเข้มแข็งและจะไม่ยอมแพ้ต่อมันอีก
และในที่สุดเธอก็เดินจากมาได้
นิศากรอ่านหนังสือการ์ตูนเรื่องใหม่ที่เพิ่งซื้อมาพลางฟังเสียงฝนอยู่ภายในห้องพักของอะพาร์ตเมนต์กลางเก่ากลางใหม่ที่เธอตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่ หลังจากเดินออกมาจากบ้านที่เธออยู่มาตั้งแต่เกิดของชัยกร เพื่อมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียว
“พี่ว่าที่นอนมันแข็งไปหรือเปล่าเนี่ย”
เพียงแต่บางครั้งก็จะมีคนแวะมาหา...
หญิงสาวซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาซึ่งตั้งชิดผนังด้านข้างขนานกับเตียงนอนเงยหน้าขึ้นมองบุลินที่นอนเท้าแขนมองเธอมาจากบนเตียง
“ก็ไม่นี่คะ ไนท์ว่าไม่เห็นจะแข็งตรงไหนเลย”
“แต่พี่ว่าแข็ง แถมห้องนี้ก็แคบ ทำไมไม่เช่าคอนโดไปเลยล่ะ เอาที่มันสะดวกสบายกว่านี้”
นิศากรส่ายหน้า “ไนท์จ่ายไม่ไหวนี่คะ”
“ให้พี่จ่ายให้”
“พี่บุ้งลืมเหรอคะ เราหย่ากันแล้ว ทำไมพี่จะต้องมาจ่ายให้ไนท์ด้วย” หญิงสาวยิ้มละไม ในขณะที่บุลินเบ้ปาก
บุลินทิ้งตัวซบหน้าลงกับหมอนที่มีกลิ่นหอมของนิศากรติดอยู่ “เฮ้อ อีกนานไหมเนี่ยกว่าคุณพ่อตาจะอาการดีขึ้น”
“เห็นเดย์ว่ายอมไปคุยกับจิตแพทย์แล้วครั้งหนึ่งค่ะ”
“แค่ครั้งเดียวเนี่ยนะ แบบนี้พวกเราจะต้องรอไปอีกนานแค่ไหนถึงจะกลับมาอยู่กันได้อย่างปกติ” เงยหน้าขึ้นมาบ่น
นิศากรลุกเดินไปหาบุลินที่เตียง นั่งลงข้างชายหนุ่ม “ขอบคุณนะคะที่ยอมอดทนเพื่อไนท์ขนาดนี้”
“มีรางวัลหรือเปล่า” ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นนั่ง
“เขาบอกกันว่าทำดีอย่าหวังผลตอบแทนไม่ใช่เหรอคะ” นิศากรยกมือขึ้นปิดปากของคนที่ยื่นมาหา
“พี่ก็ไม่ได้ทำดีอะไรสักเท่าไหร่นี่ พี่ทำไปเพื่อตัวเองทั้งนั้น”
ถึงชายหนุ่มจะบอกว่าทำเพื่อตัวเอง แต่ทุกอย่างนั้นสุดท้ายแล้วก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเธอ นิศากรจึงยอมปล่อยให้เขาโน้มใบหน้ามาหาเธอเพื่อรับจุมพิตเป็นรางวัล
“อดทนอีกหน่อยนะคะพี่บุ้ง ถ้าคุณพ่อไม่รู้สึกว่าไนท์ถูกพี่บุ้งแย่งไปเป็นของพี่เมื่อไหร่ ไนท์ก็จะไม่ไปไหนไกลจากพี่บุ้งอีกแล้ว” นิศากรยกมือขึ้นโอบกอดชายหนุ่ม
บุลินยกแขนขึ้นกอดตอบ “พี่ว่าเรามาคิดว่ามันเป็นช่วงที่เราเป็นแฟนกันดีกว่า เพราะเราไม่มีช่วงเวลาแบบนั้นเลยนี่นา”
คนในอ้อมแขนของชายหนุ่มหัวเราะคิก “แบบนั้นก็ดีค่ะ”
“อยากไปเดตที่ไหนครับ”
“ที่ไหนก็ได้ค่ะ ขอแค่มีพี่บุ้งคนตัวหอมไปด้วยกันก็พอ” นิศากรซุกหน้าลงซบอกกว้างแบบที่เธอชอบทำ ชายหนุ่มยังตัวหอมเหมือนเคยไม่เปลี่ยน
“ปากหวานจังเลยนะเธอ” บุลินล้มตัวลงนอนพลางดึงร่างบอบบางของนิศากรให้ล้มลงมาด้วย เธอจึงหนุนแขนเขาแทนหมอน
“บางครั้งไนท์ก็กำลังคิดว่าตัวเองฝันไปหรือเปล่า” เธอแนบฝ่ามือลงบนหัวใจของบุลิน “แต่ทุกครั้งที่สัมผัสแล้วได้ยินเสียงหัวใจของพี่บุ้ง ไนท์จะรู้ว่าไม่ได้ฝัน พี่บุ้งมีตัวตนจริงๆ ด้วย”
ชายหนุ่มกดจูบลงบนหน้าผากของหญิงสาว “ไม่มีตัวจริงไปกว่านี้อีกแล้ว อยากพิสูจน์ไหมล่ะ”
“พิสูจน์ยังไงล่ะคะ” นิศากรเงยหน้าขึ้นก็พบกับดวงตาที่ทอประกายวิบวับของบุลินซึ่งตอนนี้พลิกตัวขึ้นมาคร่อมร่างเธอเอาไว้ “อ๋อ”
บุลินยิ้มพรายพลางมองหญิงสาวที่ตอนนี้ไม่ยอมสบตากันแล้วเพราะความขัดเขิน เขาได้แต่ยิ้มอย่างเอ็นดู ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหาโทรศัพท์มือถือ ตั้งใจจะปิดมัน แต่เขาก็เร็วไม่พอ
นิศากรหัวเราะเบาๆ เพราะเสียงสบถของบุลิน เขาก้มลงมองเธอแล้วจูบเร็วๆ ทีหนึ่ง “สายนี้ไม่รับไม่ได้ด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไนท์ไม่รีบ” เสียงใสๆ ของนิศากรทำให้บุลินมันเขี้ยวจนแทบทนไม่ไหว ทั้งรู้สึกโล่งใจด้วยที่ได้ยินเสียงแบบนี้จากเจ้าตัวสักที หลังจากที่ไม่ได้ยินมานานแล้ว
ชายหนุ่มไม่ได้ลุกไปคุยที่ไหนไกล แต่นั่งคุยอยู่บนเตียงโดยมีนิศากรนอนหนุนตักของเขาอยู่นั่นแหละ
“รับช้านิดเดียวเองไหมมึง” บุลินเอาโทรศัพท์มือถือออกห่างจากใบหูเพราะเสียงบ่นของเพื่อน “กูขอเช็กตารางกับเลขากูก่อน แล้วถึงจะบอกได้ว่าว่างเมื่อไหร่ มึงจะใจร้อนไปไหนเล่า ยังไงงานนี้กูก็ไม่เทมึงหรอก หรือจะมาคุยคร่าวๆ ที่บ้านกูก็ได้ อย่ามาเยอะ มึงจะเอาหรือไม่เอาผู้สนับสนุนล่ะ”
นิศากรนอนฟังบุลินคุยกับเพื่อนเรื่องเงินลงทุนทำสนามแข่งรถ รู้สึกดีใจที่บุลินไม่หนีจากสิ่งที่เขาชอบมากที่สุดอีกต่อไปแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องด้วยเลยก็ฟังอย่างเพลิดเพลินจนเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ตื่นขึ้นมาแล้วยังเห็นว่าชายหนุ่มนอนอยู่ข้างกันก็รู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก
ตอนพิเศษ คนที่แสนโชคดี บุลินนอนมองคุณแม่ของลูกสาวทั้งสองซึ่งยังหลับสนิท เพราะวันนี้เป็นวันหยุดของลูกๆ รวมถึงของเขาด้วย เธอจึงไม่ต้องรีบตื่นเพื่อเข้าครัวทำมื้อเช้าให้กับทุกคน เธอปรือตาขึ้นมองสามี แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองนิ่งๆ เท่านั้น บุลินอดใจไว้ไม่ไหวจึงยื่นหน้าไปจูบหนักๆ ลงบนหน้าผากของคนที่ยังไม่ตื่นเต็มตา ลูกสาวคนโตนอนหลับอยู่ในห้องส่วนตัวของเธอ ส่วนคนเล็กไปนอนค้างกับบวรและปภาดา ดังนั้นตอนนี้พวกเขาจึงมีเพียงกันและกันอยู่บนเตียงกว้าง ช่างเป็นยามเช้าที่แสนเย้ายวนใจ “น้องไนท์ถุงยางอนามัยหมดแล้ว” บุลินก้มลงกระซิบ มือก็ลากไล้ไปตามเอวของหญิงสาวที่ขยับขยายกว้างขึ้นเล็กน้อยเพราะผ่านการเป็นคุณแม่มาแล้ว นิศากรพยักหน้ารับรู้เบาๆ เขาอมยิ้ม “ถ้าไม่ใช้ก็อาจจะท้องอีกนะครับ” คนฟังขมวดคิ้ว ตอนแรกเธอไม่ได้คิดอะไร แต่พอได้ยินอีกประโยคสติก็เริ่มแจ่มชัด “พี่บุ้งอยากมีอีกคนเหรอคะ” “เจ้าขาก็โตแล้ว จันทร์เจ้าก็ถูกพี่บีแย่งไป เหงาน่ะไม่มีใครให้อุ้มเลย” “ลูกมากจะยากจนนะคะ” นิศากรหัวเราะคิกคัก
ตอนพิเศษ เมื่อพบกันอีกครั้ง ลูกสาวคนโตวัยเกือบเจ็ดขวบกว่านั้นไม่เคยมาขอนอนด้วยอีกเลยตั้งแต่มีห้องส่วนตัวเป็นของตัวเองส่วนลูกสาวคนเล็กที่อายุเพิ่งครบห้าปีก็แทบจะไปนอนกับบวรและปภาดาวันเว้นวัน ดังนั้นสองสามีภรรยาจึงมีเวลาส่วนตัวในยามค่ำคืนอยู่มาก นิศากรหวีผมเรียบร้อยแล้วก็ปีนขึ้นเตียงไปหาสามีที่กำลังอ้าแขนรอ เธอซบหน้ากับอกของชายหนุ่มพลางหายใจเอากลิ่นหอมจากกายสามีเข้าเต็มปอด “มีอะไรครับ” บุลินเอ่ยถามเพราะรู้สึกได้ถึงอาการกังวลใจของภรรยา “เดย์บอกว่าคุณพ่ออยากเจอไนท์ค่ะ” อ้อมแขนแข็งแรงกอดกระชับแน่นขึ้น “อยากเจอหรือเปล่าครับ” เธอพยักหน้า “เดย์บอกว่าคุณพ่อกังวลมากและคิดอยู่นานว่าจะเจอไนท์ดีหรือเปล่า” หญิงสาวถอนหายใจ “ไนท์จะเริ่มต้นใหม่กับคุณพ่อได้ไหมคะ มันจะราบรื่นหรือเปล่า” “ยังไงก็มีเจ้าขากับจันทร์เจ้าอยู่นะครับ คุณพ่อเอ็นดูสองคนนั้นจะตายไป” บุลินพาลูกสาวทั้งสองคนไปเยี่ยมชัยกรอย่างน้อยเดือนละครั้ง “ลูกต้องช่วยให้บรรยากาศระหว่างเธอกับท่านเป็นไปอย่างราบรื่นแน่” “ไนท์ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นค่ะ” “ยังไงก็
ตอนพิเศษ ดุจจันทรา ดุจจันทราหรือน้องจันทร์เจ้าของทุกคน ลูกสาวคนที่สองของบุลิน เป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด ทำเอาทุกกังวลใจกันไปหมด แต่หลังจากออกจากตู้อบมาแล้ว ร่างกายก็แข็งแรงดี เพียงแต่เจ้าตัวกลับติดบวรมากกว่าคนเป็นพ่ออย่างบุลินเสียอีก ดังนั้นจึงกลายเป็นพ่อบี พ่อบุ้งไปโดยปริยาย “พรุ่งนี้จันทร์เจ้าจะไปโรงเรียนเป็นวันแรก พี่บีจะไปส่งลูกไหมคะ” ปภาดาซึ่งนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจก หันมาถามสามีเมื่อเห็นว่าเขาออกมาจากห้องน้ำแล้ว “พี่ว่าจะไม่ไปหรอก” บวรรับหวีมาจากมือของปภาดาแล้วช่วยแปรงผมให้อย่างเบามือ “อ้าวทำไมล่ะ ลูกไปโรงเรียนวันแรกเลยนะ ไอ้บุ้งก็บอกว่าต้องลองไปสัมผัสดู ครั้งเดียวในชีวิตเลยที่ลูกจะมีวันนี้” ปภาดาฟังประสบการณ์ครั้งแรกของบุลินที่ไปส่งดั่งบุหลันลูกสาวคนโตแล้วตื่นเต้นอยากไปบ้าง “ไม่อยากเห็นน้องจันทร์เจ้าร้องไห้น่ะค่ะ” “โอ๊ย พ่อบี น้องจันทร์เจ้าเก่งจะตายไป ไม่ร้องหรอก” “ต้องร้องแน่ๆ ไม่มีเด็กคนไหนไม่ร้องหรอก ขนาดไอ้บุ้งยังร้องไห้จ้าอยู่เป็นอาทิตย์ๆ” ปภาดาหัวเราะคิกคัก “ปอนด์จำได้ ร้องจนปอนด์รำคาญ แต่เด็กที่ไม่
ตอนพิเศษ ดั่งบุหลัน “เจ้าขาคนดีของพ่อบุ้ง ทำไมถึงไม่อยากไปโรงเรียนล่ะครับ” บุลินถูกภรรยาวานให้มากล่อมลูกสาวคนโตที่งอแงไม่ยอมไปโรงเรียน ชายหนุ่มเท้าคางนอนตะแคงอยู่ข้างลูกสาวที่ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มนิ่ง แม้ว่าจะพูดอะไรก็ไม่ยอมตอบกลับมาสักคำ “ลืมทำการบ้านหรือเปล่า กลัวคุณครูดุก็เลยไม่อยากไปโรงเรียนเหรอครับ” บุลินพยายามคาดเดาเหตุผลที่ลูกสาวไม่อยากไปโรงเรียน “หรือว่าถูกใครแกล้ง” พอพูดออกไปเขาก็ขมวดคิ้ว เท่าที่ผ่านมาไม่มีเด็กกล้ารังแกลูกเขาหรอก เคยทำคนที่มาแกล้งจนฟันน้ำนมหักเลยด้วยซ้ำ เหตุผลนี้คงไม่ใช่ “เราเคยสัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอครับว่ามีอะไรก็จะบอกพ่อบุ้ง เจ้าขาก็รู้ว่าพ่อเก็บความลับเก่งที่สุดเลย” คนร่างจิ๋วภายใต้ผ้าห่มขยับตัวยุกยิก บุลินใจชื้นที่ลูกสาวมีปฏิกิริยาสักที เขารอคอยอย่างอดทนให้ลูกสาวออกมาคุยกันดีๆ แต่แล้วกลับนิ่งไปอีก “เอ๊ะ หรือว่าจริงๆ แล้วป่วย” บุลินพยายามจะดึงผ้าห่มออกจากตัวของลูกสาว “พ่อหนูไม่ได้ป่วยนะ” น้ำเสียงเล็กๆ ที่ตอบกลับมานั้นฟังอู้อี้ “แล้วทำไมไม่อยากไปโรงเรียนล่ะครับ” “ก็มัน...เสียใจ เจ
ตอนที่ ๒๓ ถึงคนเป็นพ่อจะยังไม่หายดีและยังไม่พร้อมเจอกับนิศากร แต่เรื่องที่ยอมให้อยู่กับบุลินได้อย่างเดิมก็ถือว่าเป็นความก้าวหน้าทางด้านอารมณ์ของชัยกรไปในทางที่ดี อย่างน้อยๆ เธอก็ไม่ต้องเผชิญกับอารมณ์เดี๋ยวรัก เดี๋ยวเกลียดของอีกฝ่ายอีกต่อไปแล้ว พอเดินพ้นประตูบ้านเข้าไปด้านในโดยมีมือของบุลินที่กอบกุมมือเธออยู่ ก็พบว่าทุกคนในครอบครัวของเขาอยู่ที่นั่นเพื่อรอต้อนรับการกลับมาของเธอ รวมทั้งน้องสาวฝาแฝดอย่างทิพากรด้วย ซึ่งวันนี้ถูกแต่งหน้าจนสวยกว่าทุกที ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นฝีมือของปภาดาอย่างแน่นอน นิศากรเดินเข้าไปหาแสงรุ้งเป็นคนแรก หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบโยน “ขวัญเอ๋ย ขวัญมา” แล้วจับมือของหญิงสาวมาบีบเบาๆ “จากนี้ต่อไปก็ขออย่าให้มีอะไรมาพรากเธอไปจากหลานชายฉันอีกเลย” “คงไม่มีแล้วค่ะ ยกเว้นพี่บุ้งจะเบื่อไนท์” “ไม่มีวันนั้นหรอกน่า” บุลินแทรกขึ้นมาทันที “ย่าก็ว่าอย่างนั้นแหละ” หญิงชรายังคงไม่ยอมปล่อยมือของคนอ่อนวัยกว่าและเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แล้วคราวนี้ฉันก็จะไม่ยอมแน่” “นั่นสิ คราวนี้ไม่มีใครยอมหรอกนะน้องไนท์” ปภาดาเบ
ตอนที่ ๒๒ “เราว่าเนื้อเรื่องดูสดใสขึ้นนะ” คเชนทร์ที่ได้รับอนุญาตให้อ่านพล็อตของเพื่อนก่อนใครให้คำวิจารณ์กับเพื่อนสนิท นิศากรยิ้มจนตาหยี “ดีกว่าเดิมใช่ไหม” “เราก็คิดว่าดีกว่าเดิมนะ เหมาะกับลายเส้นน่ารักๆ ของเธอด้วย แถมพระเอกนิสัยสามีแห่งชาติขนาดนี้ เขียนให้เป็นแนวรักไปเลยน่าจะผ่านนะ” เพราะว่าพล็อตคราวก่อนไม่ผ่านจึงต้องมาปรับกันใหม่ “แล้วนี่ อยู่คนเดียวโอเคใช่ไหม” “โอเค เราอยู่ได้ไม่ต้องห่วง แต่ว่าจริงๆ แล้ว พี่บุ้งมาหาทุกสองสามวันเลยแหละ ไม่ค่อยเหมือนอยู่คนเดียวสักเท่าไหร่” คเชนทร์ได้ฟังแล้วก็หัวเราะ เมื่อนึกถึงสามีของเพื่อนที่หย่ากันเพราะความจำเป็น แต่ทั้งสองยังรักกันดีจนเขาอดอิจฉาไม่ได้พอคิดถึงแฟนที่เพิ่งเลิกกันไปก็น้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง “เอ๊ะ นั่นน้องสาวเธอหรือเปล่า” นิศากรหันหน้าไปตามสายตาของคเชนทร์ ก็พบว่าทิพากรเดินเคียงมากับชายหนุ่มร่างสูงท่าทางดูดีมากคนหนึ่ง เธอจำได้ว่านั่นคือยามที่เคยเป็นกระแสในโลกโซเชียลของโรงแรมบุลินซึ่งทำให้ยอดจองช่วงหนึ่งมากขึ้นจนน่าตกใจ “สองคนนั้นสนิทกันเหรอเนี่ย” นิศากรเลิก