ถึงคนเป็นพ่อจะยังไม่หายดีและยังไม่พร้อมเจอกับนิศากร แต่เรื่องที่ยอมให้อยู่กับบุลินได้อย่างเดิมก็ถือว่าเป็นความก้าวหน้าทางด้านอารมณ์ของชัยกรไปในทางที่ดี อย่างน้อยๆ เธอก็ไม่ต้องเผชิญกับอารมณ์เดี๋ยวรัก เดี๋ยวเกลียดของอีกฝ่ายอีกต่อไปแล้ว
พอเดินพ้นประตูบ้านเข้าไปด้านในโดยมีมือของบุลินที่กอบกุมมือเธออยู่ ก็พบว่าทุกคนในครอบครัวของเขาอยู่ที่นั่นเพื่อรอต้อนรับการกลับมาของเธอ รวมทั้งน้องสาวฝาแฝดอย่างทิพากรด้วย ซึ่งวันนี้ถูกแต่งหน้าจนสวยกว่าทุกที ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นฝีมือของปภาดาอย่างแน่นอน
นิศากรเดินเข้าไปหาแสงรุ้งเป็นคนแรก หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบโยน “ขวัญเอ๋ย ขวัญมา” แล้วจับมือของหญิงสาวมาบีบเบาๆ “จากนี้ต่อไปก็ขออย่าให้มีอะไรมาพรากเธอไปจากหลานชายฉันอีกเลย”
“คงไม่มีแล้วค่ะ ยกเว้นพี่บุ้งจะเบื่อไนท์”
“ไม่มีวันนั้นหรอกน่า” บุลินแทรกขึ้นมาทันที
“ย่าก็ว่าอย่างนั้นแหละ” หญิงชรายังคงไม่ยอมปล่อยมือของคนอ่อนวัยกว่าและเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แล้วคราวนี้ฉันก็จะไม่ยอมแน่”
“นั่นสิ คราวนี้ไม่มีใครยอมหรอกนะน้องไนท์” ปภาดาเบ้ปาก “แค่รอบเดียวก็พอแล้ว”
นิศากรยิ้มให้กับทุกคนซึ่งกำลังมองมาที่เธอ รับเอาความรักและความหวังดีมากอดเก็บเอาไว้จนเต็มหัวใจ
และหลังจากพูดคุยกันอีกพักใหญ่ ทุกคนก็แยกย้ายกันไป เพื่อปล่อยให้คนรักที่ได้กลับมาอยู่ด้วยกันมีเวลาเป็นส่วนตัว
“ไม่อยู่กับพี่เหรอ วันนี้เป็นวันเกิดพวกเรานะ”
“พี่ไนท์อยู่กับพี่บุ้งเขาไปเถอะค่ะ” ทิพากรปฏิเสธพี่สาว “อีกอย่างวันนี้ก็...นัดเด็กข้างบ้านไว้แล้วด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ยอมก็ได้” นิศากรหัวเราะ เพราะหลังจากเจอกับเด็กข้างบ้านของทิพากรในวันนั้น เธอก็ถามจนได้รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นตามจีบทิพากรมาพักหนึ่งแล้วและทำถึงขนาดซื้อทาวน์เฮ้าส์หลังที่อยู่ข้างกัน
“ทำไมพี่ไนท์ต้องทำหน้าตายิ้มกรุ้มกริ่มแบบนั้นด้วย” ทิพากรหรี่ตามองพี่สาวซึ่งเดินมาส่งเธอยังรถที่จะไปส่งตัวเองที่บ้าน
“อ๋อ มิน่าถึงยอมให้พี่ปอนด์แต่งหน้าให้จนสวยขนาดนี้”
“ก็พี่ปอนด์บอกว่ารออยู่ว่างๆ มาหาอะไรทำกันดีกว่า”
ทิพากรเผลอตัวพูดเสียงดังอย่างมีพิรุธ“จ้าๆ แต่พี่ว่าต้องมีคนดีใจมากแน่ที่ได้เห็น” นิศากรยังไม่เลิกหยอกเย้าน้องสาว “ห้ามแอบไปลบนะ ไม่อย่างนั้นพี่จะฟ้องพี่ปอนด์” รีบพูดดักน้องสาวที่กำลังจะอ้าปากเถียง
ทิพากรหุบปากทันที เพราะพี่สาวเดาสิ่งที่เธอจะพูดได้ “รู้แล้วน่า” เธอดันหลังพี่สาว “กลับเข้าบ้านได้แล้วค่ะ พี่บุ้งรออยู่”
นิศากรหัวเราะเสียงใส แต่ยังไม่ยอมเข้าบ้าน เธอยืนอยู่หน้าบ้านจนกระทั่งทิพากรขึ้นรถและคนขับรถขับรถออกจากไปจนลับสายตา
หญิงสาวหมุนตัวเดินกลับเข้าไปภายในตัวบ้านอย่างช้าๆ บ้านที่เป็นของพวกเขาทั้งคู่ บ้านที่มีบุลินที่พร้อมจะโอบกอดเธอเอาไว้เสมอ
“พี่บุ้ง”
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเสียงเรียก เขาอ้าแขนรับร่างเล็กที่โผเข้าหา เธอซุกไซ้อกเขา ทำราวกับแมวอีกแล้ว
“มีอะไรฮึ”
“เปล่าค่ะแค่อยากเรียกเฉยๆ”
บุลินยกมือขึ้นลูบหัว ลูบแก้มของนิศากรเบาๆ “จากนี้ไปเราจะไม่แยกจากกันอีกแล้วนะ ถึงจะเหมือนแค่แยกกันอยู่ชั่วคราวก็เถอะ แต่พี่ก็ใจไม่ดีเลย”
“ค่ะ ต่อให้เกิดอะไรขึ้นหรือต้องเจ็บปวดแค่ไหน ไนท์ก็จะไม่ยอมอีกแล้ว” หญิงสาวทาบมือลงบนมือคู่ใหญ่ที่ยังไม่ละไปจากแก้มของเธอ
“ยิ้มหน่อยสิ”
นิศากรยิ้มหวานอย่างมีความสุข “รักนะคะ ไนท์รักพี่บุ้งคนตัวหอมที่สุดเลย”
ชายหนุ่มยิ้มละไม ในดวงตาสะท้อนภาพของหญิงสาวที่เขาเคยแค่รู้สึกว่าไม่น่ารำคาญ ถูกใจ เขาชอบเธออย่างช้าๆ แล้วก็กลายเป็นรักที่ฝังลูกลงในใจตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ตัว
บุลินดึงมือซ้ายมาจูบเบาๆ ลงบนแหวนแต่งงาน เขาไม่อยากจะนึกถึงช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่อย่างเลื่อนลอยสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้มันกลับอดคิดถึงไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่นิศากรแล้วเป็นคนอื่น เขาจะลืมความเจ็บปวดจากขาที่เหมือนต้องคำสาปของเขาได้ไหมนะ
ไม่หรอก มันต้องไม่มีคำว่าถ้า เพราะยังไงก็จะไม่มีวันเป็นคนอื่นไปได้ มีแต่เธอเท่านั้นแหละที่ถอนคำสาปของความเจ็บปวดนั้นได้
“พี่บุ้งคะ”
“หือ”
“คิดถึงเตียงนอนของพวกเราจังเลยค่ะ”
“ตั้งแต่ออกไปอยู่คนเดียวนี่ แก่แดดขึ้นเยอะเลยนะ” บุลิน
หยอกอีกฝ่ายด้วยการงอนิ้วชี้กับนิ้วกลางแล้วบีบจมูกของเธอไม่แรงไม่เบา“โอ๊ย ไนท์คิดถึงจริงๆ นี่คะ เตียงที่นอนแล้วมีแต่กลิ่นพี่บุ้งมันหลับสบายที่สุดเลย”
“ตกลงเธอไม่ได้คิดถึงพี่ แต่ติดกลิ่นพี่เหรอฮึ” บุลินหัวเราะเบาๆ นิศากรเองก็หัวเราะ
“ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ไนท์ก็คิดว่าไม่มีอะไรหอมไปกว่าตัวพี่บุ้งแล้วค่ะ หลับยังฝันถึงเลย”
สีหน้าสดใส น้ำเสียงร่าเริงของนิศากรทำให้ในใจของบุลินรู้สึกเต็มตื้นด้วยความดีใจ หญิงสาวสามารถปลดสิ่งที่ทำให้เธอเป็นทุกข์ลงได้เสียที
“แต่เธอรู้ไหมว่าพี่คิดถึงอะไรที่สุด”
“คะ” นิศากรสบตากับเจ้าของดวงตาที่มองมาอย่างอ่อนโยน
“คิดถึงตอนที่เลิกงาน แล้วมีเธอยืนอยู่ตรงนี้ เพื่อรอพี่กลับบ้าน”
หญิงสาวหลับตาลงเมื่อบุลินยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ แนบริมฝีปากร้อนลงมาอย่างแผ่วเบา จูบอ่อนหวานแต่ทำเอาแทบละลายนั้นกินเวลาเนิ่นนาน
เลอศิลป์เดินเข้ามาก็เห็นบุลินนั่งหน้าเครียดจึงเอ่ยปากถาม “พี่บุ้งครับ แค่ประเมินขึ้นเงินเดือนของผมมันต้องเครียดขนาดเลยเหรอครับ”
บุลินตวัดสายตาขึ้นมองเลขาของตัวเอง “เปล่าสักหน่อย ฉันกำลังคิดชื่อให้ลูกสาวต่างหาก”
“รู้เพศแล้วเหรอครับ”
“ฉันส่งรูปให้นายดูแล้วไง”
คิ้วของเลอศิลป์ขมวดเข้าหากัน “ผมไม่ใช่หมอสักหน่อย แค่มีพี่สาวเป็นหมอ ดูแต่ภาพแล้วจะไปอ่านผลอัลตร้าซาวด์ได้ยังไงครับ” เพราะบุลินดันส่งมาแค่รูป แล้วบอกว่าดูสิๆ ดูลูกของฉัน
คุณพ่อวัยสามสิบแปดและจะเต็มสามสิบเก้าในเดือนเกิดของลูกสาวคนแรกหัวเราะเบาๆ “โทษที ตื่นเต้นไปหน่อย เลยไม่ได้บอกรายละเอียด”
“แต่ว่าถ้าเป็นผู้หญิงก็มีโอกาสจะพลิกเป็นผู้ชายได้นะครับ”
“ไม่หรอกน่า หมอบอกว่าอ้าขาให้ดูชัดขนาดนี้ ไม่มีทางเป็นผู้ชายไปได้หรอก” คนที่ยังไงก็อยากได้ลูกสาวยิ้มหน้าบาน
“ลูกสาวก็ลูกสาวครับ แล้วนี่ได้สักชื่อหรือยัง” เลอศิลป์ถาม แต่น้ำเสียงไม่ได้ตื่นเต้นยินดีไปด้วยจนคนฟังสังเกตได้
“อย่ามาอิจฉากันสิ คนไม่มีน้ำยา”
เลอศิลป์เบ้ปาก “พี่บุ้งแต่งกับน้องไนท์มาตั้งเป็นปีๆ กว่าจะท้อง แต่ผมกับแฟนเพิ่งตัดสินใจว่าจะมีลูกกันแค่ไม่กี่เดือนก่อนเอง”
เลขาหนุ่มของบุลินมีแฟนแล้ว หลังจากตกอยู่ในภาวะคนอกหักพักใหญ่
“แต่ยังไงฉันก็มีก่อนอยู่ดี” ชายหนุ่มทำหน้าเหมือนได้ชัยชนะอะไรสักอย่าง
“กล้าพูด ตัวเองอายุเท่าไหร่ แล้วผมเพิ่งจะอายุยี่สิบแปดเอง เทียบกันได้ด้วยเหรอฮึ” เลอศิลป์มองกองเอกสารที่ดูเหมือนบุลินจะยังไม่ได้หยิบดูเลยแม้แต่น้อย “งานน่ะทำด้วยนะครับ”
“รู้แล้วน่า” บุลินทำหน้าหน่าย “ถ้าได้ชื่อแล้วจะรีบทำเลย”
คนฟังอยู่ๆ ก็รู้สึกปวดจี๊ดขึ้นมาที่ขมับ “อีกตั้งนานไม่ใช่เหรอไงครับกว่าจะคลอด”
“ถ้าไม่ได้ชื่อวันนี้ ฉันก็ไม่ทำงานหรอก”
“โอเค งั้นผมขอตัวไปเยี่ยมพี่บีสักแป๊บนะครับ พอดีว่าคิดถึง”
“ไอ้เลขาขี้ฟ้อง”
“ก็ทำงานเข้าสิครับ เป็นเจ้านายขี้เกียจได้ยังไง” เลอศิลป์เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ
“คิดผิดจริงๆ นั่นแหละที่ให้ญาติมาเป็นเลขา” พอคิดไม่ออก เถียงไม่ถูก บุลินก็ชอบยกประโยคเดิมๆ มาพูด
เลอศิลป์หายใจเข้าลึก “เถียงกับพี่ไป ผมก็แพ้อยู่วันยังค่ำ ผมไม่เถียงก็ได้ครับ งั้นมาช่วยตั้งชื่อกันดีกว่าไหม”
“ไม่อะ ลูกฉันกับไนท์ พวกฉันก็ต้องช่วยกันตั้งสิ”
เลขาหนุ่มกำหมัดแน่น นับหนึ่งถึงสิบในใจ แล้วยิ้ม “จริงๆ เอกสารพวกนั้นก็ไม่ด่วนเท่าไหร่ แต่บ่ายนี้มีประชุมเรื่องนโยบายการเข้าพักของโรงแรมในเครือที่เราจะปรับใหม่ เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกของผู้ใช้บริการ รบกวนอ่านรายละเอียดหน่อยนะครับ ถ้าไม่อยากถูกพี่บีกินหัวในที่ประชุม นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรแล้วครับ ผมขอตัวก่อน”
บุลินมองร่างสูงที่หมุนตัวกลับเดินออกไปด้วยท่าทางโกรธแต่กลับพยายามกลั้นเอาไว้จนหน้าตาเหมือนจะร้องไห้แล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ
พอได้แกล้งคนซึ่งเป็นเหมือนน้องชายที่เอ็นดูกันมาตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้แล้วก็อารมณ์ดี ดังนั้นจึงเปิดไฟล์ที่เลอศิลป์ส่งรายละเอียดเรื่องที่จะเข้าประชุมในวันนี้ขึ้นมาอ่านตามคำสั่งอย่างไม่เกี่ยงงอน
อ่านไปได้ครู่ใหญ่ ประตูห้องก็ถูกเคาะเบาๆ โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าว่าใครจะเข้ามา บุลินจึงคิดว่าคงจะเป็นเลอศิลป์
“เห็นไหมฉันตั้งใจอ่านอยู่นะ”
“แหม พี่บุ้งดูขยันทำงานจังเลยนะคะ” น้ำเสียงอ่อนหวานทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากแท็บเล็ตในมือ ตรงหน้านั้นเป็นหญิงสาวที่อยู่ในชุดคลุมท้องสีหวาน ท้องที่เคยคอดกิ่วนั้นโป่งนูนออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“มาได้ยังไงน่ะ”
“กระดาษที่ใช้วาดรูปหมดก็เลยออกมาซื้อค่ะ แล้วพอดีว่าพี่ศิลป์โทรไปเล่าให้ฟังว่าพี่บุ้งมีเรื่องกลุ้มใจจนไม่ยอมทำงาน”
“ขี้ฟ้องจริง”
“พี่บุ้งไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะคะ งานไหนชอบทำก็ขยันจนไม่นอน งานไหนไม่ชอบก็งอแงไม่ยอมทำ”
บุลินหัวเราะ “เถียงสู้ไม่ได้ ก็โทรเรียกให้เธอมาบ่นฉันแทนเนี่ยนะ ใครกันแน่ที่เด็ก”
“เรื่องชื่อลูกน่ะเอาไว้ก่อนก็ได้ค่ะ” นิศากรเดินอ้อมโต๊ะมายืนใกล้สามี บุลินขยับเก้าอี้ออกห่างจากโต๊ะทำงานเพื่อให้หญิงสาวนั่งลงบนตัก
“จริงๆ เลือกได้แล้วนะ แต่ยังรู้สึกว่ามันยังไม่ใช่”
“แล้วได้ชื่ออะไรล่ะคะ”
“บุหลัน”
“น่ารักดีค่ะ”
“แต่พี่ว่ามันฟังดูสั้นไปหน่อย อยากได้ชื่อจริงสามพยางค์”
“งั้นลองดูชื่ออื่นที่สามพยางค์ แต่แปลว่าพระจันทร์ดีไหมคะ” นิศากรหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าถือใบเล็กของตัวเองมากด
เสิร์ชรายชื่อสำหรับตั้งชื่อเด็กทารก“แต่พี่ชอบชื่อบุหลัน”
“งั้นลองหาคำเพิ่มเข้าไปสิคะ” นิศากรออกความเห็น
บุลินจ้องดวงหน้าอิ่มของภรรยาที่เหลียวมาสบตากันนิ่ง แม้จะท้องได้เกือบห้าเดือนแล้ว แต่เขาก็ยังไม่รู้สึกว่าภรรยาหนักเลยแม้แต่นิดเดียว
“คิดออกแล้ว” ชายหนุ่มหอมแก้มภรรยาฟอดใหญ่
“อะไรคะ”
“ดั่งบุหลัน”
นิศากรทิ้งตังลงพิงอกของบุลิน “น่ารักดีค่ะ แล้วชื่อเล่นล่ะคะ”
“เอาไว้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวพี่ไม่มีอารมณ์ทำงาน” บุลินกอดกระชับคนบนตักพลางเกยคางลงบนบ่าเล็ก “พี่ว่าเธอตัวยังเบาอยู่เลย กินให้เยอะๆ หน่อยสิ ไม่ใช่ทำอาหารขุนแต่พี่ พี่น่ะน้ำหนักมากไปมันไม่ดีต่อการใส่ขาเทียมนะ”
“ไนท์ก็ทำไปชิมไปนะคะ อีกอย่างไม่ใช่ว่าไม่หนักขึ้นเลย คุณหมอก็บอกว่าน้ำหนักขึ้นประมาณนี้กำลังดีแล้ว”
“ไหนๆ ก็มาแล้ว นั่งอยู่นี่จนกว่าพี่จะเลิกงานได้ไหม เดี๋ยวค่ำๆ เราไปดินเนอร์กัน”
“เนื่องในโอกาสอะไรคะ”
“เนื่องในโอกาสที่พี่รักเธอทุกวัน” บุลินจับคุณแม่ของลูกให้หมุนตัวมาอยู่ในท่านั่งคล้ายอุ้ม ก่อนจะจูบหญิงสาว นิศากรที่บอกกับเลอศิลป์ไว้แล้วว่าขอเวลาเป็นส่วนตัวครู่ใหญ่จึงปล่อยให้เขาทำอะไรก็ได้จนพอใจ
“อ้อเรื่องนั้น...ไนท์คุยกับหมอแล้วด้วยค่ะ”
“เรื่อง” บุลินเลิกคิ้ว
“หมอบอกว่าคนท้องบางคนก็มีความต้องการเรื่องอย่างว่าตอนท้องมากกว่าปกติ”
“แล้ว...”
“แบบว่า” นิศากรชี้นิ้วไปที่ประตู “ไนท์ล็อกเอาไว้แล้ว”
“จริงๆ แล้วก็ไม่ได้มาเพราะอยากบ่นพี่สินะ แต่มาเพราะเรื่องอื่น” ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกาย
ใบหน้าของหญิงสาวแดงเรื่อ เธอไม่ตอบ ปล่อยให้ความเงียบเป็นคำตอบ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา
“ระวังหน่อยนะคะ”
“ครับ พี่จะระวัง” ริมฝีปากของชายหนุ่มขยับยิ้มกว้าง
นิศากรรู้สึกผิดกับเลอศิลป์จริงๆ นะ ตอนนี้เธอกลับกลายเป็นต้นเหตุที่ทำให้บุลินอู้ไม่ยอมทำงาน เพราะต้องมาเอาใจเธอในช่วงของการตั้งครรภ์
น้ำเสียงแว่วหวานและลมหายใจหอบแรงที่คลอเคล้ากันนั้น ทวีความร้อนแรงมากขึ้นก่อนจะแผ่วเบาลงจนเงียบไปในที่สุด เมื่อต่างได้รับการเติมเต็มและมอบสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจนอิ่มเอม
ตอนพิเศษ คนที่แสนโชคดี บุลินนอนมองคุณแม่ของลูกสาวทั้งสองซึ่งยังหลับสนิท เพราะวันนี้เป็นวันหยุดของลูกๆ รวมถึงของเขาด้วย เธอจึงไม่ต้องรีบตื่นเพื่อเข้าครัวทำมื้อเช้าให้กับทุกคน เธอปรือตาขึ้นมองสามี แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองนิ่งๆ เท่านั้น บุลินอดใจไว้ไม่ไหวจึงยื่นหน้าไปจูบหนักๆ ลงบนหน้าผากของคนที่ยังไม่ตื่นเต็มตา ลูกสาวคนโตนอนหลับอยู่ในห้องส่วนตัวของเธอ ส่วนคนเล็กไปนอนค้างกับบวรและปภาดา ดังนั้นตอนนี้พวกเขาจึงมีเพียงกันและกันอยู่บนเตียงกว้าง ช่างเป็นยามเช้าที่แสนเย้ายวนใจ “น้องไนท์ถุงยางอนามัยหมดแล้ว” บุลินก้มลงกระซิบ มือก็ลากไล้ไปตามเอวของหญิงสาวที่ขยับขยายกว้างขึ้นเล็กน้อยเพราะผ่านการเป็นคุณแม่มาแล้ว นิศากรพยักหน้ารับรู้เบาๆ เขาอมยิ้ม “ถ้าไม่ใช้ก็อาจจะท้องอีกนะครับ” คนฟังขมวดคิ้ว ตอนแรกเธอไม่ได้คิดอะไร แต่พอได้ยินอีกประโยคสติก็เริ่มแจ่มชัด “พี่บุ้งอยากมีอีกคนเหรอคะ” “เจ้าขาก็โตแล้ว จันทร์เจ้าก็ถูกพี่บีแย่งไป เหงาน่ะไม่มีใครให้อุ้มเลย” “ลูกมากจะยากจนนะคะ” นิศากรหัวเราะคิกคัก
ตอนพิเศษ เมื่อพบกันอีกครั้ง ลูกสาวคนโตวัยเกือบเจ็ดขวบกว่านั้นไม่เคยมาขอนอนด้วยอีกเลยตั้งแต่มีห้องส่วนตัวเป็นของตัวเองส่วนลูกสาวคนเล็กที่อายุเพิ่งครบห้าปีก็แทบจะไปนอนกับบวรและปภาดาวันเว้นวัน ดังนั้นสองสามีภรรยาจึงมีเวลาส่วนตัวในยามค่ำคืนอยู่มาก นิศากรหวีผมเรียบร้อยแล้วก็ปีนขึ้นเตียงไปหาสามีที่กำลังอ้าแขนรอ เธอซบหน้ากับอกของชายหนุ่มพลางหายใจเอากลิ่นหอมจากกายสามีเข้าเต็มปอด “มีอะไรครับ” บุลินเอ่ยถามเพราะรู้สึกได้ถึงอาการกังวลใจของภรรยา “เดย์บอกว่าคุณพ่ออยากเจอไนท์ค่ะ” อ้อมแขนแข็งแรงกอดกระชับแน่นขึ้น “อยากเจอหรือเปล่าครับ” เธอพยักหน้า “เดย์บอกว่าคุณพ่อกังวลมากและคิดอยู่นานว่าจะเจอไนท์ดีหรือเปล่า” หญิงสาวถอนหายใจ “ไนท์จะเริ่มต้นใหม่กับคุณพ่อได้ไหมคะ มันจะราบรื่นหรือเปล่า” “ยังไงก็มีเจ้าขากับจันทร์เจ้าอยู่นะครับ คุณพ่อเอ็นดูสองคนนั้นจะตายไป” บุลินพาลูกสาวทั้งสองคนไปเยี่ยมชัยกรอย่างน้อยเดือนละครั้ง “ลูกต้องช่วยให้บรรยากาศระหว่างเธอกับท่านเป็นไปอย่างราบรื่นแน่” “ไนท์ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นค่ะ” “ยังไงก็
ตอนพิเศษ ดุจจันทรา ดุจจันทราหรือน้องจันทร์เจ้าของทุกคน ลูกสาวคนที่สองของบุลิน เป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด ทำเอาทุกกังวลใจกันไปหมด แต่หลังจากออกจากตู้อบมาแล้ว ร่างกายก็แข็งแรงดี เพียงแต่เจ้าตัวกลับติดบวรมากกว่าคนเป็นพ่ออย่างบุลินเสียอีก ดังนั้นจึงกลายเป็นพ่อบี พ่อบุ้งไปโดยปริยาย “พรุ่งนี้จันทร์เจ้าจะไปโรงเรียนเป็นวันแรก พี่บีจะไปส่งลูกไหมคะ” ปภาดาซึ่งนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจก หันมาถามสามีเมื่อเห็นว่าเขาออกมาจากห้องน้ำแล้ว “พี่ว่าจะไม่ไปหรอก” บวรรับหวีมาจากมือของปภาดาแล้วช่วยแปรงผมให้อย่างเบามือ “อ้าวทำไมล่ะ ลูกไปโรงเรียนวันแรกเลยนะ ไอ้บุ้งก็บอกว่าต้องลองไปสัมผัสดู ครั้งเดียวในชีวิตเลยที่ลูกจะมีวันนี้” ปภาดาฟังประสบการณ์ครั้งแรกของบุลินที่ไปส่งดั่งบุหลันลูกสาวคนโตแล้วตื่นเต้นอยากไปบ้าง “ไม่อยากเห็นน้องจันทร์เจ้าร้องไห้น่ะค่ะ” “โอ๊ย พ่อบี น้องจันทร์เจ้าเก่งจะตายไป ไม่ร้องหรอก” “ต้องร้องแน่ๆ ไม่มีเด็กคนไหนไม่ร้องหรอก ขนาดไอ้บุ้งยังร้องไห้จ้าอยู่เป็นอาทิตย์ๆ” ปภาดาหัวเราะคิกคัก “ปอนด์จำได้ ร้องจนปอนด์รำคาญ แต่เด็กที่ไม่
ตอนพิเศษ ดั่งบุหลัน “เจ้าขาคนดีของพ่อบุ้ง ทำไมถึงไม่อยากไปโรงเรียนล่ะครับ” บุลินถูกภรรยาวานให้มากล่อมลูกสาวคนโตที่งอแงไม่ยอมไปโรงเรียน ชายหนุ่มเท้าคางนอนตะแคงอยู่ข้างลูกสาวที่ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มนิ่ง แม้ว่าจะพูดอะไรก็ไม่ยอมตอบกลับมาสักคำ “ลืมทำการบ้านหรือเปล่า กลัวคุณครูดุก็เลยไม่อยากไปโรงเรียนเหรอครับ” บุลินพยายามคาดเดาเหตุผลที่ลูกสาวไม่อยากไปโรงเรียน “หรือว่าถูกใครแกล้ง” พอพูดออกไปเขาก็ขมวดคิ้ว เท่าที่ผ่านมาไม่มีเด็กกล้ารังแกลูกเขาหรอก เคยทำคนที่มาแกล้งจนฟันน้ำนมหักเลยด้วยซ้ำ เหตุผลนี้คงไม่ใช่ “เราเคยสัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอครับว่ามีอะไรก็จะบอกพ่อบุ้ง เจ้าขาก็รู้ว่าพ่อเก็บความลับเก่งที่สุดเลย” คนร่างจิ๋วภายใต้ผ้าห่มขยับตัวยุกยิก บุลินใจชื้นที่ลูกสาวมีปฏิกิริยาสักที เขารอคอยอย่างอดทนให้ลูกสาวออกมาคุยกันดีๆ แต่แล้วกลับนิ่งไปอีก “เอ๊ะ หรือว่าจริงๆ แล้วป่วย” บุลินพยายามจะดึงผ้าห่มออกจากตัวของลูกสาว “พ่อหนูไม่ได้ป่วยนะ” น้ำเสียงเล็กๆ ที่ตอบกลับมานั้นฟังอู้อี้ “แล้วทำไมไม่อยากไปโรงเรียนล่ะครับ” “ก็มัน...เสียใจ เจ
ตอนที่ ๒๓ ถึงคนเป็นพ่อจะยังไม่หายดีและยังไม่พร้อมเจอกับนิศากร แต่เรื่องที่ยอมให้อยู่กับบุลินได้อย่างเดิมก็ถือว่าเป็นความก้าวหน้าทางด้านอารมณ์ของชัยกรไปในทางที่ดี อย่างน้อยๆ เธอก็ไม่ต้องเผชิญกับอารมณ์เดี๋ยวรัก เดี๋ยวเกลียดของอีกฝ่ายอีกต่อไปแล้ว พอเดินพ้นประตูบ้านเข้าไปด้านในโดยมีมือของบุลินที่กอบกุมมือเธออยู่ ก็พบว่าทุกคนในครอบครัวของเขาอยู่ที่นั่นเพื่อรอต้อนรับการกลับมาของเธอ รวมทั้งน้องสาวฝาแฝดอย่างทิพากรด้วย ซึ่งวันนี้ถูกแต่งหน้าจนสวยกว่าทุกที ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นฝีมือของปภาดาอย่างแน่นอน นิศากรเดินเข้าไปหาแสงรุ้งเป็นคนแรก หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบโยน “ขวัญเอ๋ย ขวัญมา” แล้วจับมือของหญิงสาวมาบีบเบาๆ “จากนี้ต่อไปก็ขออย่าให้มีอะไรมาพรากเธอไปจากหลานชายฉันอีกเลย” “คงไม่มีแล้วค่ะ ยกเว้นพี่บุ้งจะเบื่อไนท์” “ไม่มีวันนั้นหรอกน่า” บุลินแทรกขึ้นมาทันที “ย่าก็ว่าอย่างนั้นแหละ” หญิงชรายังคงไม่ยอมปล่อยมือของคนอ่อนวัยกว่าและเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แล้วคราวนี้ฉันก็จะไม่ยอมแน่” “นั่นสิ คราวนี้ไม่มีใครยอมหรอกนะน้องไนท์” ปภาดาเบ
ตอนที่ ๒๒ “เราว่าเนื้อเรื่องดูสดใสขึ้นนะ” คเชนทร์ที่ได้รับอนุญาตให้อ่านพล็อตของเพื่อนก่อนใครให้คำวิจารณ์กับเพื่อนสนิท นิศากรยิ้มจนตาหยี “ดีกว่าเดิมใช่ไหม” “เราก็คิดว่าดีกว่าเดิมนะ เหมาะกับลายเส้นน่ารักๆ ของเธอด้วย แถมพระเอกนิสัยสามีแห่งชาติขนาดนี้ เขียนให้เป็นแนวรักไปเลยน่าจะผ่านนะ” เพราะว่าพล็อตคราวก่อนไม่ผ่านจึงต้องมาปรับกันใหม่ “แล้วนี่ อยู่คนเดียวโอเคใช่ไหม” “โอเค เราอยู่ได้ไม่ต้องห่วง แต่ว่าจริงๆ แล้ว พี่บุ้งมาหาทุกสองสามวันเลยแหละ ไม่ค่อยเหมือนอยู่คนเดียวสักเท่าไหร่” คเชนทร์ได้ฟังแล้วก็หัวเราะ เมื่อนึกถึงสามีของเพื่อนที่หย่ากันเพราะความจำเป็น แต่ทั้งสองยังรักกันดีจนเขาอดอิจฉาไม่ได้พอคิดถึงแฟนที่เพิ่งเลิกกันไปก็น้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง “เอ๊ะ นั่นน้องสาวเธอหรือเปล่า” นิศากรหันหน้าไปตามสายตาของคเชนทร์ ก็พบว่าทิพากรเดินเคียงมากับชายหนุ่มร่างสูงท่าทางดูดีมากคนหนึ่ง เธอจำได้ว่านั่นคือยามที่เคยเป็นกระแสในโลกโซเชียลของโรงแรมบุลินซึ่งทำให้ยอดจองช่วงหนึ่งมากขึ้นจนน่าตกใจ “สองคนนั้นสนิทกันเหรอเนี่ย” นิศากรเลิก