เดิมทีเสด็จแม่ของนางเฝ้าถนอมอบรมเลี้ยงดูนางมาก็เพราะหวังว่าสักวันจะได้เห็นนางเป็นพระราชชายาอ๋องปกครองแว่นแคว้นใหญ่โต ทรงอำนาจ หากไม่เกิดเรื่องกับพี่หญิงใหญ่ หากการคัดเลือกราชบุตรเขยไม่เกิดความวุ่นวายจนบานปลายกลายเป็นสงคราม และหากนางไม่เสนอตัวเข้าอารามศักดิ์สิทธิ์ด้วยตนเอง ป่านนี้เสด็จแม่ของนางอาจจะสมพระทัยไปแล้วก็เป็นได้ เพราะผู้ชนะการประลองในครั้งนั้นก็คือองค์รัชทายาทแห่งแคว้นอันรุ่งเรืองยิ่งใหญ่ พรั่งพร้อมด้วยกำลังทหารและทรัพยากรอย่างเฮยเซ่อเย่ว์
ตอนนี้เฮยเซ่อเย่ว์คงผลัดแผ่นดินแล้วกระมัง...
ยามกลียุคเช่นนี้ ข่าวสารสับสนวุ่นวาย บุรุษล้มตายเป็นใบไม้ร่วง นางไม่ใคร่จะรู้นักว่าเป็นพี่น้ององค์ใดของรัชทายาทผู้ล่วงลับ ที่ได้ขึ้นเป็นต้าอ๋อง และยิ่งไม่แน่ใจว่าตำแหน่งอ๋องเฮยเซ่อเย่ว์ จะยังเป็นของบุรุษสกุลจี[1]เช่นเดิมหรือไม่ สิ่งเดียวที่นางรู้ก็คือเรื่องที่ยามนี้อำนาจตัดสินใจในการสงครามทั้งหมด อยู่ในมือแม่ทัพใหญ่ที่อยู่ด้านหลังนางผู้นี้
หนิงซินเหนื่อยล้า ปิดเปลือกตา ปล่อยให้ตัวเองผล็อยหลับไปทั้งสภาพนั้น
นี่เป็นความจงใจ
ในเมื่อยามนี้คนผู้นี้รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบนาง ทั้งยังออกปากมาแล้ว เช่นนั้น เช่นนั้นแล้วก็ให้เขารับผิดชอบนางต่อไปให้ดีเถอะ!
เห็นสตรีในอ้อมแขน ไม่ทันไรก็เอนกายซุกแผงอก ผล็อยหลับในอ้อมแขนตน หยางหยางทั้งสับสนทั้งทำตัวไม่ถูก ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยกลัวว่าจะทำร่างน้อยในอ้อมแขนกระทบกระเทือนแล้วเจ็บปวด จึงได้แต่ติดหล่ม ตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
กระทั่งเวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม ทหารยืนยามหน้ากระโจมตะโกนรายงานเข้ามาข้างในเสียงดัง
“รายงานท่านแม่ทัพ! ผู้ที่ท่านรองแม่ทัพฝ่ายซ้ายและท่านหมอหลวงอวิ๋นให้ไปเชิญมาจากเลี่ยงจินอู่มาถึงแล้วขอรับ!”
ใครกับใครให้ไปตามใครนะ?
ฝ่าฝืนกฎกองทัพและลำดับขั้นตอน ออกคำสั่งกันเองโดยพละการ กระทำการใดใดโดยไร้ความเห็นชอบจากเขา?
จู่ๆ หยางหยางก็พลันระลึกขึ้นได้ ว่าสิ่งที่องค์หญิงรองต้องการมากที่สุดในยามนี้ก็คือหมอหญิงสักคน หรืออย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นหมอตำแย หาใช่ตนที่เป็นบุรุษ ซ้ำยังเป็นผู้ที่ข่มเหงรังแกนาง ทำให้นางตกอยู่ในสภาพน่าอดสูเช่นนี้
เหตุใดครั้งนี้เขาจึงประพฤติตนราวกับคนโง่เง่าเช่นนี้ได้?
หยางหยางสับสนเล็กน้อย
พักเรื่องกฎระเบียบไว้ก่อนเถิด...
“ให้เข้ามาได้!” หยางหยางบอกเสียงขรึม ลืมไปแล้วว่าตัวเองกับองค์หญิงรองอยู่ในสภาพไหน ซ้ำยังเป็นบนฟูก...
หนิงซินเพิ่งจะรู้สึกตัวตอนที่ได้ยินแม่ทัพไร้หัวคิดผู้นี้สั่งให้ผู้อื่นเข้ามา ที่ตื่นแล้วจึงแกล้งทำเป็นหลับต่อไป ด้วยยังขยับตัวไม่ถนัด อีกประการหนึ่ง จู่ๆ ก็มานอนเอนร่างอิงซบบุรุษอยู่บนฟูก ปล่อยให้เขาตระกองกอดแนบชิดเช่นนี้...นางไม่รู้จะปั้นหน้าให้ผู้อื่นดูอย่างไรแล้ว
ตอนนี้นางทั้งรู้สึกอัปยศอดสู ทั้งยังรู้สึกอับอายขายหน้าเป็นที่สุด
แต่แรกนางก็เพียงต้องการใช้กลยุทธ์ที่เสด็จแม่ของนางเคยสั่งสอนมา หลอกล่อให้คนผู้นี้ ที่คล้ายจะมีสำนึกผิดชอบชั่วดีอยู่บ้าง ยิ่งรู้สึกผิด และคิดว่าตนเองสมควรปกป้องคุ้มครองนางที่บอบบางราวเครื่องเคลือบให้ดียิ่งขึ้น คิดไพล่ไปถึงการใช้เรื่องนี้ ‘ร้องขอความเมตตา’ จากเขา หากเสด็จพ่อของนางหรือการศึกสงครามไม่อาจเจรจาตกลงกันได้ด้วยดีอย่างที่หวัง คาดไม่ถึงว่าตนจะเผลอผล็อยหลับไปจริงๆ ไหนจะยังมีแขกมาเยือนกระโจมแม่ทัพใหญ่อย่างที่ไม่ควรจะเป็นอีกด้วย
แขกผู้นี้เป็นผู้ใดกัน?
เหตุใดจึงต้องรับรองถึงในกระโจมพักของผู้เป็นแม่ทัพใหญ่เช่นนี้?
[1] เป็น 姬 ตัวนี้ หรือที่อาจอ่านได้ว่า จี้ นั่นเองค่ะ ไม่ใช่จีในภาษาแต้จิ๋วนะคะ no no no no
เขาไม่ปล่อยให้นางคิดในตอนที่นางกำลังสับสนลังเลอยู่นั้น เขางับติ่งหูนางเบาๆ ก่อนไล้เลียจุดอ่อนไหวที่ใบหู หนิงซินเบี่ยงหน้าหลบไปทางซ้าย เขาก็ย้ายไปรังแกนางทางด้านขวา ยามหนิงซินเบี่ยงหน้าหลบไปทางขวา เขาก็ก้มลงรังแกนางทางฝั่งซ้าย ด้านล่างก็ฉวยโอกาสจับมือนางไปกุมแท่งหยกที่ใหญ่โตนั่น ค่อยๆ จับมือนางรูดสิ่งที่ห่อหุ้มสิ่งนั้นขึ้นและลงอย่างใจเย็น พอนางจะชักมือออกก็กระซิบข่มขู่เสียงทุ้มต่ำแหบห้าว“อย่าดื้อ หากเจ้าไม่ช่วยเหลือข้า ข้าทนไม่ไหวขึ้นมาจะทำอย่างไร?”“ชะ...ช่วย...?”หนิงซินพลันนึกถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับตั้งแต่เทพเซียน ปีศาจ หญิงชาวบ้าน สตรีชนชั้นสูง หญิงงามล่มเมือง ไปจนถึงวีรสตรีกู้ชาติ ของมารดาในบรรดาเรื่องเล่าขานมากมายเหล่านั้น มีเรื่องเกี่ยวกับการใช้ทุกส่วนในร่างกายสร้างความพึงพอใจให้บุรุษกล่าวเอาไว้ เป็นต้นว่าการรูดแท่งหยกขึ้นลงด้วยฝ่าเท้าทั้งสองข้างหรือกำมือสอดแทรกอยู่ไม่น้อยนางพลันเข้าใจว่าเขาต้องการให้ ‘ช่วย’ ทำสิ่งใดช่วยอะไรกัน เหตุใดจึงต้องช่วย ข้า...ข้าหาใช่ผู้เริ่มเรื่อง แล้วเหตุใด.
ทีแรกเขาคิดว่าการที่เขาดูแลนาง ดีต่อนาง เป็นเรื่องที่สมควรกระทำเพื่อชดเชยให้กับนาง แม้เทียบกับสิ่งที่ตนได้กระทำลงไปในคืนนั้นแล้ว เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ที่ทำเพื่อนางย่อมไม่อาจชดเชยกันได้ ทว่านี่ก็เป็นหนทางเดียวที่จะช่วยให้เขาสงบจิตสงบใจลงได้ เขาจึงดูแลเอาใจใส่นาง ดีต่อนางอย่างที่ไม่เคยปฏิบัติกับใครมาก่อนทว่าความรู้สึกผิดและความคิดที่อยากจะชดเชยให้นาง กับอารมณ์ความรู้สึกที่ค่อยๆ ก่อตัวในยามนี้นั้น แตกต่างกันยิ่งมองนางเขาก็ยิ่งรู้สึกว่านางช่างนุ่มนวลสมเป็นกุลสตรีและงามพร้อม ขณะเดียวกันก็ยังมีความกล้าหาญ รักราษฎรและแผ่นดินเกิดมากกว่าชีวิตและความปลอดภัยของตนเอง ทว่าสตรีที่งดงามทั้งภายนอกและภายในเช่นนี้กลับโดนกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมแรกเริ่มเดิมทีเขาคิดว่ามันเป็นเพียงความชื่นชม ทว่ายามนี้ ยามที่เห็นนางกัดริมฝีปากช้อนตามองค้อน หัวใจเขากลับเต้นผิดจังหวะ รู้สึกว่านางช่างน่ารักน่าเอ็นดูจนอยากบีบแก้มนุ่มนิ่มนั่นเบาๆ พอหน้านางยิ่งงอเง้าจะได้ระดมจุมพิตทั้งแก้ม ทั้งหน้าผาก ทั้งริมฝีปากจิ้มลิ้มนั่น หยอกเย้ารังแกให้นางเลิกทำหน้างอ แล้วจากนั้น...คิดเพียงเท่านี้ เลือดชายฉกร
วัดจากวิธีที่แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ปฏิบัติต่อตนในยามนี้ หนิงซินค่อนข้างแน่ใจว่านางได้ครอบครอง ‘อำนาจ’ เหนือคนผู้นี้แล้ว สิ่งที่นางต้องทำจวบจนจะแน่ใจได้ว่าแคว้นป๋าย หรืออย่างน้อยๆ ก็ผู้คนที่เหลือในแคว้นป๋ายจะอยู่รอดปลอดจากภัยสงคราม ก็คือการรักษาอำนาจนี้ไว้ และถ้าเป็นไปได้ นางย่อมต้องทำให้ตนเองมีอำนาจอิทธิพลเหนือคนผู้นี้ให้มากขึ้น...มากขึ้นไปเรื่อยๆ มารดาเคยสั่งสอนนางด้วยการยกเอาเรื่องราวของสตรีล่มแคว้น นารีล่มเมืองทั้งหลายในอดีตมาเล่าให้นางฟัง เล่าละเอียดถึงขั้นว่าพวกนางใช้กลเม็ดเคล็ดลับใดตอนไหนบ้าง...ซึ่งนางค่อนข้างมั่นใจว่ากว่าเจ็ดส่วน เสด็จแม่ของนางย่อมต้องแต่งเสริมเติมเรื่องราวเข้าไปเพื่อสั่งสอนนาง นางไม่เชื่อหรอกว่าเรื่องเล่าขานพวกนั้นจะบอกเล่าละเอียดกันถึงขั้นบรรยายเรื่องกิริยามัดใจบุรุษรวมไปถึงกลยุทธ์ชั้นเชิงกลกามเอาไว้นางใคร่รู้ยิ่งนัก หากนางนำเอากลเม็ดเคล็ดลับเหล่านั้นมาใช้เพื่อการนี้ ตัวนาง นับจากนี้ จะแปรเปลี่ยนเป็นหญิงแพศยาเจ้าเล่ห์ร้ายกาจปานใด เพราะนับตั้งแต่ผ่านพ้นเรื่องราวในคืนนั้
จากเด็กน้อยไม่รู้เดียงสา สู่องค์หญิงคนสำคัญของแว่นแคว้น แล้วผันแปรเป็นหญิงเพศยา นางจิ้งจอกล่มแผ่นดิน สุดท้ายก็ต้องมารับบทบาทนางจิ้งจอกในชีวิตจริง ณ ที่นี่ท่ามกลางความเงียบงัน หนิงซินแม้เหนื่อยล้ากับบทบาทของตนเองในงิ้วโรงเรื่องนี้เต็มที ก็ยังพยายามอธิบายเสริมให้ทุกประโยคที่กล่าวออกมาจากริมฝีปากเล็กๆ นั่น แม้แผ่วเบาราวกับท่วงทำนองหวานล้ำในสายลม กระแสเสียงกลับฟังถนัดชัดเจนทุกถ้อยคำ…“ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายเป็นบิดาของอดีตพระราชชายาที่ล่วงลับ ในสายตาของข้าแล้วท่านเสนาบดีเป็นขุนนางที่น่านับถือเป็นอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ข้าจำความได้ ข้าไม่เคยเห็นเสด็จพ่อพระทัยขุ่นมัวเพราะท่านเสนาบดีท่านนี้มาก่อน...เสนาบดีท่านนี้เป็นผู้รู้จักหนักเบา ซ้ำยังวางตัวเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ยามศึกสงครามเช่นนี้ก็ยังสละทรัพย์สินส่วนตนตั้งโรงทานแจกจ่ายแป้งย่างที่เก็บได้นานมากหน่อยและข้าวต้มอย่างไม่เสียดาย...หากเป็นท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย ย่อมต้องเข้าใจ ว่าสิ่งใดคือทางเลือกที่ดีที่สุดต่อแคว้นป๋ายและเหล่าราษฎรตาดำๆ”เห็นความพยายามของนางเช่นนี้แล้ว หยางหยางคิดว่าสมควรกล่าวอะไรสัก
คนรักอย่างนั้นรึ?ไม่...ไม่ใช่...มีความเชื่อที่ว่า สตรีที่ดีควรมีชายเดียว ดังนั้นเมื่อตกเป็นของผู้ใดแล้ว ก็ย่อมกลายเป็นสมบัติของคนผู้นั้นไปชั่วชีวิต บุรุษผู้นั้นให้ไปซ้ายก็ไม่กล้าไปขวา บุรุษผู้นั้นบอกให้ไปขวาก็ไม่กล้าไปซ้าย บุรุษผู้นั้นกล่าวสิ่งใดก็ยอมตาม ไม่มีเกี่ยงงอนขัดขืนใดใดเลยสักคำ ปฏิบัติราวกับบุรุษผู้นั้นเป็นเจ้าชีวิตก็ไม่ปานแคว้นป๋ายเป็นแคว้นที่เคร่งครัดในมารยาทธรรมเนียมตลอดจนจารีตประเพณี ไม่แน่ว่าองค์หญิงรองเองก็เป็นผู้หนึ่งที่เชื่อว่า เมื่อตกเป็นของชายใดแล้ว ก็ย่อมกลายเป็นสมบัติของคนผู้นั้น...วัดจากท่าทีของนางในยามนี้...ไม่ผิดแล้ว นี่ข้า...สตรีดีๆ เช่นนี้...หยางหยางรังเกียจตัวเองนัก ได้แต่ไถ่โทษด้วยการเป็นหลักให้องค์หญิงรองพิงกายเขียนสาร สองมือก็ช่วยจับโต๊ะให้นางให้มั่นคงยิ่งขึ้น ยิ่งนางยอมรับความช่วยเหลือจากตนโดยไม่อิดเอื้อน ในช่องอกก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีลิ่มทิ่มแทงใจหยางหยางไม่รู้ตัวว่าตกอยู่ในภวังค์เนิ่นนานเท่าใด รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่องค์หญิงรองเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงห
นางไม่แน่ใจนักว่าเป็นเสด็จพ่อหรือเสด็จแม่ของนางที่เป็นคนต้นคิด รู้เพียงสิ่งหนึ่งที่เสด็จพ่อและเสด็จแม่ของนางคาดไม่ถึง ก็คือเรื่องที่อาจเกิดมีกองทัพไร้พ่าย ที่ยิ่งรบราก็ยิ่งขยายตัว ด้วยได้เหล่าทหารของแว่นแคว้นน้อยใหญ่ที่ห้อม้าไปรบรา ชักชวนกันมาสวามิภักดิ์ ขอย้ายฝั่ง ติดตามรับใช้ รบชนะมาแล้วทั่วทั้งแผ่นดิน สุดท้ายก็ย่ำเท้าเข้าหาแคว้นป๋ายที่เป็นเป้าหมายสุดท้าย...ซึ่งบางทีสุดท้ายแล้วอาจมิใช่เพราะต้องการตัวนาง หรือต้องการลงทัณฑ์นาง แต่เป็นเพราะต้องการครองความเป็นใหญ่ รวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง เรื่องคว้าชัยชนะครอบครองหญิงงาม หรือลงทัณฑ์หญิงแพศยาและแคว้นที่ก่อให้เกิดภัยสงครามจนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ก็เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้นแต่นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเพราะไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น นางจึงตัดสินใจออกมาพบคนผู้นี้ที่เลี่ยงจินอู่ตั้งแต่แรก ยอมกระทั่งใช้ตัวเองเป็นหลักประกันเพื่อให้เกิดความไขว้เขว และเพื่อสร้างทางรอดให้แคว้นป๋าย รวมถึงสร้างทางรอดให้ผู้ไม่อาจปล่อยวางจากสถานะของตนอย่างเสด็จแม่ของนางสักหนึ่งสายจะอย่างไรแคว้นป๋ายก็ไม่อาจต้านทานกองทัพเรือนแสนของเฮยเซ่อเย่ว์ เ