1
ความทุกข์ระทมในอดีต
หน้าผาที่ตั้งสูงตระหง่านมองลงไปเบื้องล่างเป็นหุบเหวลึกที่ยากจะคาดเดาได้ว่าเบื้องล่างมีสิ่งใดอยู่บ้าง เสียงลมที่พัดผ่านต้นไม้ใบหญ้าเกิดเสียงคล้ายภูตผีวิญญาณกำลังเรียกร้อง
นัยน์ตาเมล็ดซิ่งของสตรีผู้หนึ่งที่ยืนหันหลังให้หน้าผาจ้องมองกลุ่มคนเบื้องหน้าด้วยแววตาเรียบเฉย คล้ายกับไม่มีสิ่งใดจะมาทำร้ายจิตใจนางให้เจ็บปวดไปมากกว่าที่เป็นอยู่แล้ว
สตรีที่สวมอาภรณ์เนื้อดีคล้ายสตรีสูงศักดิ์ยกยิ้มมุมปากคล้ายสะใจเมื่อเห็นสภาพของคนที่ตนเกลียดคล้ายตุ๊กตาผ้าที่ฉีกขาดและยับเยินไม่หลงเหลือสภาพดีงามเช่นที่เคยรู้จัก
“หากจะกล่าวโทษ เจ้าก็กล่าวโทษลูกในท้องของเจ้าเถิดที่ทำให้เจ้าต้องตาย เพราะหากเจ้าไม่อาจหาญสับเปลี่ยนยาห้ามครรภ์ ท่านอ๋องมีหรือจะสั่งให้ข้าพาเจ้ามาจัดการที่นี่”
“...” เมื่อถูกทำให้เสียใจอยู่นับครั้งไม่ถ้วน ในใจของนางยามนี้ก็เริ่มจะด้านชาและไม่ได้รู้สึกอันใดต่อคนพวกนี้อีกแล้ว สิ่งที่นางต้องการยามนี้คืออยากหลุดพ้นจากที่นี่
“ท่านอ๋องกล่าวว่าบุตรของเขาต้องเกิดจากท้องของสตรีที่สูงศักดิ์และเพียบพร้อมด้วยชาติตระกูล หาใช่บุตรสาวของขุนนางทุจริตเช่นเจ้า”
“ในเมื่อข้าต้องเอาชีวิตมาทิ้งในเหวลึกนี้แล้ว ก่อนตายเจ้าเมตตาบอกข้าได้หรือไม่ ว่าแท้จริงคนที่วางยาปลุกกำหนัดท่านอ๋องที่ค่ายทหารเป็นเจ้าใช่หรือไม่” นางอยากรู้ว่าตนผิดพลาดตรงที่ใดถึงได้ถูกดึงเข้าสู่วังวนความเจ็บปวดทุกข์ระทมไม่รู้จบเช่นนี้
“เจ้าควรขอบคุณข้า หากไม่เป็นเพราะข้า เจ้ามีหรือจะได้มีโอกาสอุ่นเตียงให้กับท่านอ๋อง” หึ! หากไม่เพราะตอนนั้นตนเดินทางตามไปที่ค่ายทหารช้า มีหรือบุตรสาวขุนนางทุจริตเช่นหลี่เย่หรงจะสามารถปีนขึ้นเตียงเขาได้
“ขอบคุณที่เจ้าบอกความจริงกับข้าทุกอย่าง เช่นนั้นข้าก็จะบอกความจริงให้เจ้าทราบเช่นกัน”
“อนุฯ ไร้ค่าเช่นเจ้าน่ะหรือมีอันใดจะบอกข้า” เฉวียนซูลี่ยิ้มเยาะ
“ระหว่างข้าและเจ้า ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะก็ไม่มีวันได้หัวใจท่านอ๋องไป เพราะสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่ท่านอ๋องรักและโปรดปรานอย่างแท้จริงคือหานโมลี่ ชายารองผู้อ่อนหวาน เจ้ากับข้าก็เป็นเพียงโล่กันธนูจากศัตรูให้นาง”
“กรี๊ด! ไม่จริง เจ้าโกหก” เฉวียนซูลี่กรีดร้องคล้ายไม่ยอมรับความจริง
“ข้าใกล้จะตายแล้ว ข้าจะโกหกเจ้าเพื่อให้ได้อันใดขึ้นมา นางบอกกับข้าเองว่าท่านอ๋องโปรดปรานนางอีกไม่นานหานกั๋วชิ่งก็จะเหยียบหัวบิดาเจ้าขึ้นเป็นอัครเสนาบดี เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าและอนุฯ ที่เป็นคนของไทเฮาก็จะหมดประโยชน์ สุดท้ายแล้วเจ้าก็จะไม่ต่างอันใดกับข้า ฮ่า ๆ” หลี่เย่หรงหัวเราะคล้ายคนบ้า
“ไม่จริง! เจ้าโกหกข้า หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ” สิ้นเสียงเฉวียนซูลี่ยื่นมือไปข้างหน้าหวังทำให้อีกฝ่ายหยุดเอ่ยวาจาทำร้ายจิตใจตน โดยลืมไปว่าอีกฝ่ายอยู่ตรงหน้าผาที่เพียงก้าวถอยหลังก็คือหุบเหวลึก
“ไม่!” ในชั่วขณะที่นางกำลังจะร่วงหล่นก็มีเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นก่อนที่ร่างนั้นจะพุ่งตัวมาจับมือของนางเอาไว้
“ท่านอ๋องระวังพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ที่ติดตามผู้เป็นนาย กล่าวอย่างรีบร้อนพร้อมกับช่วยจับตัวผู้สูงศักดิ์เอาไว้ด้วยกลัวว่าจะพลัดตกหน้าผาไปอีกคน
“ขอบพระทัยที่มาส่งหม่อมฉันด้วยตัวเอง” อนุฯ หลี่กล่าวด้วยแววตาว่างเปล่า ยามนี้นางละทิ้งสิ้นทุกสิ่งแล้ว ยอมพ่ายแพ้อย่างไร้ข้อโต้แย้ง เขาไม่ผิดที่ไม่รักนาง
“เย่หรง อย่าปล่อยมือ จับเอาไว้แน่น ๆ นะ ข้าจะช่วยเจ้า” น้ำเสียงและแววตาร้อนรนของชินอ๋องผู้เย็นชาทำให้นางนึกขบขัน
“หม่อมฉันขอโทษที่ทำให้ท่านอ๋องลำบากใจ หากยามนั้นหม่อมฉันเลือกที่จะเป็นคุณหนูหลี่ต่อ ไม่ขอติดตามพระองค์ วันนี้ของหม่อมฉันก็คงไม่มาถึงเร็วเช่นนี้ หม่อมฉันยอมแพ้เพคะ หม่อมฉันจะไม่ร้องขอความเมตตาพระองค์อีก หากหม่อมฉันย้อนเวลาได้หม่อมฉันจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าพระองค์อีก ขอโทษสำหรับทุกสิ่งเพคะ”
“เย่หรง เจ้าเอามืออีกข้างมาจับข้าไว้เร็วเข้า ข้าจะช่วยดึงเจ้าขึ้นมา” ชินอ๋องตวาดอย่างเคยตัว ทว่าในแววตาฉายแววร้อนรนระคนเจ็บปวด
“ท่านพ่อกับท่านแม่ มารอรับหม่อมฉันกับลูกแล้วเพคะ หม่อมฉันมีสิ่งสุดท้ายอยากบอกกับพระองค์”
“ไม่! ข้าไม่ฟัง หากเจ้าอยากบอกสิ่งใดกับข้า เจ้าต้องเอามือทั้งสองข้างมาจับมือข้าไว้”
“ชั่วชีวิตนี้แม้หม่อมฉันจะมีใจรักพระองค์ แต่หม่อมฉันก็ไม่เคยคิดที่จะวางยาปลุกกำหนัดเพื่อปีนเตียงของพระองค์แม้แต่ครั้งเดียว ยามนั้นเป็นหม่อมฉันที่อยู่ผิดที่ผิดเวลา หากพระองค์คิดสืบหาย่อมพบเจอความจริง”
“ข้าเชื่อ! ข้าเชื่อเจ้า เอามือมาจับมือข้าเถิดนะ ข้าขอร้อง” หม่าเซี่ยอวี้อ้อนวอน ในดวงตาแดงก่ำด้วยความเจ็บปวด เขาพยายามจับมือนางเอาไว้ให้แน่นที่สุด
“หม่อมฉันเพิ่งรู้ว่าพระองค์ก็มีสีหน้าเช่นนี้ด้วย” รอยยิ้มบางปรากฏบนดวงหน้าหวานในรอบสองปี
“ข้าบอกให้เจ้าเอามืออีกข้างมาจับมือข้าได้ยินหรือไม่ หลี่เย่หรง” ชินอ๋องตวาดเสียงดังใส่สตรีที่ตนกำลังเหนี่ยวรั้งไว้
“ขอให้พระองค์ได้ครองคู่กับพระชายารองหานโมลี่ชั่วนิจนิรันดร์ไร้อุปสรรคใด ๆ ทูลลาเพคะ” สิ้นเสียงกล่าวนางก็เอาปิ่นที่กำเอาไว้ด้วยมืออีกข้างตั้งแต่ยืนสนทนากับเฉวียนซูลี่ปักที่มือของผู้สูงศักดิ์ ด้วยความเจ็บปวดเขาเผลอปล่อยมือ เมื่อสิ่งเดียวที่พันธนาการร่างบอบบางหมดไป นางจึงลอยละลิ่วลงสู่ก้นของหุบเหวลึก
“ไม่!!!” ชินอ๋องส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดและทำท่าจะกระโดดตามนางลงไปทำให้องครักษ์ต้องพากันจับตัวเอาไว้
สามพ่อแม่ลูกมองหน้ากัน ยามนี้ทั้งสามคนจะต้องสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เรื่องราวเลวร้ายในครั้งนี้จึงจะผ่านไปได้อย่างราบรื่น ผ่านไปนานถึงห้าวันนอกจากจะพบบ่าวรับใช้ไร้ที่มาแน่ชัดถึงสามคนแล้ว เจ้ากรมโยธายังได้บัญชีและสมุดลับที่ลูกน้องคนสนิทในกรมโยธาของเขาทำแยกเอาไว้ เพื่อมอบเอาไว้ให้ใครบางคน “เย่หรง พ่อควรทำอย่างไรต่อไป” หลี่จื่อห่าวไว้ใจลูกน้องคนสนิทของตนมากเพราะทำงานด้วยกันตั้งแต่ที่เขายังเป็นแค่ขุนนางตัวเล็ก ๆ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหักหลังตนเช่นนี้ “ท่านพ่อควรขอเข้าพบชินอ๋องเป็นการส่วนตัวเจ้าค่ะ แล้วเขาจะพาท่านไปสนทนากับฮ่องเต้” อย่างไรเรื่องนี้ก็ควรยืมมือเขา เนื่องจากฮ่องเต้ไว้ใจน้องชายร่วมบิดามารดาคนนี้ที่สุด “ได้! พ่อเชื่อวาจาของเจ้า เช่นนั้นพ่อจะรีบไปขอพบชินอ๋องที่ตำหนัก” “ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะท่านพ่อ เพราะในตำหนักชินอ๋องก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้ทุกคน” “เหตุใดเจ้าถึงรู้เรื่องราวในตำหนักชินอ๋อง” หลี่ฮูหยินเอ่ยถามบุตรสาว “เรื่องราวในราชสำนักแม้จะไม่มีใครกล่าวถึงแต่ทว่าย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเรื่องราว
“ได้เจอพวกท่านข้าดีใจยิ่ง” หลังสิ้นบิดามารดา ชีวิตนางก็คล้ายจะสูญสิ้นตามนอกจากจะไม่ได้ทวงความยุติธรรมให้บิดาแล้ว ทรัพย์สมบัติยังถูกยึด เนื่องจากไม่เคยสนใจเรื่องในจวนจึงไม่รู้ว่าเงินทองของตระกูลหลี่มีมากมายเท่าใด เครื่องประดับล้ำค่าที่นางเคยมีก็ถูกใช้เป็นของกำนัลยามต้องขอความช่วยเหลือซึ่งแน่นอนว่ามันย่อมมีวันหมดไป สุดท้ายการได้เข้าใกล้บุรุษที่นางพึงใจกลับทำให้นางไม่หลงเหลือสิ่งใดเลย แม้แต่ชีวิต “ดีใจถึงเพียงนั้นเชียว” หลี่ฮูหยินรู้สึกงุนงง “พ่อก็ดีใจที่ได้เจอเจ้า ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง อยากได้สิ่งใดหรือไม่ พ่อจะหามาให้เจ้า” เนื่องจากตนเป็นเจ้ากรมโยธามักจะต้องเดินทางไปต่างเมืองอยู่บ่อยครั้ง ทำให้บุตรสาวคนเดียวของเขาได้มีของหายากและล้ำค่าอยู่ในครอบครองไม่น้อย “ข้าอยากให้ท่านพ่อกับท่านแม่เลี้ยงข้าไปชั่วชีวิตเจ้าค่ะ” นางจะไม่ออกเรือน จะอยู่กับบิดามารดาหวงแหนช่วงเวลาที่ล้ำค่าเช่นนี้เอาไว้ให้นานที่สุด “หากเจ้าไม่อยากออกเรือนพ่อย่อมไม่คัดค้าน” นายท่านของจวนกล่าวกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ได้อย่างไรกันเจ้าคะ เป็นสตรีก็
“ไม่!!!” ชินอ๋องส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดและทำท่าจะกระโดดตามนางลงไปทำให้องครักษ์ต้องพากันจับตัวเอาไว้ เมื่อสัมผัสได้ถึงความว่างเปล่ารอบกายนางมองใบหน้าของบุรุษที่ห่างออกไปก่อนจะหลับตาลงภาพที่ผ่านมาพลันปรากฏขึ้นในห้วงความคิด ‘เจ้ารักนางก็ยอมรับมาเสียเถิด’ ‘เจ้าคิดว่าข้าจะรักสตรีที่วางยาปลุกกำหนัดข้าเพื่อปีนป่ายขึ้นที่สูงเช่นนั้นหรือ สตรีชั่วช้าเช่นนี้หรือจะคู่ควรกับตำแหน่งพระชายาของข้า’ ‘เจ้าบอกไม่ได้รักนาง แต่เจ้ากลับไปค้างคืนที่เรือนของนางทุกค่ำคืนตั้งแต่กลับตำหนักอ๋อง’ ‘แล้วอย่างไร นางเป็นอนุฯ ของข้า นอนกับนางก็ดีกว่าไปปลดปล่อยอารมณ์กำหนัดกับนางโลม’ ‘ที่แท้ในใจของเจ้า หลี่เย่หรงก็ดีกว่านางโลม’ ‘เพียงเล็กน้อยเท่านั้น’ บทสนทนาของบุรุษทั้งสองทำให้หัวใจที่ปวดร้าวของนางแตกสลาย ก่อนที่เขาจะเหยียบย่ำความรู้สึกของนางด้วยการแต่งพระชายาเอกและชายารองเข้าตำหนักอีกสามนาง ไม่รัก! นางพอเข้าใจแต่ทว่าสตรีที่เขาเลือกกลับเป็นเฉวียนซูลี่ที่เขารู้ดีอยู่แล้วว่าไม่ถูกกับนาง การถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจต
1 ความทุกข์ระทมในอดีต หน้าผาที่ตั้งสูงตระหง่านมองลงไปเบื้องล่างเป็นหุบเหวลึกที่ยากจะคาดเดาได้ว่าเบื้องล่างมีสิ่งใดอยู่บ้าง เสียงลมที่พัดผ่านต้นไม้ใบหญ้าเกิดเสียงคล้ายภูตผีวิญญาณกำลังเรียกร้อง นัยน์ตาเมล็ดซิ่งของสตรีผู้หนึ่งที่ยืนหันหลังให้หน้าผาจ้องมองกลุ่มคนเบื้องหน้าด้วยแววตาเรียบเฉย คล้ายกับไม่มีสิ่งใดจะมาทำร้ายจิตใจนางให้เจ็บปวดไปมากกว่าที่เป็นอยู่แล้ว สตรีที่สวมอาภรณ์เนื้อดีคล้ายสตรีสูงศักดิ์ยกยิ้มมุมปากคล้ายสะใจเมื่อเห็นสภาพของคนที่ตนเกลียดคล้ายตุ๊กตาผ้าที่ฉีกขาดและยับเยินไม่หลงเหลือสภาพดีงามเช่นที่เคยรู้จัก “หากจะกล่าวโทษ เจ้าก็กล่าวโทษลูกในท้องของเจ้าเถิดที่ทำให้เจ้าต้องตาย เพราะหากเจ้าไม่อาจหาญสับเปลี่ยนยาห้ามครรภ์ ท่านอ๋องมีหรือจะสั่งให้ข้าพาเจ้ามาจัดการที่นี่” “...” เมื่อถูกทำให้เสียใจอยู่นับครั้งไม่ถ้วน ในใจของนางยามนี้ก็เริ่มจะด้านชาและไม่ได้รู้สึกอันใดต่อคนพวกนี
บทนำ “เย่หรง ช่วยข้าด้วย” หม่าเซี่ยอวี้ทรุดกายนั่งลงที่ตรงขอบเตียงก่อนจะจับมือเจ้าของเรือนเขย่าเพื่อปลุกนางให้ตื่น “ชินอ๋อง! พระองค์มาได้อย่างไรเพคะ” สตรีที่เพิ่งดับไฟเข้านอนไปเมื่อครึ่งเค่อก่อนผุดกายลุกขึ้นนั่งบนเตียง “เย่หรง ช่วยข้าด้วย ข้าโดนวางยา” “หา! ท่านโดนวางยา” นางกล่าวก่อนจะรีบขยับกายไปจุดไฟทันที “อ๊า! ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว เย่หรง เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่” “พระองค์โดนวางยาอะไรมา แล้วหม่อมฉันต้องช่วยพระองค์อย่างไร” นางเพ่งมองใบหน้าที่คล้ายจะแดงก่ำ แววตาที่จ้องมองนางฉายแววดุร้ายคล้ายสัตว์ป่า บนใบหน้ามีหยาดเหงื่อผุดพรายเต็มกรอบหน้า ‘หรือว่าเขาจะโดนวางยาปลุกกำหนัดมา’ พรึ่บ! แทนคำตอบเขารั้งตัวนางเข้ามากอดก่อนจะกดริมฝีปากลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนุ่มอย่างอุกอาจ เขาเกี่ยวกระหวัดพัวพันลิ้นเล็กอย่างรุกเร้ารุนแรงและเอาแต่ใจ ลิ้นร้อนกวาดต้อนชิมความหวานจากโพรงปากนุ่มแล้วดูดดึงริมฝีปากของนางคล้ายย้ำเตือนก่อนจ