"ทูลฝ่าบาทแม่ทัพหลิวขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ"
เสียงดังลั่นขึ้น ฮ่องเต้มองทุกคนที่อยู่ด้านล่างด้วยความกลัดกลุ้ม แม่ทัพหลิวเป็นแม่ทัพที่ควบคุมทหารองครักษ์ทั้งหมดหากมีปัญหากับเขาแบบนี้จะได้อย่างไร ถึงตอนนี้เขาต้องปลดองค์ชายรัชทายาทจริงๆเสียแล้ว "ทุกคนออกไปให้หมดเจ้าหนามกงฟู่ เจ้าต้องอยู่รับมือกับท่านแม่ทัพหลิว เขาต้องการอย่างไรข้าจะจัดการให้เขา แม้นเขาต้องการที่จะปลดเจ้าออกจากองค์ชายรัชทายาทข้าก็ต้องทำ เพราะกองกำลังรักษาการในวังหลวงนั้นเป็นของเขา แล้วเรียกแม่ทัพหลิวเข้ามา" ฮองเต้พูดขึ้น ไม่นานแม่ทัพหลิวก็เดินเข้ามา เมื่อก่อนที่เขาจะเข้าวังมาราวๆหนึ่งก้านธูป บุตรสาวก็ได้บอกกับผู้เป็นมารดาให้สนับสนุนองค์ชายรัชทายาท เขาจึงถวายบังโคมฮ้องเต้ และคำนับองค์ชายรัชทายาทเล็กน้อย "ท่านพ่อข้าผิดไปแล้วเจ้าคะ ข้ากลับองค์ชายรัชทายาทนั้นรักกันมาก จึงมิอาจจะพรากจากกันได้ เราเคยเจอกันเมื่อสามปีที่แล้ว ครั้งที่องค์ชายรัชทายาทเข้ามาในค่ายทหารของพวกเรา ข้ากับเขาก็ได้ชอบพอกันแต่ครั้งเมื่อเขานั้นต้องไปทำศึกที่ค่ายทางทิศเหนือ จึงทำให้เราห่างไกลกัน จนฮองเฮานั้นบังคับให้ข้าต้องชอบพอกับองค์ชายสาม แต่เมื่อคืนนั้นเราได้พบกันอีกจึงทำให้ข้าเองอดใจไม่ไหว ข้ามันเป็นบุตรที่ไม่ดีใช่ไหมท่านพ่อ ข้ามันเลวมากที่ทำเรื่องพันนี้ ที่ข้าร้องไห้ข้าไม่ได้เสียใจที่เรื่องนี้มันเกิดขึ้น เพราะว่าข้ากับเขาทั้งสองคนต่างเต็มใจ แต่ที่ข้าเสียใจเพราะว่าพวกเขาพาคนบุกเข้าไปดูพวกข้า จึงทำให้ข้าอับอายยิ่งนัก ท่านพ่อต้องเชื่อข้านะเจ้าคะ ลูกไม่ขออะไรมาก ขอให้ท่านพ่อหันมาสนับสนุนองค์ชายรัชทายาทแทนองค์ชายสามที่พาทหารเหล่านั้นเข้ามาทำให้ข้าเสื่อมเสีย หากท่านไม่เชื่อข้าก็ลงไปดูที่ตัวเขาว่ามีสร้อยคอของข้าหรือไม่ และนี้คือแหวนปาจือของเขา อย่างไรเราทั้งสองก็หลับนอนด้วยกันแล้ว ท่านพ่อก็อย่าถือสาเลย" หลิวเสียงเหย่ากล่าวขึ้นและยื่นแหวนให้บิดาไป เพื่อให้เขาไปจัดการเรื่องขององค์ชายรัชทายาท จะไม่ให้บิดาของเขาถือสาได้อย่างไรให้เมื่อบุตรีที่ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนก็ร่วมหลับนอนกับบุรุษ เด็กสมัยนี้ช่างต่างกับพวกเขาเสียเหลือเกิน ท่านแม่ทัพจึงเข้าวังไปจัดการเรื่องของบุตรี ส่านตัวของหลิวเสียงเหย่าก็เขียนจดหมายและให้คนส่งไปยังตำหนักของเขาองค์ชายรัชทายาท นางเขียนทุกถ่อยคำที่กล่าวกับบิดาไป เพื่อที่จะได้ตรงกันในใจก็ยิ่งคิดว่าองค์ชายรัชทายาทผู้นี้จะเฉลียวฉลาดอยู่หรือไม่ จะตามน้ำไปกับนางหรือไม่ นางได้แต่เดิมพันกับชีวิตตัวเอง เพราะหากเขาไม่ช่วยแล้วจะเป็นนางที่กล่าวพูดวาจาเท็จ จะทำให้ตัวนางเองเดือดร้อน และตัวเขาเองก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน แม่ทัพหลิวยื่นแหวนปาจือขององค์ชายรัชทายาทออกมาให้ฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตร "แหวนวงนี้เป็นแหวนปาจือหยกสีม่วงลาเวนเดอร์ ขององค์ชายรัชทายาทซึ่งได้มอบกับบุตรสาวของกระหม่อม หลิวเสียงเหย่า ลูกสาวของกระหม่อมกับองค์ชายรัชทายาทนั้นชอบพอกันมาราวๆสามปีที่แล้ว แต่ช่วงนี้องค์ชายรัชทายาทไม่ได้อยู่ในวังทำให้ลูกกระหม่อมหวั่นไหวกับองค์ชายสามบาง และประจวบกับฮองเฮาเองก็ทีท่าทีที่ปีบบังคับนางจึงต้องยอมคบหากับองค์ชายสาม กระหม่อมของบังอาจทูลตามตรง บุตรของกระหม่อมพบปะกับองค์ชายรัชทายาทอีกครั้งจึงนึกถึงความหลัง และเมื่อคืนทั้งสองก็เต็มใจซึ่งกันและกัน เพราะบุตรีกระหม่อมคิดว่าไม่อาจได้ครอองคู่กับองค์ชายรัชทายาทอีกแล้ว และรุ่งเช้าจะกลับเรือนโดยมิให้ผู้ใดล่วงรู้ แต่พวกองค์ชายสามกลับนำคนไปมากมายเพื่อที่จะถือวิสาสะเข้าไปในห้องหลังนั้น ถือว่าหยามบุตรีของกระหม่อมทำให้นางอับอาย กระหม่อมขอบังอาจกล่าวว่าแม้ว่าบุตรีของกระหม่อมจะเป็นสตรี แต่กระหม่อมก็สั่งสอนมาเป็นอย่างดี นางเคยซ้อมทหารในสิ่งที่นางชอบ แต่เมื่อไม่นานก็ต้องล้มเลิกเป็นเพราะฮองเฮาต้องการที่จะแต่งตั้งให้นางเป็นชายาขององค์ชายสาม พระองค์ทรงคิดดูหากองค์ชายสามชอบพอบุตรีของกระหม่อมจริงจะให้นางหยุดทำสิ่งที่ตนชอบได้อย่างไร" แม่ทัพหลิวกล่าวออกไปด้วยความที่ไม่ได้ก้าวร้าวและไม่อ่อนข้อให้ เขามั่นใจในตำแหน่งของเขาดี และเขาก็เชื่อมั่นในตัวบุตรีอยู่แล้ว นางต้องการสิ่งใดเขาต้องร่วมสนับสนุน เมื่อครั้งก่อนนางสนับสนุนองค์ชายสามแม่ทัพอย่างเขาก็สนับสนุนตาม แต่เมื่อเช้าที่บุตรสาวบอกว่าให้สนับสนุนองค์ชายรัชทายาทตัวเขาเองก็เปลี่ยนตามทันที "แม่ทัพผู้นี้หน้าหนามาจากที่ใดถึงได้มากล่าวว่าบุตรสาวกับเขานั้นยินยอมพร้อมใจกัน หรือไม่เรื่องนี้ที่เกิดขึ้นคงเป็นสตรีผู้นั้นเป็นแน่ที่วางแผนเอาไว้ เขาตกหลุมพรางของสตรีที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนหรือ และไหนนางจะกล่าวว่าเคยชอบพอกันเมื่อสามปีที่แล้วอีก องค์ชายรัชทายาทไม่ได้กล่าวอะไรออกไป เพราะแม่ทัพหลิวผู้นี้เขาเป็นกองกำลังทหารที่รักษาพระราชวังอยู่ เขาไม่ต้องการที่จะผิดใจกับแม่ทัพผู้นี้" องค์ชายรัชทายาทหนางกงฟู่คิดในใจ เขาได้แต่ยืนสร้อยนั้นออกมา ฮ่องเต้เห็นก็เกิดความรู้สึกหลากหลาย บุตรชายของตนเองมิเคยชอบพอกับสตรีผู้ใดมาก่อนตั้งแต่สามปีที่แล้วว่าลูกชายของตนและบุตรีของแม่ทัพหลิวชอบพอกันเขาจะขัดได้อย่างใร ในเมื่อตำแหน่งของแม่ทัพหลิวเองก็มั่นคงเสียมากๆ "ฟู่เออร์เจ้ากลับตำหนักไปก่อนเดี๋ยวข้าจะต้องคุยกับท่านแม่ทัพหลิวก่อน เรื่องที่ผิดก็ว่ากันไปตามผิดเจ้าเป็นบุตรของข้า ยังไงเจ้าก็ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้กลับไปตำหนักก่อนเมื่อข้าคุยธุระกับท่านแม่ทัพเสร็จสิ้นข้าจะให้คนไปตามเจ้า" ฮ่องเต้กล่าวขึ้น หนามกงฟู่ที่ยังมึนงงในหลายๆเรื่องเขายังจับต้นชนปลายไม่ถูกเลย ทั้งเรื่องจดหมายของสตรีผู้นั้นทั้งเรื่องของแทนใจอะไรทำนองนั้น เขาจึงกลับตำหนักไปก่อนเพื่อที่จะไปตั้งตัวเมื่อกลับมาถึงตำหนักก็พบกับลูกน้องคนสนิทซูเสวี่ย "นายน้อยเมื่อคืนนั้นไม่มีเหตุบุกตำหนักขององค์ชายรัชทายาทแต่อย่างใด ข้าได้เฝ้าทั้งคืนก็ไม่มีผู้ใดบุกมาแต่เมื่อเช้าได้ข่าวว่าท่านถูกทหารจับไปคุมขังไว้ ข้าจึงเร่งที่จะออกไปดูแต่ถูกกักไว้ให้อยู่แต่ในตำหนักมันมีเรื่องใดกันขอรับ แล้วนี่ก็มีทหารผู้หนึ่งนำจดหมายนี้มาให้ท่านขอรับ" ซูเสวี่ยกล่าวขึ้น องค์ชายรัชทายาทจึงเข้าไปในตำหนักและอาบน้ำเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย เมื่อเสร็จแล้วก็ออกมาดูจดหมายที่ทหารได้นำมาให้ เป็นลายมือของสตรีผู้นั้น เขาไม่นึกแปลกใจว่าทำไมสตรีผู้นั้นถึงก้าวก่ายในตำหนักขององค์ชายรัชทายาทได้ง่ายดาย เนื่องจากว่าบิดาของเขาเป็นถึงหัวหน้าทหารองครักษ์ประตูเมืองจึงทำให้นางมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้ในวังหลวงแห่งนี้ แต่เขาก็คิดไม่ตกว่าทำไมนางต้องทำแบบนี้กับเขาแล้วทำไม องค์ชายสามถึงกล่าวว่านางคือคนรักของเขากันนะเมื่อทหารทั้งสามไปยังกระโจมของท่านแม่ทัพ ข้างในก็จะมีอาหารว่างที่ว่างอยู่บนโต๊ะเหมือนจัดให้พวกเขาทั้งสามพร้อมกับถ้วยชา เมือทหารทั้งสามมานั่งแล้วรองแม่ทัพซูเสวี่ยเป็นผู้รินน้ำชาให้พวกเขาทั้งสามพร้อมกับให้แม่ทัพด้วย"เชิญพวกท่านดื่มน้ำเช้าก่อน"รองแม่ทัพซูเสวี่ยกล่าวขึ้น"ท่านรองแม่ทัพท่านไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ขอรับเดี๋ยวข้าน้อยริมน้ำชากันเอง"ทหารผู้หนึ่งกล่าวขึ้น"พวกเจ้าเชิญดื่มชาเถอะ และก็ของว่างนี้ด้วย ถ้าสั่งให้คนครัวทำกับข้าวอยู่แต่เขาน่าจะทำยังไม่เสร็จพวกเจ้าจะได้กินข้าวกันไม่ได้กินนานเลยล่ะสิ"รองแม่ทัพซูเสวี่ยกล่าวขึ้น"อาหารที่อยู่บนเรือรบนั้นรสชาติอาจจะไม่ถูกปากแต่บอกเลยเพื่อข้าไม่เคยอด แต่แล้วแต่เมื่อคืนนั่นแหละที่พวกเขาเดินเรือมายังน่านน้ำนี้ก็ไม่ได้กินอะไรอีกเลย"ทหารผู้หนึ่งกล่าวขึ้น พลางหยิบของว่างเข้าปาก"ที่ข้าร้อนใจเรียกพบเจ้าทั้งสามมาก็เพราะเรื่องนี้นั่นแหละ มีใครพอจะวาดแผนที่บนเรือให้ข้าได้หรือไม่ข้าอยากวางแผนทำเรือรบหากครั้งนี้เราชนะข้าเกรงว่าครั้งต่อไปก็คงจะมีการรบทางน้ำอีก เพราะฉะนั้นเรือรบนั้นข้าคิดว่ามันน่าจะสำคัญอย่างยิ่งในภายภาคหน้า และตอนนี้ข้าต้องการให
เป็นดังที่ท่านแม่ทัพคิดไว้ไม่มีผิดหลังจากที่เรือรบนั้นกลับไปแล้วยังมีเสียงละลอกของคลื่นน้ำกระทบกับโลหะและไม้อยู่ ไม่นานก็เห็นความเคลื่อนไหวริมน้ำ ทหารของแคว้นอี้กับแคว้นจิ้นขึ้นมาได้ ทหารของแคว้นตงก็ลงมือทันทีเสียงสู้รบกันดังสนัน เป็นละลอก ทหารสามนายของแคว้นตงที่อยู่ในเรือก็หยุดพูดคุยกันเพื่อฟังเสียงต่อสู้ "ทหารของสองแคว้นนั้นช่างอดทนเสียเหลือเกิน ว่ายน้ำไปขึ้นฝั่งได้ แต่ทหารของแคว้นตงรับรู้ได้อย่างไรนะว่าทหารของอีกสองแคว้นกำลังจะขึ้นไปบนชายฝั่ง"ทหารผู้หนึ่งถามขึ้น ทั้งสองก็นั่งคบคิดแต่หาคำตอบไม่ได้ พวกเขาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากฝั่งเกินไปนักได้ยินเสียงสู้รบเป็นช่วงช่วง ไม่นานเรือนั้นก็เหมือนมีคนมาจับไว ปกติเรือจะโคลงเคลงตามระลอกของคลื่นเนื่องจากว่ามีความเคลื่อนไหวอยู่ในน้ำจงสงบรอบขึ้นทำให้เรือโคลงเคลง แต่ตอนนี้เรือหยุดโคลงเคลงแล้ว เมื่อส่องไฟพกไปก็ต้องพบกับแม่ทัพฉี่ฉ่างของแคว้นจิ้น ทหารทั้งสามลากตัวแม่ทัพขึ้นมา"พวกเจ้าทหารแคว้นอี้ พาเรากลับไปยังเรือรบด้วย เมื่อไปถึงแล้วข้าจะมอบรางวัลให้เจ้าอย่างงาม เพิ่มตำแหน่งให้เจ้าทั้งสามคนด้วย"แม่ทัพฉี่ฉ่างของแคว้นจิ้นกล่าวขึ้นทั้งสามพยักหน้า "แ
ไม่นานหัวหน้าฝ่ายต่างๆก็มาช่วยกันขนธนูและลูกธนู พร้อมกับไฟที่พวกเขาเตรียมการไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ลูกธนูและธนูนั้นถูกขนไปไว้ยันต้นไม้ที่พวกเขาทำที่พักไว้ ทหารทุกคนทำงานเป็นคู่ เมื่อนำของเหล่านั้นไปไว้บนต้นไม้เสร็จแล้วทุกคนก็รวมตัวกันอีกครั้ง"ทหารทุกคนครานี้ แคว้นอี้กับแคว้นจิ้นบุกมายังแคว้นตงของเราแล้ว ในเวลายามสามข้าจะให้สัญญาณและยิงธนูออกไป หากยิงแล้วไปถูกเรือรบเหล่านั้นให้ยิงซ้ำ หากผู้ใดยิงไม่ถูกให้เปลี่ยนเป้าหมายจนกว่าจะถูก เมื่อยิงถูกเรือแล้วเรือเหล่านั้นลุกเป็นไฟ ก็จะทำให้เรามองเห็นเรือลำอื่นๆได้ชัดเจน ครานี้ข้าแม่ทัพฟู่ขอฝากความหวังไว้กับทหารทุกๆคน พวกเราจะรบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน พวกเราจะต้านศัตรูไม่ให้พวกมันมาเหยียบแผ่นดินแคว้นตงของเราได้ "องค์ชายรัชทายาทหนามกงฟู่กล่าวเรียกขวัญและกำลังใจให้ทุกๆคน"พวกเราจะต้านศัตรู พวกเราจะต้านศัตรู"เสียงทหารทุกคนร้องขึ้นอย่างพร้อมเพียง หลังจากที่ทหารทุกคนได้ขวัญและกำลังใจเสร็จสิ้น ก็แยกย้ายกันไปประจำจุด บางคนก็ขึ้นต้นไม้เพื่อที่จะไปซุ่มยิงธนู บางคนก็ตรียมตัวอยู่ใกล้น่านน้ำ เพื่อรอฝ่ายศัตรูขึ้นมาแล้วพวกเขาก็จะสู้รบกัน เวลาผ่านไปเรื่อยไป เสียงโล
ทางด้านค่ายทางทิศตะวันออกของแคว้นตง ในยามราตรีเข้ามา กลุ่มเรือรบก็ค่อยๆเคลื่อนเข้าไปยังพื้นดินของแคว้นตง ทหารของแคว้นตงสองคนที่อยู่ในเรือลำนั้นไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปบนเรือเพื่อที่จะส่งสัญญาณให้คนบนพื้นดินให้รู้ว่ามีเรือรบเข้าใกล้พื้นพื้นดินของตนแล้ว เหมือนมีคนรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของพวกเขาทั้งสอง ใช้แรงงานพวกเขาทั้งสองให้อยู่ใต้เรือ คอยขนอาวุธให้คนข้างบนพวกเขาจึงไม่รู้ว่าตอนนี้เรือแล่นไปถึงไหนแล้ว ทั้งสองสบสายตากันเป็นครั้งคราว หากใกล้ที่จะถึงฝั่งจริงๆพวกเขาต้องรีบขึ้นไปส่งสัญญาณถึงแม้จะถูกจับได้แต่พวกเขาก็ต้องเสี่ยงขึ้นไปแล้ว "เรือพวกเราแลนมาขนาดนี้แล้วถึงไหนก็ไม่รู้" ทหารที่ขนอาวุธด้วยกันถามกันเองจึงทำให้ทั้งสองที่มองหน้ากันอยู่พยายามที่จะฟังสำเนียงของแคว้นอี้ให้เข้าใจ "จะแล่นถึงไหนได้ล่ะหากพวกเขาใกล้ฝั่งแล้วพวกเขาก็จะปล่อยเรือเล็กออกไปนั่นแหละถึงรู้ว่าพวกเราใกล้จะปะทะกับทหารแคว้นตงแล้ว ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาง่ายๆหรอกระยะทางที่พวกเราจอดนั้นไกลมากนัก เพราะกลัวว่าลูกธนูไฟเหล่านั้นจะทำให้เรือเราเสียหายไง" ทหารผู้หนึ่งตอบขึ้น "แล้วเจ้ามาตอนกลางคืนเช่นนี้ พวกนั้นจะเห็นเราหรือไม่นะ หรือเร
ทางด้านนักพรตที่เป็นอาจารย์ของหลู่ชิงเหยาเมื่อออกจากเมืองหลวงไปก็ไปยังทิศทางใต้ เวลาผ่านไปหลายเดือนลางสังหรของเขานั้นก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาอาจวิตกมากเกินไป หรือว่าการเปลี่ยนที่อยู่แล้วจะทำให้เคราะห์นั้นหายไป เขาไม่กล้าดูอนาคตให้ตัวเองอีกแล้ว จึงได้แต่ใช้ชีวิตตามปกติ เขาตั้งสำนักดูดวงให้ชาวบ้านด่านใต้ ไม่นานก็มีคนมาขอให้สถานการณ์สงครามเพราะชาวบ้านได้ข่าวหนาหูเรื่องสงคราม เขาจึงทำการดูอนาคตให้ก็พบว่า ฮ่องเต้คนใหม่กำลังปรากฏแล้ว ในไม่ช้าจะเปลี่ยนผู้นำแคว้นคนใหม่ ซึ่งการเปลี่ยนผู้นำคนใหม่ที่มาพร้อมกับสงครามจึงทำให้เขาคบคิดขึ้นได้ว่าสงครามของแคว้นตงจะพ่ายแพ้ เขาดูอนาคตพรางพูดไปเช่นนั้น จึงทำให้ชาวบ้านที่อยู่บริเวณด้านใต้นั้นรู้สึกวิตกกังวลมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม เพราะพวกเขารู้ว่าสถานการณ์ตึงเครียดมานานแล้ว เมื่อท่านนักพรตคิดแผนที่พวกเขาวางไว้อาจสำเร็จเขาก็รู้สึกเสียดายไม่น้อยที่ทำให้ คุณหนูหลู่นั้นตัดขาดกับองค์ชายสามหนามกงเฉียว เมื่อเขากลับมายังที่พักแล้วเขาจึงคิดขึ้นได้ว่าควรจะดูอนาคตให้กับองค์ชายรัชทายาทว่าตอนที่เขาหมดหน้าที่ และหมดผลประโยชน์แล้วเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป คลั้นมาดูอนาคตให้องค์
หลิวเสียงเหย่าลูบหน้าท้องของตัวเองเบาๆวันนี้ทางตระกูลจะมารับนางแล้วนางออกมาจากเรือนและเดินดูต้นไม้รอบๆ ใบไม้ยังคงปลิวตามเดิมของมันและลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ก็ยังมากวาดใบไม้อยู่เช่นเดิมแต่วันนี้เป็นสตรีที่คอยดูแลนางอยู่ประจำ หลิวเสียงเหย่าและบ่าวรับใช้ยืนมองไปที่นาง"วันนี้พวกท่านก็จะกลับบ้านกันแล้ว ข้ายินดีอย่างยิ่งที่ได้ดูแลท่านเป็นเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา หากมีโอกาสข้าจะไปหาท่านในพระราชวังนะ"เสียงลูกศิษย์สตรีดังขึ้น"ข้าต้องขอขอบคุณเจ้ามาก เรื่องที่ผ่านมาเจ้าดูแลข้าเป็นอย่างดี หากข้ากลับเข้าวังแล้ว เจ้ามีความประสงค์สิ่งใดก็เข้าไปหาข้าได้ทุกเมื่อ พวกเจ้าและท่านอาจารย์ของพวกเจ้ามีบุญคุณต่อข้ามาก ชีวิตนี้ข้าก็อยากจะทดแทน"หลิวเสียงเหย่ากล่าวขึ้น"พระชายาเจ่าคะ พระองค์ไม่คิดแบบนี้สิเพคะ ชีวิตของพระองค์กับองค์ชายน้อยมีค่ามากนะเจ้าคะ"บ่าวรับใช้กล่าวกับหลิวเสียงเหย่า"ชีวิตทุกคนมีค่าเท่ากันนั่นแหละเจ้าอย่าพูดเรื่องนี้ ทุกคนให้ความสำคัญกับข้ามากเช่นไร บุญคุณย่อมมากเท่านั้น "หลิวเสียงเหย่ากล่าวกับบ่าวรับใช้ ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนจากภายนอกนั้นเดินทางเข้ามา บ่าวที่ดูแลหลิวเสียงเหย่าก็เตรียมตัว