Mag-log inหลังจากสารภาพว่าชอบปณัยกรไปแล้วสุพิชฌาย์ก็รู้สึกโล่งใจที่ได้บอกความรู้สึกของตัวเองออกไป หญิงสาวไม่หวังจะให้ปณัยกรตอบรับเป็นแฟนกับเธอในตอนนี้เพราะรู้ว่าคนเย็นชาอย่างเขามันเข้าถึงยาก หญิงสาวคุยกับอาจารย์กิ่งแก้วแล้วว่าเธอชอบเขาจริงๆ อาจารย์กิ่งแก้วบอกว่าถ้าชอบเขาก็อดทนและให้เวลาเขาได้คิดได้ทบทวนความรู้สึกของตัวเอง
สุพิชฌาย์รู้ว่าในอดีตปณัยกรเคยมีแฟนเป็นอาจารย์ที่สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน จากนั้นฝ่ายหญิงก็ย้ายไปสอนมหาวิทยาลัยอีกที่หนึ่งทำให้ทั้งสองห่างกันและไม่มีเวลาให้กันสุดท้ายก็เลิกรากันไปจากนั้นปณัยกรก็ยังไม่เคยคบกับผู้หญิงคนไหนอีกเลย ส่วนแฟนของเขาก็แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว
เธอไม่รู้ว่าที่ปณัยกรยังไม่ยอมมีผู้หญิงคนอื่นเพราะยังลืมคนรักเก่าไม่ได้หรือเพราะเขามีความสุขกับการใช้ชีวิตเรียบง่ายแบบนี้หรือเปล่าแต่เธอก็ไม่ละความพยายามที่จะต้องจีบเขามาเป็นแฟนให้ได้
ตอนแรกก็แค่อยากจะเอาชนะเพราะเห็นว่าเขาเป็นคนหน้าตาดี ถ้าได้ควงได้อวดคนอื่นว่าเป็นแฟนก็คงจะทำให้ใครต่อใครอิจฉา แต่พอได้ใกล้ชิดจริงๆ กลับรู้สึกทั้งรักทั้งหลงเขาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน
เขาเหมือนเย็นชาแต่ก็แฝงไปด้วยความอบอุ่น ทุกอย่างมันแสดงออกมาทางสายตาและท่าทางแม้ปณัยกรจะพูดน้อยถามอะไรก็ตอบสั้นๆ แต่เธอสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่เขามีให้กับเธอ
สุพิชฌาย์เตรียมตัวเข้านอนแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเธอส่งสติกเกอร์บอกฝันดีไปให้กับอาจารย์หนุ่มห้องฝั่งตรงข้าม เมื่อเห็นเขาอ่านแล้วก็ยิ้มก่อนจะเก็บโทรศัพท์แล้วหลับไปด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความสุข
เช้าวันต่อมาสุพิชฌาย์ก็รีบตื่นนอนแต่เช้าเธอรีบออกจากคอนโดมิเนียมก่อนเวลาปกติเพราะยังไม่กล้าสู้หน้าปณัยกรสักเท่าไหร่ เมื่อมาถึงมหาวิทยาลัยก็รีบตรงเข้าไปหาเพื่อนสองคนที่รออยู่บริเวณโรงอาหาร
“แกมีอะไรจะเล่ารีบบอกมาเลยนะ” เจนิตารีบพูดถามเพราะก่อนหน้านี้สุพิชฌาย์โทรมาบอกให้พวกเธอทั้งสองคนมารอที่โรงอาหารและบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะเล่าให้ฟัง
“ใจเย็นสิเจนขอฉันไปซื้อข้าวก่อนนะ”
“ฉันซื้อมาเผื่อแล้วข้าวผัดกุ้งของโปรดแกแล้วจะเอาอะไรอีกไหม”
“แหมแค่นี้รู้ใจฉันจริงๆ เลยนะใบตอง”
สุพิชฌาย์ทานข้าวไปได้ไม่กี่คำเพื่อนสองคนก็จ้องหน้าจนเธอต้องวางช้อนกับส้อมลงบนจาน
“นี่อยากรู้กันมากเลยใช่ไหม”
“ก็อยากรู้สิ แกรีบกินสิจะได้เล่าให้ฉันสองคนฟัง”
“แกเร่งให้ฉันกินเดี๋ยวข้าวก็ติดคอหรอกนะเจน”
“จะติดคอได้ไงนี่ฉันซื้อน้ำมาให้แล้ว” ณัฐมลส่งขวดน้ำมาให้
ทั้งสองคนยังจ้องสุพิชฌาย์ราวกับเธอเป็นนักโทษ หญิงสาวทานอีกไม่กี่คำรวบช้อนส้อมแล้วหยิบน้ำขึ้นมาดื่มก่อนมองหน้าเพื่อนทั้งสอง
“เอาล่ะทีนี้พวกแกสองคนตั้งใจฟังเรื่องที่ฉันจะเล่าดีๆ นะ” สุพิชฌาย์เห็นเพื่อนสนใจเรื่องของตนเองก็ยิ้ม
“ก็ตั้งใจฟังไง ฉันสองคนรอมานานแล้วเล่ามาสักทีเถอะเปียโน” เจนิตาคะยั้นคะยอ
“เมื่อวานฝนตก”
“พวกฉันรู้แล้วไม่ต้องเล่าก็ได้” ณัฐมลพูดขัดขึ้น
“ใจเย็นๆ สิฉันก็กำลังจะเล่าตามลำดับเหตุการณ์ไง แกนี่ใจร้อนไปได้นะใบตอง”
“ก็ฉันอยากรู้นี่”
“เอาล่ะทีนี้ฉันจะเล่าแล้วอย่าพูดแทรกนะ ถ้าแกพูดแทรกขึ้นมาฉันจะหยุดเล่าทันทีเลย”
“สัญญาเลยจะไม่พูดแทรก” เจนิตารีบสัญญาเพราะกลัวเพื่อนจะไม่เล่าให้ฟัง
“เมื่อวานฝนตกฉันกับอาจารย์ไนท์ก็เลยไม่ได้ไปกินข้าวด้วยกัน แต่เราสั่งพิซซ่ากับไก่เกาหลีมากินที่ห้องของเขา บรรยากาศมันดีมากๆ เลยแหละ กินอาหารที่ชอบดูซีรีส์ที่ชอบด้วยกัน”
“แค่นี้เหรอไม่เห็นมันจะสำคัญตรงไหน”
“ก็ฉันยังเล่าไม่ถึงจุดที่สำคัญไงล่ะใบตองแกก็รีบถามขึ้นมาก่อน”
“แล้วทำไมแกไม่ข้ามไปจุดที่สำคัญเลยล่ะเปียโนจะรอให้ฉันสองคนอกแตกตายรึไง”
“เอาน่าทีนี้จะถึงจุดสำคัญแล้ว”
“ยังไงรีบเลยนะ”
“ระหว่างนั้นฉันก็ชวนเขาคุยไปเรื่อย ฉันถามว่าเคยมีแฟนไหมเขาก็บอกว่าเขาเคยมีแฟนแล้วก็ถามว่าเขาชอบผู้หญิงแบบไหน”
“แล้วเขาชอบผู้หญิงแบบไหนล่ะแบบแกหรือเปล่า”
“อาจารย์ไนท์ไม่ได้บอกว่าชอบผู้หญิงแบบไหน”
“อ้าวแล้วมันยังไง”
“ฉันก็เลยบอกเขาไปว่าฉันชอบเขาและขอเขาเป็นแฟน”
“อะไรนะ นี่แกไปสารภาพกับเขาแบบนั้นแล้วเขาไม่ตกใจแย่เลยเหรอ”
“ท่าทางอาจารย์ไนท์ก็ตกใจอยู่นะเจน”
“แล้วเขาตอบตกลงหรือเปล่า” เจนิตาถามต่อ
“ไม่นะอาจารย์เขาเงียบก็บอกว่าฉันยังเด็ก”
“ที่เขาไม่ให้คำตอบอาจเพราะเขาไม่ชอบเด็กก็ได้”
“เขาไม่ให้คำตอบว่าจะตกลงเป็นแฟนฉันหรือเปล่า แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธเพราะฉะนั้นฉันยังมีความหวัง ฉันบอกเขาแล้วว่าฉันไม่เร่งรัดเอาคำตอบ”
“แล้วแกคิดว่าจะทำยังไงต่อล่ะเปียโน”
“ก็คงทำตัวเป็นปกตินั่นแหละเจน”
“แกคิดว่าบอกความในใจไปแล้วทำตัวเป็นปกติกับเขาได้เหรอ”
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อเช้าฉันก็รีบออกมายังไม่ได้เจอเขาเลย”
“แกไม่กล้าสู้หน้าเขาแบบนี้แกจะรู้ได้ยังไงว่าเขารู้สึกอะไรกับแกหรือเปล่า”
“ฉันหลบหน้าเขาไม่นานหรอกใบตอง เย็นนี้ก็คงไปกินข้าวกับเขาอย่างเคยนั่นแหละ”
“แต่ฉันมีความคิดที่ดีกว่านั้นนะเปียโน ในเมื่อเราบอกว่าชอบเขาไปแล้วเขายังเย็นชาไม่ตอบรับหรือปฏิเสธเราก็ต้องลองใจเขาดู”
“ลองใจยังไง”
“ก็ลองไม่สนใจเขาสิ เย็นนี้ก็ไม่ต้องไปกินข้าวกับเขาห่างกับเขาสักพัก”
“ฉันทำแบบนั้นไม่ได้”
“ถ้าแกไม่ทำแบบนั้นจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าเวลาที่ไม่เจอกันเขาคิดถึงแกหรือเปล่า”
“แต่ฉันต้องคิดถึงเขามากแน่ๆ ตั้งแต่ย้ายมาอยู่คอนโดเดียวกันฉันกับเขาก็เจอกันแทบทุกวันเรากินข้าวเย็นด้วยกันตลอดนะ”
“ก็ลองหายไปจากชีวิตเขาสิจะได้รู้ว่าที่ผ่านมาเขารู้สึกอะไรกับแกบ้างหรือเปล่า บางทีเขาอาจจะเห็นแกเป็นแค่เพื่อนบ้านเห็นเป็นแค่นักศึกษาไม่ได้มองเป็นคนรักหรือเป็นแฟน แต่ถ้าหากเราหายไปจากชีวิตเขา เขาก็อาจจะรู้หัวใจตัวเองนะ” เจนิตาเสนอความคิด
“แล้วถ้าเกิดฉันเงียบไป เขาก็เงียบไปล่ะฉันว่าแผนนี้ไม่น่าจะได้ผล”
“แล้วแกคิดว่าจะทำยังไงเปียโน ฉันสองคนไม่มีประสบการณ์จีบผู้ชายด้วยสิแนะนำแกได้ก็แค่นี้ แหละส่วนใหญ่ก็จะมาจากซีรีส์”
“สำหรับฉันนะฉันคิดว่าตื๊อเท่านั้นแหละที่จะครองโลก”
“เฮ้ย....สุภาษิตนั้นมันโบราณมากเลยนะ” ณัฐมลหัวเราะ
“แต่ฉันคิดว่ามันได้ผลนะ เขายังไม่ชอบฉัน ฉันก็เอาตัวเข้าไปใกล้ชิดเขาเรื่อยๆ สักวันอาจารย์ไนท์ก็คงจะใจอ่อน”
“แต่แกเหลือเวลาอีกนิดเดียวนะเปียโน” เจนิตาเตือน
“ก็เพราะฉันรู้ว่าเหลือเวลาอีกนิดเดียว ฉันก็เลยสารภาพความรู้สึกออกไป จากนี้ฉันจะรุกให้หนักขึ้น ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าอาจารย์ไนท์เขาจะใจแข็งและเย็นชากับฉันได้นานแค่ไหน” สุพิชฌาย์พูดอย่างมุ่งมั่น
“แต่แกอย่าพึ่งเก็บเรื่องอาจารย์มาคิดให้ปวดหัวนะ เดือนหน้าพวกเราต้องสอบปลายภาคและก็จะจบปีสี่ ฉันว่าแกพักเรื่องอาจารย์ไนท์ไปก่อนดีไหมเปียโน” เจนิตาพูดด้วยความเป็นห่วงเพราะกลัวว่าเพื่อนจะคิดเรื่องนี้จนไม่สนใจการเรียน
“ฉันหยุดคิดเรื่องเขาไม่ได้หรอก ฉันวางแผนไว้แล้วว่าช่วงอ่านหนังสือสอบฉันจะไปอ่านหนังสือในห้องของเขา”
“ไปอ่านหนังสือในห้องอาจารย์ไนท์แล้วแกจะมีสมาธิเหรอ” ณัฐมลถามอย่างแปลกใจ
“มีสิอ่านหนังสือไปด้วยมองหน้าอาจารย์ไปด้วยเป็นกำลังใจอย่างดีเลยนะแก อีกอย่างเวลาฉันไม่เข้าใจตรงไหนอาจารย์ไนท์ก็ช่วยอธิบายให้ฉันฟังได้ มันดีมากๆ เลยนะ ฉันไม่ทำให้เรื่องความรักทำให้เสียการเรียนหรอกนะ” เธอพูดแล้วยิ้มเมื่อนึกถึงวันที่ตัวเองไปนอนอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาในห้องทำงานของอาจารย์หนุ่ม
ปณัยกรวางสายจากสุพิชฌาย์แล้วก็รีบตรงไปยังผับที่หญิงสาวบอก เขารู้สึกเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเมาและกลับไปพร้อมกับรุ่นพี่ ตอนนี้ชายหนุ่มยอมรับแล้วว่าความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวนั้นไม่ใช่แค่เพื่อนบ้านหรือลูกศิษย์อย่างที่พยายามจะคิดแบบนั้นมาตลอด และเขาไม่สนใจแล้วว่าเธอจะเป็นลูกสาวของใคร เขาจะยอมทำตามหัวใจตัวเองสักครั้งจะทำทุกอย่างให้เต็มที่แล้วยอมรับผลที่จะตามมาอย่างไม่มีข้อแม้ชายหนุ่มเดินเข้ามาในผับและกวาดสายตาไปทั่วเมื่อเห็นสุพิชฌาย์กำลังยืนเต้นอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งด้วยท่าทางสนิทสนมก็รีบตรงเข้าไปหาทันที“อาจารย์....” สุพิชฌาย์ทั้งดีใจและตกใจที่เห็นเขามาที่นี่“กลับเถอะเปียโน”“แต่หนูยังสนุกอยู่เลยนะคะ หนูยังไม่อยากกลับ”“แต่ผมบอกให้กลับก็ต้องกลับ”“นี่คุณ ผู้หญิงเขาไม่อยากกลับจะมาบังคับกันได้ยังไงแล้วคุณเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาบังคับเปียโนแบบนี้” เพื่อนชายของสุพิชฌาย์พูดไปตามบทที่หญิงสาวเตี๊ยมเอาไว้“ผมเป็นแฟนเธอ คงจะพอบังคับได้นะ” ปณัยกรตอบกลับก่อนจะจูงมือสุพิชฌาย์ออกไปจากผับ“อาจารย์ปล่อยหนูได้แล้ว” หญิงสาวสะบัดมือออกเมื่อเดินมาถึงด้านหน้าผับ“ปล่อยเพื่อให้กลับเข้าไปเต้นยั่วผู้ชายข้างในอีกน่ะ
เช้าวันใหม่สุพิชฌาย์ยังไม่ยอมลุกจากที่นอนทั้งที่ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่งแล้ว หญิงสาวอยากรู้ว่าถ้าปณัยกรเห็นว่าเธอยังนอนอยู่บนเตียงของเขาแล้วชายหนุ่มจะทำหน้ายังไงเธอยิ้มเมื่อนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน การที่เขาจูบเธอแบบนั้นมันก็แน่ชัดแล้วว่าเขาต้องมีใจให้กับเธออย่างแน่นอนแต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงไม่ยอมตอบตกลง หญิงสาวคิดว่าวันนี้จะเธอต้องคุยกับปณัยกรเรื่องนี้ให้รู้เรื่องเพราะไม่อยากจะอยู่กับความอึดอัดนี้ได้อีกต่อไปขณะที่กำลังนอนคิดอยู่บนเตียงเสียงเคาะประตูห้องนอนก็ดังขึ้น“เปียโน คุณตื่นหรือยังผมขอเข้าไปนะ วันนี้ผมต้องไปทำงาน” ปณัยกรตื่นนอนตั้งแต่เช้าแต่รอให้สุพิชฌาย์ออกมาก่อนแต่แล้วก็ทนรอไม่ไหวเพราะถ้าช้ากว่านี้เขาคงต้องไปทำงานสายอย่างแน่นอน“ตื่นแล้วค่ะ อาจารย์เข้ามาได้เลย” หญิงสาวตะโกนตอบแต่ยังไม่ยอมลุกจากเตียง“สายแล้วนะเปียโน” ชายหนุ่มมองคนที่ยังนอนอยู่บนเตียงแล้วพูดขึ้น“หนูไม่ต้องไปเรียนแล้วนี่คะหนูสอบเสร็จแล้ว”“งั้นก็กลับห้องได้แล้ว ผมจะอาบน้ำแต่งตัว”“หนูก็ไม่ได้ห้ามอาจารย์สักหน่อย อาจารย์อายเหรอคะ”“ผมเป็นผู้ชายจะอายทำไม คุณมากกว่ามั้งที่ต้องอาย”“หนูไม่อายหรอกค่ะ
เสียงดนตรีในผับดังเป็นจังหวะเร้าใจ สุพิชฌาย์กับเพื่อนๆ สนุกสนานกันอย่างสุดเหวี่ยง หญิงสาวดื่มไปหลายแก้วแต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอเมาเพราะที่ผ่านมาก็เป็นสายปาร์ตี้และดื่มจนชินแล้ว“แกจะไม่กลับไปนอนหอฉันจริงๆ เหรอรถแกก็อยู่ที่นั่นนะ”“ฝากไว้ที่นั่นก่อน พรุ่งนี้ฉันค่อยกลับไปเอานะ”“แล้วแกจะไม่ให้ฉันสองคนนั่งรถส่งเหรอกลับคนเดียวมันอันตรายนะยิ่งเมาอยู่ด้วย” เจนิตาพูดด้วยความเป็นห่วง“ฉันเมาที่ไหนล่ะแก”“เปียโนฉันอยากรู้ว่าทำไมถึงอยากกลับคอนโดถ้าเดาไม่ผิดเพราะอยากจะไปหาอาจารย์ไนท์ใช่ไหม”“แกนี่สมกับเป็นเพื่อนรักของฉันจริงๆ นะใบตอง”“แต่แกบอกว่าไม่อยากให้อาจารย์เขาเห็นตอนแกเมานี่”“นั่นสิ หรือแกกำลังคิดจะทำอะไรอยู่”“ฉันมีแผนนิดหน่อยน่ะเจน”“บอกฉันสองคนได้ไหม” ณัฐมลอยากรู้ว่าเพื่อนกำลังจะทำอะไรและถ้ามันเสี่ยงเกินไปเธอจะได้เตือน“ฉันจะไปขอนอนห้องอาจารย์ไนท์”“อย่านะเปียโนแกเมาแบบนี้ถ้าเกิดอาจารย์เขาฉวยโอกาสกับแกขึ้นมาล่ะ” เจนิตารีบร้องห้าม“แต่ฉันว่าอาจารย์ไม่ใช่คนแบบนั้น”“แต่เขาก็เป็นผู้ชายนะแก แล้วดูชุดที่แกใส่วันนี้สิ มันใช่ชุดธรรมดาที่ไหน” ณัฐมลเตือนอีกคนเพราะวันนี้สุพิชฌาย์ใส่นั้นมันเซ็กซี่มาก
สุพิชฌาย์ยังคงมาอ่านหนังสือที่ห้องของปณัยกรทุกวัน มันกลายเป็นความเคยชินอีกอย่างนอกจากการทานอาหารเย็นด้วยกัน การได้นั่งมองหน้าชายหนุ่มและอ่านหนังสือไปด้วยก็เป็นความสุขอีกอย่างของหญิงสาวส่วนปณัยกรเองนั้นการได้มองหน้าสุพิชฌาย์ขณะที่นั่งทำงานไปด้วยมันทำให้กำแพงในใจของชายหนุ่มละลายลงไปอย่างช้าๆ แต่ก็ยังไม่กล้าจะบอกความรู้สึกของตนเองออกไป เพราะมันมีอุปสรรคหลายอย่างเหลือเกินที่เขาไม่รู้ว่าจะสามารถจับมือหญิงสาวก้าวข้ามมันไปได้หรือเปล่า“พรุ่งนี้ก็สอบวันสุดท้ายแล้วใช่ไหมเปียโน”“ใช่ค่ะ”“แล้วที่ผ่านมาคิดว่าตัวเองทำข้อสอบได้ดีหรือเปล่า” เขาชวนคุยเพื่อให้เธอได้พักสายตาบ้าง“หนูคิดว่าหนูทำเต็มที่ทุกวิชานะคะ ส่วนคะแนนจะได้มากจะได้น้อยมันเป็นเรื่องของอาจารย์ที่จะต้องจัดการเองค่ะ” หญิงสาวหัวเราเพราะมั่นใจในระดับหนึ่งว่าตนเองทำข้อสอบได้“ปกติแล้วผลการเรียนคุณเป็นยังไงบ้าง”“ที่ผ่านมาก็ได้ประมาณสามกว่าๆ ค่ะ หนูหัวขี้เลื่อยมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ ไม่เคยหวังเรื่องเกียรตินิยมเลย” สุพิชฌาย์ตอบแบบไม่เครียด“ทำไมไปว่าตัวเองแบบนั้นล่ะ เกรดเฉลี่ยมันไม่ได้วัดนะว่าเราเก่งหรือเปล่ามันอยู่ที่การนำเอาความรู้นั้นมาใช
หลังจากทานข้าวกับเพื่อนอาจารย์ในคณะเสร็จแล้วปณัยกรก็ขับรถกลับคอนโดมิเนียมในเวลาเกือบจะห้าทุ่ม เมื่อมาถึงที่จอดรถก็เห็นไม่เห็นรถของสุพิชฌาย์ ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจเพราะปกติเวลานี้หญิงสาวควรจะกลับมาถึงที่พักแล้ว เขาเดินดูทั้งลานจอดรถเพราะคิดว่าเธอจะเอาไปจอดที่อื่นแต่เดินดูจนทั่วก็ไม่เห็นชายหนุ่มรีบเดินขึ้นมาบนห้องแล้วเคาะประตูห้องตรงข้ามและยืนรออยู่พักใหญ่แต่ก็ไม่มีใครมาเปิดประตูปณัยกรรู้สึกเป็นห่วงเขาจึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรหาเธอทันที แม้รู้ว่าสุพิชฌาย์โตเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง ชายหนุ่มมองว่าเธอเป็นคนน่ารัก สดใส และเข้ากับคนอื่นง่ายและบางครั้งหญิงสาวก็เหมือนเด็กในร่างของผู้ใหญ่คนหนึ่งชายหนุ่มรอไม่นานนักปลายสายก็กดรับพร้อมกับเสียงที่เต็มไปด้วยความสดใสเหมือนกับทุกครั้ง“สวัสดีค่ะอาจารย์”“คุณอยู่ไหนเปียโน ทำไมผมถึงไม่เห็นรถคุณอยู่ที่คอนโดเลย” ปณัยกรถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง“หนูอยู่หอพักเพื่อนค่ะอาจารย์ พอดีว่าอ่านหนังสือสอบกับเพื่อนแต่ก็กำลังจะกลับแล้วค่ะ”“จะกลับตอนนี้เลยเหรอ มันดึกมากแล้วนะขับรถกลับคนเดียวได้หรือเปล่า” เขาเหลือบมองนาฬิกา
สุพิชฌาย์ตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนของปณัยกรในเช้าของวันใหม่หญิงสาวยิ้มอย่างมีความสุขถึง แม้เขาจะไม่ได้นอนกับเธอในห้องนี้แต่ก็เห็นถึงความมีน้ำใจและเขาก็ไม่ได้รังเกียจที่ถึงขั้นไล่กลับให้ไปนอนที่ห้องของตัวเองหญิงสาวค่อยๆ ย่องออกจากห้องของเขาอย่างเบาที่สุดเพื่อกลับมาที่ห้องของตนเอง เธออาบน้ำแต่งตัวและไปเรียนโดยลืมไปว่าแท็ปเล็ต โทรศัพท์มือถือและหนังสือยังอยู่ในห้องของเขาเมื่อมาถึงที่มหาวิทยาลัยและเดินไปหาเพื่อนที่โรงอาหารสุพิชฌาย์เปิดสะพายข้างขึ้นมาแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้หยิบของออกมาจากห้องของอาจารย์ปณัยกรเลยสักอย่าง“เป็นอะไรเปียโนทำไมทำหน้าแบบนั้น”“ฉันลืมโทรศัพท์มือถือ”“อ้าวแล้วแกไปลืมทิ้งไว้ที่ไหน ลืมไว้ในรถหรือเปล่า ไม่เป็นไรจะกินอะไรเอาโทรศัพท์ฉันไปสแกนจ่ายก็ได้” ณัฐมลเสนออย่างใจดี“ฉันลืมไว้ในห้องอาจารย์ไนท์”“อะไรนะเปียโนแกไปลืมโทรศัพท์ไว้ในห้องเขาได้ยังไง ปกติแกเป็นคนติดมือถือจะตาย เกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนเล่าให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้นะ” เจนิตาตกใจเพราะกลัวว่าความสัมพันธ์ของเพื่อนกับอาจารย์หนุ่มจะไปไกลเกินกว่าที่พวกเธอคิดไว้“แกไม่ต้องทำหน้าตกใจแบบนั้นหรอกน่าเจน เมื่อคืนฉันไปอ่านหนัง







