อากาศในเดือนสี่ยังคงอบอุ่น
ในที่สุดงานเลี้ยงวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่าก็เวียนมาถึง อวิ๋นซือเลือกชุดเครื่องประดับตามฐานะ ชุดกระโปรงตัวยาวสีม่วงอ่อนกับเสื้อคลุมสีขาวสะอาดตา ให้ความรู้สึกเป็นกันเองและไม่เป็นทางการจนเกินไป งดงามสง่า ไม่ขาดและก็ไม่เกินแม้แต่น้อย
แขกส่วนใหญ่เริ่มทยอยเดินทางมาถึงแล้ว ในฐานะฮูหยินใหญ่ หญิงสาวจึงต้องคอยยืนต้อนรับ ระหว่างรอฮูหยินผู้เฒ่ากับสามีมาถึง แน่นอนว่าไม่ใช่งานง่ายเลย ไหนจะต้องคอยดูแลเรื่องอาหารการกิน อีกทั้งยังต้องหมั่นดูความเรียบร้อยของบ่าวไพร่ สลับกับต้อนรับแขกเป็นระยะ อวิ๋นซือวิ่งวุ่นจนร่างกายแทบแยกเป็นส่วนเพราะความเหนื่อย
ทว่า… ไร้เงาคนเป็นสามี
อวิ๋นซือรู้ดีว่าอีกฝ่ายยังมาไม่ถึง เพราะยามเดินมาที่เรือนจัดเลี้ยงต้องผ่านเรือนอนุคนใหม่ นางยังเห็นเงาร่างสองสายที่แทบแยกกันไม่ออกอยู่เลย แต่อย่างที่ทุกคนพูดกัน อนุเจียวผู้มาใหม่คนนี้งดงามอ่อนหวานจับใจนัก คงไม่แปลกหากนายท่านหลันจะใช้เวลากับคนงามอย่างอ้อยอิ่งสักเล็กน้อย
และก็เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า ในระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังสำเริงสำราญกับอนุที่โปรดปราน คนที่เหนื่อยสายตัวแทบขาดย่อมต้องเป็นนาง อวิ๋นซือถอนหายใจเบาๆ ใบหน้าแย้มยิ้มตามมารยาทอย่างเป็นธรรมชาติ
อย่างที่เคยคิดไว้เลย ตำแหน่งฮูหยินใหญ่นั้นเป็นงานที่หนักอย่างยิ่ง ต้องคอยดูแลทุกเรื่องราวภายในบ้าน ปรนนิบัติรับใช้สามีและมารดาอีกฝ่าย ไหนจะยังมีหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกให้เหล่าสตรีเรือนหลัง ยิ่งพอมีงานเสริมก็ต้องเหนื่อยเป็นเท่าตัวอย่างยามนี้
จนบางทีนางก็อดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าตัวเองกำลังทำงานที่ได้ค่าตอบแทนไม่สมน้ำสมเนื้ออยู่…
ไม่นานเกินรอฮูหยินผู้เฒ่าก็เดินเข้ามาในงานด้วยการประคองของบุตรชาย เมื่อมาถึงงานใบหน้าชราก็แต้มไปด้วยรอยยิ้ม นางมองแขกส่วนใหญ่ที่เป็นสหายหรือบรรดาญาติห่างๆ แล้วชวนกันเข้าไปนั่งคุย
แม้สกุลหลันจะเป็นสกุลใหญ่ในเมืองหลวง ทว่านายผู้เฒ่าคนก่อนกลับมีหลันชิงเป็นทายาทเพียงคนเดียว อีกทั้งหลันชิงเองก็ยังไม่มีบุตรอีกด้วย จึงไม่แปลกที่บรรดาเมียใหญ่เมียเล็กจะพยายามแข่งขันกันเอาเป็นเอาตาย อวิ๋นซือคิดพลางถอนใจ เมื่อนึกได้ว่าตนก็เป็นฮูหยินใหญ่ของเขาเช่นกัน
อวิ๋นซือมองฮูหยินผู้เฒ่าทักทายผู้คนที่มาอวยพรพร้อมของขวัญอย่างสงบ เมื่อเห็นว่าได้เวลาอันสมควรแล้วจึงเอ่ยถามเพื่อขอความเห็น
“ท่านแม่ อีกเดี๋ยวงานจะเริ่มแล้ว ให้เรียกพวกอนุมาอวยพรก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ เสร็จแล้วจะได้เริ่มงานเลี้ยงต่อ”
เพราะอนุเป็นเพียงเมียที่ไร้ศักดิ์จึงมิเหมาะที่จะอยู่ร่วมงาน อีกทั้งอนุของสามีนางก็เยอะแยะมากมายเกินจะให้พวกนางอยู่ได้ทุกคน จึงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงจัดให้พวกนางมาโขกศีรษะก่อนจะแยกย้ายกลับเรือนของตนเอง
เหล่าขบวนอนุเข้าอวยพรและมอบของขวัญตามลำดับก่อนหลังที่มา ก่อนจะตามด้วยฮูหยินรองทั้งสี่ จนมาถึงนางผู้เป็นฮูหยินใหญ่ อนุเจียวที่มาใหม่มีกิริยาท่าทางสมเป็นสาวน้อยผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง นางเป็นเพียงไม่กี่คนที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ร่วมงานได้
ครั้นเห็นว่าถึงคราวอวิ๋นซือต้องมอบของขวัญให้บ้างแล้ว นางก็พลันเอี้ยวหน้ามาทางอวิ๋นซือพร้อมส่งเสียงร้องอ๊ะขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะก้มหน้าหลุบตาลงอย่างขวยเขินที่ตนเองเสียมารยาท บุรุษในงานไม่เว้นแม้แต่หลันชิงต่างก็มองอาการหน้าแดงนั้นด้วยความเอ็นดู จากนั้นจึงพากันหันมาจับจ้องอวิ๋นซืออย่างสนใจใคร่รู้
หญิงสาวอมยิ้มน้อยๆ มือรับกล่องไม้สลักลายประณีตจากสาวใช้ ก้าวออกมาด้านหน้าฮูหยินชราแล้วยื่นส่งให้ ท่ามกลางสายตาสงสัยใคร่รู้ของผู้คนที่อยู่ในงาน
ของขวัญที่ขนาดสาวน้อยผู้หนึ่งยังตกใจคงจะเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดา
อวิ๋นซือยังคงมีรอยยิ้มยามฮูหยินผู้เฒ่ารับของขวัญไปเปิด เจียวที่มีความหมายว่าน่ารักอ่อนหวานงอย่างนั้นหรือ ช่างสมตัวเสียจริงเมื่อได้ยลโฉมความงามนั้น หญิงสาวไม่นึกประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย หากสามีของตนจะพึงพอใจอีกฝ่าย
แต่ถ้าบอกว่าอ่อนหวานคงเป็นความอ่อนหวานที่เคลือบแฝงด้วยยาพิษเสียมากกว่า เพราะกิริยาที่จงใจแสดงให้ผู้คนสนใจของขวัญนางเมื่อครู่ บ่งบอกได้ว่าอีกฝ่ายคงรู้ดีอยู่แล้ว เรื่องที่สองอนุตบตีกันจนรูปสลักเทพธิดาเสียหาย
อวิ๋นซือคิดว่าอีกฝ่ายคงคาดการณ์ไว้แล้วว่า เวลาน้อยเช่นนี้นางย่อมไม่มีเวลาหาของขวัญดีๆ ได้ จึงพยายามแสดงท่าทางให้คนอื่นสนใจเมื่อครู่ ในฐานะฮูหยินใหญ่ของคฤหาสน์ หากนางมอบของขวัญที่ไม่สมฐานะ สายตาผู้คนก็จะเปลี่ยนไปและดูถูก แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ต้องมีโทสะที่เสียหน้าต่อแขกเหรื่อในงาน
เห็นอายุยังน้อย ด้วยวัยเพียงสิบห้าหนาวเท่านี้ก็คิดเป็นแล้วหรือ ที่แท้ก็ไม่ได้ใสซื่ออย่างที่แสดงออก อวิ๋นซือคิดพลางส่งรอยยิ้มหวานที่ถูกฝึกมาอย่างดีกลับไป เมื่ออีกฝ่ายส่งยิ้มหยีตามาให้
อวิ๋นซือนับถือคนเก่งเสมอ โดยเฉพาะคนเก่งที่ฉลาดคิด!
ทุกสายตามองรูปสลักพระโพธิสัตว์ในมือฮูหยินผู้เฒ่าด้วยแววตาประหลาดใจ นั่นหรือคือของขวัญจากฮูหยินใหญ่สกุลหลัน จะบอกว่าธรรมดาก็ไม่ใช่ หากดูจากขนาด ไม้จันทน์หอมที่ใช้สลักต้องมีอายุหลายร้อยปีเป็นแน่
ทว่าจะบอกว่าล้ำค่าก็เป็นคำพูดที่ออกจะเกินไป เพราะแม้จะเป็นของหายาก แต่ใช่ว่าจะหาไม่ได้นี่นา หลายคนมองมาแล้วซุบซิบกัน ฮูหยินผู้เฒ่าให้อึดอัดใจเล็กน้อย
นางรู้เรื่องที่สองอนุทำให้ของขวัญสะใภ้เอกเสียหายแล้ว แต่การจะนำมาพูดตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าอับอายจนเกินไป จึงต้องแสร้งนิ่งเงียบเพื่อรักษาหน้าตาสกุลไว้ ด้วยการปล่อยให้ผู้คนหันไปตำหนิอวิ๋นซือแทน
หญิงสาวยังคงแย้มยิ้มเช่นเคย นางมิใช่ไม่รู้ เรื่องที่แม่สามีคิดใช้ตัวเองเป็นเครื่องมือรักษาหน้าตาของสกุล อย่างไรเสียหากเทียบระหว่างการให้ผู้คนตำหนิสะใภ้คนหนึ่งที่ไร้หัวคิด ก็ยังขายหน้าน้อยกว่าให้ผู้อื่นรู้ว่าในตระกูลมีเรื่องน่าขัน ที่แค่อนุสองคนยังกำราบไม่ได้ ถึงขนาดปล่อยให้ทำลายของขวัญวันเกิดมารดาประมุข
อวิ๋นซือหาได้โกรธเคืองอีกฝ่ายไม่ แม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะเอ็นดูตนเพียงใด แต่ถ้าให้เลือกระหว่างนางกับบุตรชายและหน้าตาของตระกูล เกรงว่าคงไม่ผิดถ้าแม่สามีจะเลือกอย่างหลัง
ดวงตาสีนิลเหลือบมองไปทางร่างสูงของผู้เป็นสามีเล็กน้อย นางไม่ได้วาดหวังว่าเขาต้องออกหน้าช่วยเหลือ เพียงแค่เกิดความสงสัยในใจขึ้นมาว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทางหรือแสดงออกอย่างไร
เพราะถ้าพูดกันตามความเป็นจริงแล้ว ต้นเหตุมาจากเขาที่จงใจใช้นางเป็นโล่เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของบรรดาเมียอื่น ไม่ให้มารุมทึ้งเนื้อแม่กวางสาววัยขบเผาะผู้นั้นแท้ๆ
ทว่าสิ่งที่เห็นมีเพียงรอยยิ้มอบอุ่นที่ฉายอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาเสมอ แม้จะเพียงเสี้ยวเวลา อวิ๋นซือก็มองทันว่าสายตาของเขาอยู่ที่ใด ยิ่งมองใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มของอนุเจียวที่แดงก่ำทั้งยังก้มลงอย่างขวยเขิน ก็พลันแน่ใจว่าอีกฝ่ายหาได้สนใจจะช่วยนางไม่
อวิ๋นซือนั้นร่ำเรียนอ่านเขียนมาตั้งแต่เด็ก ย่อมรู้จักบทกวีกาพย์กลอนจนทะลุปรุโปร่ง รู้จักคำนิยามของบุรุษที่ดีเป็นอย่างดี ผู้คนมักขนานนามชายหนุ่มผู้กล้าหาญและซื่อตรงด้วยคำว่า ‘วีรบุรุษ’
ทว่านางสามารถนิยามสามีตนเองได้เพียงสองคำเท่านั้น นั่นคือ... ‘สวะ!’
ยามเหม่ามาเยือน รอบด้านเริ่มสว่างรำไร แว่วเสียงสกุณาขับขาน แสงสีส้มสาดส่องตรงขอบฟ้า ไล่สีสว่างขึ้นเรื่อยๆร่างสูงในอาภรณ์สีดำตัวยาวก้าวผ่านสวนดอกไม้ละลานตา ขาเรียวเหยียบย่างก้าวสู่ด้านในตัวเรือน สายตามองตรงไปยังประตูห้องนอนเขม็งที่หน้าห้องมีร่างสาวใช้คนสนิทของอวิ๋นหานอยู่สองคน พวกนางมองบุรุษผู้มาพร้อมกลิ่นอายเย็นชาด้วยสายตาตื่นตระหนก แต่ยังคงพยายามทำหน้าที่ขัดขวางอีกฝ่ายไว้“หลีกไป! ข้ามีธุระต้องคุยกับคนข้างใน ไม่มีเวลามาวุ่นวายกับพวกเจ้าหรอก” ฉิงเหวินฟู่เอ่ยขณะที่ดวงตาฉายความหงุดหงิด เขาไม่ใช่คนรักหยกถนอมบุปผาก็จริง แต่การจะให้ทำร้ายสตรีนั้นหาใช่นิสัยไม่ เพราะเหตุการณ์ที่เรือนรับรองของอวิ๋นซือเมื่อครู่พาให้อารมณ์ขุ่นมัวมิใช่น้อย การแสดงออกในยามนี้จึงดุดันและแฝงแววข่มขวัญยิ่งจงเหมยกับจงหมิงมองหน้ากัน ดวงตามีแววตกใจพาดผ่าน ไฉนคุณชายฉิงผู้นี้จึงพูดเหมือนรู้ว่านายท่านหลันอยู่ด้านในกันเล่า“คุณชายโปรดรั้งเท้า คุณหนูของพวกเรากำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง ชายหญิงมิอาจใกล้ชิดจนเกินงาม ขอท่านโปรดให้เกียรติด้วย”เป็นจงเหมยที่เอ่ยปากขึ้น นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทราบอะไรมา แต่ถ้าใครรู้ว่าคุณหนูร่วมห้องกับ
หมับ!มือแกร่งของใครบางคนยื่นมาคว้าคอเสื้อผู้ที่อยู่ข้างบน พลางออกแรงดึงรั้งคุณชายรองสกุลซูให้ออกห่างจากร่างด้านล่าง ดวงตาผู้มาใหม่ทอประกายวาวโรจน์ สีหน้าของเขาดำคล้ำทั้งยังแผ่กลิ่นอายเกรี้ยวกราดอวิ๋นซือไม่สนใจมองผู้มาใหม่ เมื่อเห็นซูเจี่ยนถูกหิ้วห่างออกไป ปิ่นที่ถืออยู่ในมือพลันพุ่งเข้าใส่เบ้าตาซ้ายของเขาทันทีที่มีโอกาสคนผู้นี้บีบคั้นนางจนเกือบต้องปลิดชีวิตตนเอง ไม่เอาคืนอีกฝ่ายในยามนี้จะไปทำยามไหน“อ๊าก!!!”เสียงร้องของคุณชายซูดังลั่นเรือนรับรอง เลือดแดงฉานทะลักไหลราวกับเป็นน้ำตาสีโลหิต แม้อวิ๋นซือจะเป็นคนลงมือเอง แต่ก็ยังมีใบหน้าซีดขาวด้วยความตกใจ เพราะแต่เดิมนางหาได้เคยทำอะไรแบบนี้ไม่อย่าว่าแต่อวิ๋นซือจะตกใจเลย ร่างสูงในอาภรณ์สีดำที่อยู่ตรงนั้นก็ตะลึงเช่นกัน เมื่อเห็นการลงมือที่เฉียบขาดของสตรีตรงหน้าชายหนุ่มเหวี่ยงคนในมือลงบนพื้นทันควัน จากนั้นจึงก้มลงหยิบผ้าห่มผืนใหญ่ที่ตกอยู่ข้างเตียงขึ้นมาคลุมศีรษะอีกคนจนมิด ก่อนจะลากร่างที่กรีดร้องอยู่ข้างเตียงมาจัดการใกล้ๆ หน้าประตูเสียงหมัดเสียงเท้าดังกระทบเนื้อ อวิ๋นซือยังคงนั่งนิ่งตัวสั่นอยู่ใต้ผืนผ้า นางมองความมืดที่แสงสว่างเข้าไม่ถึ
หลังกลับจากงานเลี้ยง อวิ๋นซือที่รู้สึกล้าจนไม่อยากทำอะไรก็ปล่อยให้สาวใช้ทั้งสองปรนนิบัติตัวเองเพื่อเปลี่ยนชุดเข้านอนนางมองด้านนอกที่ยังมืดสนิทพลางกล่าวไล่คนสนิทไปพักผ่อน เสี่ยวอิงกับเสี่ยวหยวนยามแรกยังดื้อดึงที่จะเฝ้าหน้าห้อง แต่พอคิดถึงว่าอีกเดี๋ยวนายท่านคงจะกลับมา จึงยอมพากันจากไปพักผ่อนอวิ๋นซืออมยิ้มบางๆ นางฟังเสี่ยวอิงเอ่ยกำชับด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงแล้วให้ขบขัน เด็กสาวเมื่อวันวานกลายเป็นยายแก่ขี้บ่นในวันนี้เสียแล้ว กาลเวลาช่างเปลี่ยนผู้คนเสียจริง ร่างบางคว้าเสื้อคลุมมาสวมตามคำเตือน รอจนอีกฝ่ายปิดประตูเรียบร้อยจึงได้ก้าวมาหยุดยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง แววตาสีนิลเข้มขึ้นจนลึกล้ำเสียงไก่ขันแว่วมาตามสายลม บอกเวลาแทนคนเคาะโมงยามได้ดี อวิ๋นซือเลิกรอคอยใครบางคนแล้วหันกลับไปขึ้นเตียงบอกแล้วอย่างไรเล่าว่ากำแพงที่ฐานไม่ดี ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องพังทลาย...แสงไฟจากในห้องดับลงไปแล้วพร้อมกับอวิ๋นซือที่เริ่มง่วงงุน นางปรือตามองข้างกายที่ว่างเปล่า มือเล็กขยับลูบบนผืนผ้าที่เย็นเฉียบ ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยให้ความง่วงงุนเข้าครอบงำผ่านไปเนิ่นนานขอบฟ้าเริ่มสว่างไม่ดำสนิท ร่างสูงของบุรุษผู้หนึ่งพลันปรากฏกายขึ
ฉิงเหวินฟู่มองใบหน้าเล็กที่ยามนี้แดงก่ำอย่างเฉยชา เห็นซูลี่หลินมีท่าทีอับอาย นางเกาะกุมแขนญาติผู้พี่ไว้แน่น ดวงตาคู่สวยคลอน้ำใสเต็มหน่วยตา ท่าทางกิริยาล้วนน่าถนอม ผู้คนในงานล้วนให้ความเห็นใจ พวกเขามาร่วมงานฉลองครั้งนี้ ก็เพราะสกุลตระกูลซูปล่อยข่าวออกไปเรื่องการหมั้นหมายของคุณหนูซูกับคุณชายตระกูลสกุลฉิงแทนที่จะได้เห็นภาพยินดีของงานมงคล กลับได้เห็นบุรุษอกสามศอกกลั่นแกล้งสาวน้อยผู้น่าสงสารแทนเสียนี่ฉิงเหวินฟู่ยังคงนั่งเฉย ไม่เอ่ยปากหรือไม่พูดคุยกับผู้ใด วางตนอยู่เหนือเรื่องราวทั้งมวล เขาเคยสัญญาหรือว่าจะตบแต่งอีกฝ่าย ที่ยินยอมมาก็เพื่อเผื่อว่าจะทำให้ตาแก่ที่คฤหาสน์พอใจได้บ้างทว่าปู่ของเขาหาใช่คนแก่แก่ธรรมดาเหมือนใครที่ไหน แค่เห็นท่าทีเสแสร้งแกล้งทำนั่นก็ ขี้คร้านจะไล่ฟาดหลังตนแทบไม่ทันน่ะสิแต่งภรรยาทั้งทีใครจะอยากได้สตรีที่ตีสองหน้าทั้งวี่ทั้งวันกัน เขาฉิงเหวินฟู่ไม่ใช่นายโรงละครงิ้ว จะได้ชื่นชอบดูการแสดงตลอดเวลา อีกทั้งต่อให้เป็นก็ไม่เอาคนที่ด้อยฝีมือด้อยจนเห็นได้ชัดอย่างนี้แน่นอนอวิ๋นซือมองซูลี่หลินที่มีท่าทีเสียใจจนหลันชิงต้องประคองออกไปพลางส่ายศีรษะหัว คุณชายฉิงผู้นี้ช่างไม่รักห
ฮูหยินใหญ่ของพวกนางเปลี่ยนไป!เสี่ยวอิงกับเสี่ยวหยวนบอกตัวเองซ้ำๆ พวกนางพากันมองภาพคนงามออดอ้อนพลางเย้าหยอกบุรุษข้างกายด้วยกิริยาอ่อนหวาน ถึงขนาดดวงตาแข็งค้าง นั่นคือเจ้านายของพวกนางจริงหรือ ไม่ใช่ผู้อื่นปลอมตัวมาแน่นะอวิ๋นซือไม่รับรู้ถึงความในใจของคนสนิท นางทำเพียงยิ้มหวานจนถึงดวงตา ปล่อยให้สามีโอบประคองร่างตนเองไว้ในวงแขน พลางหลับตาพริ้มเมื่อริมฝีปากอุ่นร้อนประทับลงตรงหว่างคิ้ว“อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดของเจ้าแล้วนี่”เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นข้างหูชวนให้วาบหวาม นางทำเพียงพยักหน้ารับพร้อมด้วยท่าทีเอียงอาย ผู้เป็นสามีมองกิริยาเก้อเขินด้วยความเอ็นดู พลางตัดใจไม่แกล้งภรรยาของตนต่อ“ใช่เจ้าค่ะ ต้นเดือนสิบก็จะถึงวันครบรอบสิบเจ็ดปีของน้อง” ร่างบางตอบเสียงหวาน ทุกการกระทำล้วนสื่อถึงความรักใคร่ผู้ชายของตนอาอิ้นที่ยืนรอรับใช้อยู่ด้านนอกเห็นแล้วยังอดยิ้มตามไม่ได้ มาลั่วหยางคราวนี้ถือว่าไม่เสียเที่ยวจริงๆ ในที่สุดนายท่านกับฮูหยินใหญ่ก็เข้าใจกันได้เสียที“อือ... ปีก่อนไม่ได้เตรียมตัว มอบให้เจ้าเพียงของขวัญทั่วไป ปีนี้ฮูหยินอยากได้สิ่งใด สามีจะไปหามามอบให้เจ้า แม้ดวงเดือนหรือดวงดาวพี่ก็คว้ามาให้เจ้า
ดรุณีน้อยนางนั้นสวมอาภรณ์สีชมพู กิริยาน่ารักสดใส ใบหน้างดงาม มีเค้าคล้ายอวิ๋นซือไม่น้อย เจ้าตัวพูดคุยกับหลันชิงด้วยท่าทางสนิทสนมพอเสี่ยวอิงเห็นก็พลันตกใจจนต้องเอ่ยขึ้น “เอ๊ะ! นั่นคุณหนูรองนี่เจ้าคะ นางมาลั่วหยางได้อย่างไร”อวิ๋นซือมองอยู่ไม่นานก็รั้งสายตากลับ ผละมานั่งให้เสี่ยวหยวนจัดการผมที่เปียกชื้นของตัวเอง มุมปากยังคงอมยิ้มตามความเคยชินทำไมจะมาไม่ได้เล่า ฮูหยินสามหลิงจีแห่งจวนเสนาบดีกรมคลังกับซูฮูหยินเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน พวกนางสนิทสนมกันมาแต่ไหนแต่ไร ไม่แปลกหากอวิ๋นหานจะใช้โอกาสนี้มาร่วมงานเพื่อจะได้พบหน้าบุรุษที่นางใฝ่หาครั้นเห็นสามียังคงมีสีหน้าอ่อนโยนนุ่มนวลกับรอยยิ้มหวานของผู้เป็นน้องสาวร่วมบิดา อวิ๋นซือก็อดยิ้มบ้างไม่ได้ จริงอยู่ที่หลันชิงไม่ใช่ขุนนางมีอำนาจ แต่เขาคือพ่อค้าที่มีเงิน และบิดาของนางก็คือคนที่ต้องการมันมากที่สุดเกือบสองปีที่ผ่านมา หลันชิงเสียเงินส่วนนี้ให้ท่านพ่อของนางไปไม่น้อย จวนเสนาบดีกรมคลังไม่ต่างจากเปลือกหอยที่ข้างนอกคงอยู่ดี แต่ข้างในนั้นกลวงโบ๋ เพราะความมือใหญ่ใจเติบของบิดา เกรงว่าอีกฝ่ายคงเริ่มไม่ไว้ใจนาง และคงกังวลว่าขุมทรัพย์เยี่ยงหลันชิงจะหลุดมือ