เสียงกีบเท้าม้าห้อตะบึงมายังหน้าโรงหมอ บุรุษร่างสูงกระโจนลงจากหลังม้าด้วยความเร่งร้อน
“ซื่อจื่อ” ผู้ช่วยหมอหลี่ค้อมศีรษะเล็กน้อย
ผู้มาเยือนคือซื่อจื่อแห่งเมืองอันเจียง นามว่า ‘ซวี่ฟางจิ้น’ และเขาเป็นคนช่วยเหลือจางหลินจูเอาไว้
“ท่านหมอหลี่เล่า”
“ท่านหมอออกไปแล้วขอรับ”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง “ไปแล้ว ข้าบอกให้รอข้าก่อนไม่ใช่หรือ แล้วนาง…” ซวี่ฟางจิ้นแอบลังเลเมื่อกล่าวถึงเด็กสาวที่ตนเพิ่งพบเจอไม่กี่ชั่วยาม
ผู้ช่วยหมอหลี่ลุ้นจนตัวโก่งก็ยิ้มแหยออกมา เขายกมือเกาศีรษะเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ท่านหมอออกไปกับแม่นางน้อยที่ท่านพามาขอรับ แต่ข้าน้อยก็ไม่ทราบว่าไปที่ใดกัน เพราะท่านหมอไม่ได้บอกไว้”
ดูเหมือนเขากำลังสวนทางกับอีกฝ่ายเข้าเสียแล้ว เหตุใดจึงรู้สึกเสียดายพิกล กระทั่งองครักษ์ตามมาถึง
“นายน้อย ได้เวลาแล้วนะขอรับ”
ใบหน้าของซวี่ฟางจิ้นดูผิดหวังเสียจนองครักษ์อย่างจินฝานงงงวย เวลานับสิบเจ็ดปีเขาแทบไม่เคยเห็นนายน้อยแ
เสียงกีบเท้าม้าห้อตะบึงมายังหน้าโรงหมอ บุรุษร่างสูงกระโจนลงจากหลังม้าด้วยความเร่งร้อน“ซื่อจื่อ” ผู้ช่วยหมอหลี่ค้อมศีรษะเล็กน้อยผู้มาเยือนคือซื่อจื่อแห่งเมืองอันเจียง นามว่า ‘ซวี่ฟางจิ้น’ และเขาเป็นคนช่วยเหลือจางหลินจูเอาไว้“ท่านหมอหลี่เล่า”“ท่านหมอออกไปแล้วขอรับ”คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง “ไปแล้ว ข้าบอกให้รอข้าก่อนไม่ใช่หรือ แล้วนาง…” ซวี่ฟางจิ้นแอบลังเลเมื่อกล่าวถึงเด็กสาวที่ตนเพิ่งพบเจอไม่กี่ชั่วยามผู้ช่วยหมอหลี่ลุ้นจนตัวโก่งก็ยิ้มแหยออกมา เขายกมือเกาศีรษะเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ท่านหมอออกไปกับแม่นางน้อยที่ท่านพามาขอรับ แต่ข้าน้อยก็ไม่ทราบว่าไปที่ใดกัน เพราะท่านหมอไม่ได้บอกไว้”ดูเหมือนเขากำลังสวนทางกับอีกฝ่ายเข้าเสียแล้วเหตุใดจึงรู้สึกเสียดายพิกล กระทั่งองครักษ์ตามมาถึง“นายน้อย ได้เวลาแล้วนะขอรับ”ใบหน้าของซวี่ฟางจิ้นดูผิดหวังเสียจนองครักษ์อย่างจินฝานงงงวย เวลานับสิบเจ็ดปีเขาแทบไม่เคยเห็นนายน้อยแ
ร่างระหงนอนทอดยาวไร้สติอยู่บนฟูกนอนขาวสะอาดด้านในโรงหมอ เมื่อผู้เป็นหมอเห็นใบหน้าผู้ป่วยกระจะตาก็อุทานขึ้น“เอ๊ะ นังหนูนี่ หน้าคุ้น ๆ”เด็กหนุ่มจึงเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย “ท่านรู้จักนางหรือ”หมอวัยกลางคนพิเคราะห์องคาพยพจางหลินจูครู่หนึ่ง ไม่นานก็นึกออก “อ่า…เป็นนางนี่เองซื่อจื่อแม่นางน้อยคนนี้ข้าเคยรักษาให้ไม่กี่วันก่อนขอรับ”คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง “เช่นนั้นท่านคงทราบว่านางเป็นใคร”ท่านหมอถอนหายใจยาว จากนั้นเหลือบมองจางหลินจูอย่างนึกเวทนา “ข้าน้อยก็ไม่ทราบว่านางคือใคร แต่ดูเหมือนนางจะเป็นคนต่างแคว้นมารดาป่วยกระเสาะกระแสะ น้องชายก็ยังเล็กนัก”“ที่ท่านบอกว่าเคยรักษานาง นางป่วยเป็นอะไรงั้นหรือ”“จากที่มารดานางเล่าให้ฟัง ดูเหมือนนางจะเกิดอุบัติเหตุพลัดตกน้ำขอรับ ร่างกายเลยมีไอหยินมากเกินไป แล้วดูยามนี้ ถูกผู้ใดรังแกมาอีกเล่า”มีคนที่ชีวิตอาภัพได้เพียงนี้ด้วยหรือ “เช่นนั้นท่านก็ช่วยรักษานาง ข้าจะรอจนกว่านางได้สติ”“ขอรับ”ร่างสูงหย่อนกายลงนั่งบริเวณเก้าอี้มุมห้อง สายตายั
จางหลินจูเดินห่างออกมาจากเพิงพักเรื่อย ๆ ภายในใจครุ่นคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่าง ๆ นานา เพราะไม่รู้ว่าต่อจากนี้ควรใช้ชีวิตอย่างไร ดูเหมือนว่าในโลกอีกด้าน ครอบครัวของจางหลินจูคงไม่หลงเหลือใครอีกแล้วเพียงคะนึงถึง ภาพครอบครัวแสนอบอุ่นก็ฉายซ้ำไปมาตอกย้ำความเจ็บปวด กระบอกตาคู่งามร้อนรื้นแดงก่ำ ดวงตากลมโตเริ่มเกิดม่านน้ำตาเสียจนภาพเบื้องหน้าพร่าเบลอ จางหลินจูพยายามกล้ำกลืนก้อนสะอื้นกลางลำคอลงไปด้วยความยากลำบาก จากนั้นก็ยกมือขึ้นซับน้ำตาซึ่งร่วงเผาะลงมาเมื่อใดก็สุดจะรู้คุณพ่อคุณแม่คะ ไม่ต้องห่วงจูเอ๋อร์นะคะ ลูกสัญญาจะใช้ชีวิตนับจากนี้ให้ดี“โอ๊ย!”“เดินไม่ดูตาม้าตาเรือบ้างหรือไง”“ขอโทษเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”จางหลินจูไม่ทันระวัง มุ่งหน้าโดยไร้ทิศด้วยจิตใจเหม่อลอย เป็นเหตุให้ชนกับบุรุษร่างกำยำเข้าโครมใหญ่อีกฝ่ายชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ ทว่าเมื่อเขาสำรวจเรือนร่างและใบหน้าของจางหลินจู ภายในใจก็ผุดความคิดสกปรก น้ำเสียงแข็งกระด้างพลิกกลับเดี๋ยวนั้น“แม
หลายวันผันผ่านจางหลินจูได้รับการดูแลจากสองแม่ลูกอย่างดี จางหลินจูจึงทำใจยอมรับความจริงที่ว่า ตนได้เกิดใหม่ในร่างคุณหนูตระกูลเศรษฐีซึ่งตอนนี้กำลังตกอับและจนตรอกมารดาของจางหลินจูในมิติแห่งนี้ยังมีนามว่า หวงเจิ้นอี๋ ส่วนบิดานามว่าจางเฉินซี ทว่าบิดาของจางหลินจูได้ตรอมใจตายไปเมื่อหลายวันก่อนจางหลินจูร้องไห้จนแทบไม่หลงเหลือน้ำตาให้ไหลอีก จากนั้นความทรงจำและความรู้สึกต่าง ๆ ที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ก็พรั่งพรูเข้ามาดุจทำนบแตก ช่างเป็นการเกิดใหม่ที่อัศจรรย์พันลึกยิ่งนัก ไม่คิดเลยว่าสวรรค์จะเมตตาเพียงเสี้ยวเดียว โดยการส่งจางหลินจูให้เกิดใหม่เพื่อมาดิ้นรนเอาชีวิตรอดในโลกอีกด้านบางทีอาจเพราะชีวิตในโลกใบเดิม จางหลินจูอยู่สุขสบายมากจนเกินไป จางหลินจูจึงเลิกน้อยใจต่อโชคชะตาและคิดเพียงว่าสวรรค์กำลังยื่นบททดสอบมาให้ต่างหาก ปลายทางสุดท้ายอาจเป็นความสุขที่แท้จริงซึ่งกำลังรออยู่ก็ได้ “ท่านแม่เจ้าคะ ข้าหายดีแล้ว แต่ท่านดูจะป่วยหนักกว่าข้าอีกนะเจ้าคะ”จางหลินจูสังเกตอาการป่วยไข้ของหวงเจิ้นอี๋มาสักระยะแล้ว ใบหน้าของมารดาในยามนี้ช่างซูบตอบ กระดูกบริเวณแก้มผุดโผล่เด่นชัด ริมฝีปากแห้งผากขาวซีด หวงเจิ้นอี๋
จางหลินจูหลับไปอีกครั้งเพราะความอ่อนล้า กระทั่งรุ่งอรุณมาเยือนจึงรู้สึกตัว“พี่หญิง ตื่นแล้วหรือขอรับ นี่น้ำขอรับ”จางหลินจูยังไม่หายสับสน แต่ก็ยังเอื้อมมือรับจอกน้ำชาจากมือเล็กคู่นั้น จางหลินจูสำรวจองคาพยพของเด็กชายตรงหน้าพักใหญ่ ผิวพรรณของเขาจิ้มลิ้มน่าเอ็นดู เพียงแต่สภาพดูมอมแมมไปบ้าง สังเกตดี ๆ เด็กคนนี้หน้าคล้ายจางหลินจูสมัยวัยกระเตาะเป็นอย่างมากกระทั่งดื่มน้ำจนไม่รู้สึกกระหายแล้ว จางหลินจูจึงเอ่ยถาม “หนูจ๊ะ คือ…หนูเป็นใครงั้นเหรอ”เด็กชายตัวน้อยเริ่มเบะปากเตรียมร้องไห้ จางหลินจูทำตัวไม่ถูก หันรีหันขวางแล้วจึงส่งยิ้มแหย มือเรียวเอื้อมลูบไหล่เล็กเพื่อปลอบประโลม “ไม่ร้องนะคะ ไม่ร้อง พี่ไม่เป็นไรแล้ว ถ้าเป็นเด็กดีพี่จะซื้อขนมให้กิน ดีไหมครับ”เด็กชายหุบปากฉับเมื่อได้ยินคำว่าขนม พลางกลั้นเสียงสะอื้นจนหน้าแดงแก้มป่อง จางหลินจูลุ้นตามจนตัวงอ ครั้นเจ้าตัวเล็กควบคุมอารมณ์ได้แล้ว จางหลินจูจึงค่อย ๆ ตะล่อมถาม พร้อมยกมือทำท่าสูดลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะให้อีกฝ่ายกำหนดลมหายใจตาม แทนที่จะเป็นจางหลินจูที่ต้องได้รับการปลอบใจ แต่กลับกลายเป็นว่า จางหลินจูดันมีน้องชายให้ต้องคอยดูแลเสียอย่างนั้น แ
ถนนสายหลัก ณ กรุงปักกิ่ง รถหรูคันสีดำเคลื่อนตัวไปตามถนนคอนกรีตทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เวลานี้อยู่ในช่วงเหมันตฤดู บรรยากาศโดยรอบจึงเต็มไปด้วยละอองหิมะสีขาวโพลน เด็กสาววัยสิบห้าฉีกยิ้มกว้างส่งไปจนถึงดวงตาคล้ายพระจันทร์เสี้ยว "คุณพ่อ คุณแม่คะ วันนี้จูเอ๋อร์มีความสุขที่สุดเลย" เด็กสาวโผเข้ากอดมารดาแนบอก ผู้เป็นมารดาแย้มยิ้มอบอุ่น มือเรียวลูบไล้เส้นผมสีดำขลับด้วยความทะนุถนอม ส่วนบิดาโน้มกอดหญิงสาวที่ตนรักสุดหัวใจทั้งสองไว้ในอ้อมแขนพร้อมใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข"จูเอ๋อร์ ไม่อยากเที่ยวต่อจริงเหรอลูก วันนี้จูเอ๋อร์อยากไปไหนพ่อจะพาไปทุกที่" "นั่นสิ ลูกเรียนมาหนักพอแล้ว วันเกิดทั้งที พ่อและแม่อยากให้หนูได้พักผ่อนบ้าง" ผู้เป็นแม่เอ่ยสำทับ เด็กสาวใบหน้าพริ้มเพราคลายอ้อมกอดออกจากมารดา แล้วจึงหันมาโอบรัดบิดาอีกทาง เธอแหงนมองผู้เป็นบิดาด้วยแววตาออดอ้อนระคนซุกซน "คุณพ่อขา...จูเอ๋อร์ไม่อยากไปไหนแล้วจริง ๆ ค่ะ ทุกปีเราก็ไปเที่ยวข้างนอกกันอยู่ตลอด ปีนี้เรากลับไปทานข้าวด้วยกันที่บ้านดีกว่านะคะ บ้านเราอบอุ่นที่สุดแล้วค่ะ" ทั้งพ่อและแม่ได้เห็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนรู้จักคิดรู้จักพูดก็ปลื้มปริ่มจนน้ำตาซ