“เจ้า! นี่เจ้านั่งหลับในขณะที่ข้ากำลังสั่งสอนอยู่หรือ ช่างไร้มารยาทสิ้นดี ก่อนหน้านี้ที่ทำตัวไร้ยางอายคงเป็นเพราะไร้มารดาสั่งสอนใช่หรือไม่ถึงได้กระทำการหยามหน้าข้าเช่นนี้” ซิวฮุ่ยหนิงหรือหลวนฟูเหรินยกมือทาบอก โกรธจนตัวสั่น
“ฟูเหรินใจเย็น ๆ เจ้าค่ะ ใครก็ได้เตรียมยาสงบใจมาที” สาวใช้คนสนิทของหลวนฟูเหรินตะโกนสั่งก่อนจะช่วยพัดวีหวังให้โทสะที่ตีอยู่ในอกเบาบางลง
“จะให้ข้าใจเย็นได้อย่างไร ในเมื่อสตรีผู้นี้บังอาจเหยียดหยามข้าเช่นนี้ ข้าว่าแล้ว สตรีไร้ยางอายที่วางยาตนเองเพื่อครอบครองผู้อื่นจะใช่คนดีได้อย่างไร เป็นเวรกรรมของจิ้นฝานแล้ว เหตุใดบุตรชายข้าถึงได้โชคร้ายเช่นนี้” กล่าวจบก็ตีอกชกหัวตนเองอย่างรู้สึกช้ำใจที่บุตรชายแต่งกับสตรีร้ายกาจเช่นนี้
“ตั้งแต่ต้นจนจบ ข้าเพียงคุกเข่าแล้วเผลอหลับไปเพราะท่านเอ่ยวาจาเหยียดหยามข้ายืดยาว ก็กลายเป็นสตรีไร้มารยาทเพราะไม่มีมารดาสั่งสอนไปแล้ว ช่างเป็นเรื่องน่าขบขันยิ่งนัก” กล่าวจบนางก็ลุกยืนขึ้นอย่างไร้ความเกรงกลัว นางไม่คิดจะวิงวอนขอความเมตตาจากใครในจวนนี้อยู่แล้ว ทุกอย่างเป็นเพียงการหาผลประโยชน์ร่วมกัน ดังนั้นหากล้ำเส้นขีดความอดทนของนาง นางก็ไม่คิดจะเกรงใจเช่นกัน
“บังอาจ! ข้าบอกให้เจ้ายืนขึ้นแล้วหรือ”
“ข้าสั่งตนเองได้เจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางปัดอาภรณ์ไปมาคล้ายไม่สนใจท่าทางโมโหจนจะเป็นลมของอีกฝ่าย
ดูเหมือนท่านโหวและบุตรชายจะตามใจสตรีผู้นี้เกินไป แค่เพียงเรื่องเล็กน้อยก็ทำให้พานจะเป็นลมให้ได้
“เจ้ามันกล้าดียิ่งนัก ไปเอากฎของตระกูลมาข้าจะลงโทษสะใภ้ชั่วช้าผู้นี้เอง”
“ข้าเพิ่งทราบเช่นกันว่าจวนหลวนโหวที่สูงส่งไม่ต่างอันใดกับครอบครัวชั้นต่ำที่มีแม่สามีคอยรังแกสะใภ้” กล่าวจบนางก็ทำท่าจะเดินจากไป
“ปากดี! เจ้ายังไปไม่ได้ ใครก็ได้จับตัวสะใภ้ชั่วช้าไว้ที”
“ท่านแม่!” ผู้คุ้มกันในจวนตระกูลหลวนยังไม่ทันขยับตัว โหวซื่อจื่อก็ปรากฏตัวขึ้นก่อนจะโบกมือไล่คนพวกนั้นออกไป
“ในเมื่อโหวซื่อจื่อมาแล้ว ก็เชิญท่านสนทนากับมารดาของท่านตามสบายเจ้าค่ะ ข้าคุกเข่ามานานแล้วเมื่อยยิ่งนักคงต้องขอตัวไปพักก่อนนะเจ้าคะ อ้อ! ข้าลืมบอกไป ว่าท่านควรบอกมารดาของตนว่าทางที่ดีอย่าได้กล่าวล่วงหรือด่าทอไปถึงมารดาของข้าจะดีต่อชีวิตคนตระกูลหลวน” นางกล่าวพลางปรายตามองบุรุษร่างสูงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างเย็นชาก่อนจะเดินออกไปโดยมีสาวใช้คนสนิทวิ่งตาม
“จิ้นฝานเจ้ามาพอดี เจ้าเห็นหรือไม่ สตรีผู้นี้ทั้งชั่วช้าและร้ายกาจเพียงใด”
“ท่านแม่ ข้าว่าท่านทำเกินไป”
“นี่เจ้าเข้าข้างมันหรือ ลืมไปแล้วหรือว่าที่เจ้าต้องแต่งกับนางก็เป็นเพราะเรื่องงามหน้าพวกนั้น”
“ท่านแม่หากกล่าวตามจริง เสี้ยนจู่นางไม่ได้เป็นคนทำผิดต่อข้า แม้นางจะวางยา นางก็วางยาตนเอง ที่นางต้องแต่งกับข้าอย่างไม่เต็มใจนั่นคือบทลงโทษของนาง”
“แล้วอย่างไร แต่งเข้าจวนโหวแล้ว ก็มีกฎของจวนโหว ข้าเพียงอบรมสั่งสอนนางเล็กน้อย นางก็ตอบกลับว่าจวนเราเลวร้ายยิ่งกว่าจวนคนชั้นต่ำ ไม่เคารพผู้อาวุโสเช่นนี้ สมควรได้รับการลงโทษ”
“แต่ว่า...”
“หากเจ้ายังเข้าข้างผู้อื่นเช่นนี้ วันหน้าคงปกครองกันได้ลำบาก ข้าจะควบคุมดูแลคนในจวนเช่นไร”
“ท่านแม่ แท้จริงข้ายืนอยู่ด้านนอกตั้งแต่ที่ท่านพ่อออกไปแล้วขอรับ ข้าได้ยินวาจาทั้งหมดที่ท่านเอ่ย แม้ท่านจะไม่พอใจนางเช่นไร แต่ข้าคิดว่าท่านไม่ควรจะด่าทอไปถึงมารดาของนาง เพราะหากพระญาติฝ่ายมารดาของนางทราบเข้า เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่”
“ข้าเพียงสั่งสอนนางแทนมารดาที่ไม่รู้จักสั่งสอนบุตรสาว ข้าผิดที่ใด หากเจ้าจะเข้าข้างนางก็ออกไป ข้าไม่อยากสนทนากับบุตรชายเช่นเจ้าแล้ว” ซิวฮุ่ยหนิงไม่พอใจยิ่งนักที่บุตรชายเข้าข้างสะใภ้ชั่วช้า ที่ผ่านมานางเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของสามีและบุตรชาย ไม่ว่านางจะเอ่ยอันใด ทั้งสองล้วนคล้อยตาม มีหรือจะมายืนโต้เถียงเช่นนี้
“ท่านแม่ หากท่านไม่ชอบใจนางต่อจากนี้ก็อย่าเรียกนางมาพบ ให้นางอยู่ที่เรือนไปอย่างเงียบ ๆ และเรื่องด่าทอมารดาของนางถือว่าข้าขอนะขอรับ”
“ก็แค่พระชายาอ๋องผู้หนึ่งที่ไม่มีความสามารถในการสั่งสอนบุตรสาว มีอันใดให้น่าหวั่นเกรง”
“อ่า...คงเพราะเป็นเรื่องนี้ผ่านมานานเกินไป พระชายาเหลียงอ๋องก็หายสาบสูญไปนานแล้ว จึงทำให้ท่านหลงลืมไปแล้วว่าในอดีตนั้นเหลียงอ๋องได้แต่งองค์หญิงจากแคว้นซีหนานซึ่งเป็นคู่แฝดมังกรหงส์กับฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบันมาเป็นชายา แม้บิดานางจะทำไม่ดีต่อแคว้นฉินต้าหวง แต่อย่างไรเบื้องหลังของพระญาติฝ่ายมารดา เราก็ไม่อาจดูแคลนได้นะขอรับ” ด้วยเหตุนี้ยามที่นางก่อความวุ่นวายในเมืองหลวงก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้เหลียงโจวเชี่ยวจึงได้แต่หลับตาข้างหนึ่งเพราะอย่างไร สตรีผู้นี้ก็มีสายเลือดของราชวงศ์สองแคว้นไหลเวียนรวมกันในร่างกาย
“พวกเขามีลูกเหมือนกัน ย่อมรู้ดีว่าการจะหาเวลาอยู่ตามลำพังสามีภรรยานั้นยากเพียงใด นี่ท่านคงไม่ได้กำลังสงสัยว่ามันเป็นแผนการที่ข้าอยากรวบหัวรวบหางท่านหรอกนะเจ้าคะ แต่หากใช่แล้วอย่างไร ท่านเป็นบุรุษก็ไปปลดปล่อยที่หอนางโลมได้ ข้าเป็นสตรียังสาวยังมีความต้องการปลดปล่อยเช่นกัน หรือข้าควรต้องไปหอชายงามให้พวกชายงามช่วยปลดปล่อยเช่นท่าน” นางแสร้งตีโพยตีพายกลบเกลื่อน อย่าคิดรู้เท่าทันแผนการของนางเชียวนะ “ข้าขอโทษที่ห่วงใยเจ้า กลัวเจ้าต้องเจ็บปวดจากการคลอดบุตร จึงละเลยที่จะอุ่นเตียงให้เจ้า แต่ข้าสาบานได้ว่าแม้ข้าจะไม่ได้ปลดปล่อยกับเจ้า แต่ข้าก็ไม่เคยไปหอนางโลมเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีสตรีใดได้แตะต้องแท่งหยกของข้านอกจากเจ้า” “...” นางเงียบคล้ายกับกำลังแง่งอน “เจ้าไม่เชื่อหรือ เช่นนั้นข้าจะมอบความสุขให้เจ้าเพื่อพิสูจน์ว่าความโปรดป
“ยามนี้ในจวนก็ไม่มีใครอยู่ เรามาลองทำกันตรงนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ” นางกล่าวก่อนจะก้มตัวลงไปอ้าปากงับยอดอกของเขาเพื่อเร่งเร้า ลิ้นเรียวเล็กที่โลมเลียหยอกเย้าทำให้หลวนจิ้นฝานรู้สึกสะท้านไปทั้งตัว “ประเดี๋ยวเจ้าจะป่วยเอานะ” เสียงแหบพร่าดังออกมาจากปากเขา “ก็ยังไม่ต้องถอดหมดสิเจ้าคะ” นางกล่าวก่อนจะลงจากตักของเขา มือเรียวถลกชายอาภรณ์ของผู้เป็นสามีเผยให้เห็นแท่งหยกที่แข็งขึงจนดุนดันอาภรณ์ให้โป่งพองขึ้น นางกอบกุมแท่งหยกที่ทั้งแข็งและร้อนเอาไว้ก่อนจะรูดขึ้นลงเบา ๆ ดวงหน้าหวานโน้มเข้าไปใกล้จนลมหายใจเป่ารด “จิ่วเม่ย ลมหายใจของเจ้าทำให้พี่สั่นสะท้านยิ่ง” จิตใจส่วนลึกปรารถนาอยากให้นางใช้ปากและลิ้นหยอกเย้า 
“เฉ่าเหมยก็กำลังมีบุตรคนที่สอง แล้วเจ้าเล่าจิ่วเม่ย ข้าอยากได้หลานสาวตัวน้อย” “เห็นทีเจ้าคงต้องไปถามเอากับสามีข้าเสียแล้ว ว่าเมื่อใดจะมอบบุตรคนที่สองให้ข้า” ทุกวันนี้เขาไม่ยอมปลดปล่อยน้ำพิสุทธิ์ในกายนางเพราะกลัวนางจะตั้งครรภ์แล้วต้องเจ็บปวดยามคลอดบุตรอีก “กล่าวเช่นนี้ มิใช่เป่ยกั๋วกงร่างกายมิไหวแล้วหรือ” เจียงเซียวเล่อเอ่ยถามอย่างซุกซน ต่างจากสามีของตนลิบลับที่ขยันยิ่งนักจนตอนนี้ตนมีบุตรชายบุตรสาวสามคนแล้ว “เขาบอกว่าไม่อยากเห็นข้าเจ็บปวดตอนคลอดบุตรอีก” “อ่า...ข้าคิดว่าข้าเข้าใจเจ้าแล้ว สามีข้าก็เป็นเช่นนั้นหลังจากที่ข้าคลอดซือเหวิน” “ยามนั้นข้าอ
กลวิธีขอบุตรจากสามี เวลาช่างผันผ่านไปรวดเร็วนัก หกปีแล้วกระมังที่นางไม่ได้มาเยือนเมืองหลวง ยามนี้ได้ยินว่าหลวนฟูเหรินล้มป่วย นางจึงอยากพาหลานชายมาให้อีกฝ่ายพบหน้าเพียงเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากฟังที่บุตรชายกล่าวจบ นางก็รีบเก็บความหวังดีนั้นกลับมาทันที “ท่านแม่ ข้าไม่อยากไปจวนของท่านปู่ท่านย่าขอรับ” วาจาของบุตรชายทำให้นางหันไปมองหน้าสามีด้วยสีหน้าลำบากใจ “เพราะเหตุใดลูกจึงกล่าวเช่นนั้น บอกเหตุผลให้แม่ฟังได้หรือไม่” เหลียงจิ่วเม่ยเอ่ยถามบุตรชายอย่างใจเย็น ที่ผ่านมาแม้ตนจะไม่ถูกกับแม่สามีแต่ทว่าก็ไม่เคยสอนให้บุตรชายมีอคติกับผู้อาวุโส “ท่านย่าเกลียดท่านแม่และว่าท่านแม่ชั่วร้าย ท่านพ่อจึงได้หลวมตัวแต่งกับท่านแม่โดยที่ไม่ได้รักใคร่กันแต่จำใจต้องอยู่ด้วยกันเพราะข้า แต่ข้ารักท่านแม่มาก ข้าไม่อยากได้ยินท่านย่ากล่าวว่าร้ายท่านเช่นนั้นอีก ดังนั้นข้าไม่ไปจวนท่านย่าได้หรือไม่” เด็กน้อยกล่าวด้วยวาจาฉะฉาน “ใครบอกเจ้าเช่นนั้น” เป็นเป่ยกั๋วกงที่เอ่ยถามซ้ำ “ท่านย
เหอซือซือคลอดบุตร สตรีร่างเล็กบิดกายไปมาบนเตียงคล้ายเกียจคร้าน ก่อนจะถูกผู้เป็นสามีที่เพิ่งกลับมาจากด้านนอกรวบตัวเข้าสู่อ้อมกอด “หิวหรือไม่ ข้าจะบอกให้คนยกสำรับมาให้เจ้า” หลวนจิ้นฝานเอ่ยถามฮูหยินของตน “แล้วท่านหิวหรือไม่เจ้าคะ” “สามารถรอกินพร้อมเจ้าได้” “เช่นนั้นรออีกสักประเดี๋ยวดีหรือไม่เจ้าคะ” นางกล่าวพลางบดเบียดกายเข
“อ๊า...” จูเฉ่าเหมยร้องครวญครางไม่เป็นภาษา รู้สึกวาบหวามกับสัมผัสของเขา พอเห็นในโพรงนุ่มพร้อมแก่การบุกรุกเขาก็สอดนิ้วของตนเข้าไปเพื่อคลายความคับแน่นภายใน เพราะได้น้ำหวานที่เอ่อล้นจากการโลมเลียทำให้เขาสามารถใส่นิ้วเพิ่มได้อีก แรงตอดรัดภายในทำให้เขาค่อย ๆ ขยับนิ้วอย่างช้า ๆ พลางคิดไปว่าหากสอดใส่ของตนเข้ามามันคงแทบปริแตกแพราะแรงรัดรึงเป็นแน่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงสอดใส่นิ้วเพิ่มอีกจากสองนิ้วเป็นสามนิ้วแล้วขยับเข้าออกจนน้ำหวานไหลออกมาเปรอะเปื้อนทั่วมือ “อ๊า! ท่านพี่ อ๊า…ท่านเก่งกาจยิ่งนัก” นางส่งเสียงร้องพลางบิดกายไปมาด้วยความรู้สึกเสียวซ่านก่อนจะเกร็งกระตุกปลดปล่อยน้ำหวานออกมา แรงตอดรัดในโพรงนุ่มทำให้เขารับรู้ได้ว่านางสุขสมแล้ว เขาจึงตวัดลิ้นโลมเลีย