LOGINอินหลัวหันไปมองเขาแล้วเบ้ปากนิดๆ จะต้องคี๊บคาสินะ จะว่าไปก็ดีนะไม่อยากพูดก็แค่วางท่าสง่างามเหมือนหงส์
" ข้านะน่ะที่พูดเหมือนกระจกอย่างไรเล่าสะท้อนสิ่งที่พวกท่านทำกับข้า และท่านก็เพิ่งจะให้ข้ากินยาประหลาดโดยไม่ถามความยินยอม ข้ายังไม่ได้ฟ้องกรมแพทย์สภาเลยนะ แค่บ่นนี่ถือว่ายังน้อยไปกับที่ถูกกระทำ ข้าทำอะไรให้ท่านบอกแล้วว่าไม่ใช่ข้าไม่ใช่ข้าสักหน่อยที่แทงท่าน ข้าแค่มาผิดคิว ดีนะที่ข้ารอดมา ไม่งั้นข้าจะกลายเป็นศพเงียบที่สุดในประวัติศาสตร์ของการข้ามเวลาเพราะห้ามพูดนี่แหละ"พูดได้เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างแต่ความโมโหจัดเต็ม
ไป๋อี้เฉิงถอนหายใจยาวอีกรอบ แล้วยกมือขึ้นให้ขันทีเสี่ยวหม่าถอยห่างไปก่อน
"ไม่ต้องมัดตอนนี้หรอก ขอให้ข้าดูอาการนางให้ดีก่อน เดี๋ยวนางดิ้นเชือกขาดเอา"
หลี่เจินหรงไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ขยับลุกขึ้นเดินไปยืนพิงเสาไม้ไผ่ด้านข้าง สายตาเย็นชานั้นยังจับจ้องมาทางอินหลัวไม่วางตา
บรรยากาศในกระโจมที่เพิ่งจะเริ่มสงบลงได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม
หลี่เจินหรงที่ยืนกอดอกพิงเสาอยู่เงียบๆ ก็เลื่อนสายตาคมกริบไปยังขันทีร่างเล็กที่ยืนก้มหน้าอยู่ริมประตู เสี่ยวหม่า หน้าตาไม่ได้ฉลาดนัก แต่ซื่อสัตย์อย่างไร้เทียมทาน ท่านอ๋องว่าอย่างไรเสี่ยวหม่าว่าอย่างนั้น และที่อ๋องเจินหรงชื่นชมอีกอย่างคือ เสี่ยวหม่ามักจะออกความเห็นที่แปลกไป
"เสี่ยวหม่า"
เสียงทุ้มต่ำของอ๋องกระทบเข้าเต็มสองหู เสี่ยวหม่าสะดุ้ง ยกมือขึ้นคำนับแทบจะทันที
"พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง ทรงรับสั่ง"
"เจ้าว่าควรทำอย่างไรกับจ้าวอินหลัวดี"
คำถามนั้นฟังเหมือนจะลอยๆ ทว่ากลับกดดันนัก ราวถูกสั่งให้แก้สมการชีวิตในหนึ่งลมหายใจ เสี่ยวหม่าเงียบคิดอยู่ไม่ถึงสองอึดใจ แล้วก็ชูนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้วแบบมั่นอกมั่นใจที่สุดในชีวิต
"อุดปากไว้ขอรับ"
หลี่เจินหรงเลิกคิ้ว ส่วนท่านหมอที่นั่งอยู่ข้างอินหลัวถึงกับชะงักมือที่กำลังจะวัดชีพจรอีกครั้ง จ้าวอินหลัวเองก็เบิกตากว้าง
"หา อุดปาก"กำลังจะดีแล้วเชียวไบโพล่าร์กำเริบอีกแล้วละสิ
"ขอรับ" เสี่ยวหม่ารีบพยักหน้าหงึกๆ
"อุดปากปุ๊บ เงียบปั๊บเลยขอรับ ท่านอ๋องจะไม่หงุดหงิด นางก็จะไม่ทันได้ปากดี"
"เสี่ยวหม่า…" หลี่เจินหรงหลุบตามองเสี่ยวหม่าอย่างนิ่งๆ น้ำเสียงต่ำลึกแฝงคำถาม
"เจ้าลองพูดอีกทีซิ"
เสี่ยวหม่ายืดตัวตรงขึ้นทำท่านเหมือนคนแน่วแน่ในอุดมการณ์
"อุดปากขอรับ"
"..."
"ด้วยผ้า หรือหมอน หรืออะไรที่พอหาได้ก็ได้ขอรับ ขอแค่แน่นพอจะไม่ให้เสียงหลุดออกมา"
จ้าวอินหลัวที่นั่งอยู่กัดฟันแน่น คนพวกนี้จะรังแกกันมากไปแล้ว
"พวกสูฮึ ข้ายังไม่ได้พูดสักคำพวกท่านเห็นข้าเป็นอะไร เอะอะก็ทำร้ายเอะอะก็จับขังแล้วยังห้ามพูดอีก ปล่อยข้าไปสิแทนที่จะอุดปากจะได้ไม่ต้องมาฟังข้าพูด”
"เอ่อ…นั่นก็ได้เหมือนกันขอรับ...อันนี้ดีเลยขอรับหานไปเลยขอรับ แต่อุดปากก็คือมาตรการแรก"
เสี่ยวหม่าเออออเบาๆ พลางมองไปที่ปลอกหมอนผืนหนึ่งที่วางอยู่ข้างๆ อย่างจริงจัง ไป๋อี้เฉิงเงยหน้าขึ้นมองฟ้า แล้วถอนหายใจยาวอีกครั้งเป็นรอบที่สิบของวัน
เสียงครางในลำคอของจ้าวอินหลัวก็ดังขึ้นอีกครั้ง…คราวนี้ไม่ใช่เพราะเจ็บ แต่เพราะความทรมานชนิดใหม่
"เฮ้อออ ข้า... ข้า... ปวดฉี่จะตายอยู่แล้วใครก็ได้ พาไปเข้าห้องน้ำที เดี๋ยวนี้เลย ฮืออๆๆๆๆ"
อินหลัวโพล่งขึ้น สีหน้าบิดเบี้ยวจริงจัง หลี่เจินหรงเหลือบตามองนิ่งๆ ไป๋อี้เฉิงขมวดคิ้วน้อยๆ หน้าเริ่มแดง เสี่ยวหม่าอ้าปากหวอ ตาโตวาววับคล้ายจะถามกลับทันทีว่า เอาจริงดิ
"ไหนๆ จะอุดปากข้าแล้วก็อย่าพึ่งเลย ปล่อยให้ข้าได้พูดก่อน ข้าปวดฉี่ ปวดฉี่จริงๆ นะ" อินหลัวแย้งเสียงลั่น
สามหนุ่มในกระโจมสบตากันไปมา มีบางคนกำลังหาคำแก้ตัว และเหมือนกำลังจะเป่ายิ้งฉุบตัดสินว่าใครจะรับหน้าที่ผู้ส่งเข้าห้องน้ำ เสี่ยวหม่าฉวยโอกาสก่อนเลย
"ข้าไม่ไหวขอรับท่านอ๋อง นางเป็นถึงอดีตชายาอ๋องนะขอรับ แล้วหากข้าที่เป็นขันทีกล้าพานางไปฉี่ นี่ผิดกฎเลยนะขอรับ"
ไป๋อี้เฉิงพยักหน้าเห็นด้วยทันที
"ข้าก็เป็นหมอ…จะไปจับต้องคนไข้หญิงโดยไม่มีเหตุจำเป็นไม่เหมาะ…แล้วนางก็เคยเป็นชายาอ๋องมาก่อน นั่นยิ่งไม่สมควร"สองคนที่ออกตัวไปแล้วหันมามองหลี่เจินหรงเป็นตาเดียว
หลี่เจินหรงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเขาไม่ต้องสนอยู่แล้วนี่ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ
"พอ ข้าไม่ว่างดูเจ้าโวยวายเรื่องกลั้นฉี่" เขาหันไปทางเสี่ยวหม่า
"ไปที่คุก เอาสาวใช้ของนางมา ให้มาดูแลนาง"
"รับทราบขอรับ"
เสี่ยวหม่าพยักหน้าหัวแทบหลุดแล้ววิ่งออกจากกระโจมไปอินหลัวกะพริบตาเร็วๆ แล้วหันไปโวยบ้าง
"เดี๋ยว ข้ารอไม่ไหว ข้าจะตายก่อนหรือให้ข้าทนหรือ ทนกับผีสิ ฮือออ จะปล่อยข้าไปฉี่ก่อนก็ไม่ได้เลยรึ ท่านอ๋องโหดเกินไปแล้ว"
หลี่เจินหรงปรายตามอง ก่อนจะหันหลังให้
"ไม่ได้"
"ทำไมเล่า"
“เจ้าจะหนีไปอีกเจ้ามันคนปลิ้นปล้อน ไม่น่าเชื่อว่าชายาอ๋องเหล่ยจะเป็นหญิงแบบนี้ เรื่องแบบนี้ยังกล้าป่าวประกาศ …หน้าไม่อาย” อินหลัวก้มหน้า
"หนีแล้วมีประโยชน์อะไรปล่อยข้าไปแล้วข้าไปไหนได้ในเมื่อตอนนี้ปราณของข้าผูกติดกับท่าน"อินหลัวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“นั่นสินะ เช่นนั้นก็จงหุบหากแล้วทำตามที่ข้าพูดเสียดีดี รอจนกว่าจะมียาถอนพิษข้าอาจใจดีปล่อยเจ้าไปเมื่อข้าไม่ต้องใช้เจ้าแล้ว”
น้ำเสียงเขานิ่งเรียบจนชวนขนลุก
"ไม่ไหวแล้ววววววววว"จ้าวอินหลัวดิ้นพราด
ไป๋อี้เฉิงกลั้นยิ้มขณะที่ฟังอินหลัวพูด แต่ก็แอบกระซิบกับอินหลัวว่า
"อดทนนิดเดียว เดี๋ยวสาวใช้เจ้าก็มาถึง"
"อดทนกับผีสิ" นางโวยเสียงขุ่น
"ข้าจะตายเพราะกระเพาะฉี่แตก ไม่ใช่เพราะพิษนั่น"
“พิษนั่นไม่ทำให้เจ้าตายหรอกแต่ ท่านอ๋องที่ได้ยาถอนพิษมาแล้วนั่นแหละที่จะฆ่าเจ้าให้ตาย ถ้าทำให้เขาไม่ชอบเจ้า”
หลี่เจินหรงยังคงยืนนิ่ง พยายามเก็บอารมณ์ที่เริ่มเดือดพล่านในใจเอาไว้ หัวใจของเขามีแต่ความสับสน เขายังคงคิดถึงจ้าวอินหลัว คิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำ"เจ้าคิดว่าข้าจะลืมทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นระหว่างข้าและจ้าวอินหลัวได้ง่ายๆ หรือ" หลี่เจินหรงถามเสียงทุ้ม ขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่พอใจม่อเฉวียนค่อยๆ หลุบตาลง พึมพำเบาๆ เหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ในที่สุด หลี่เจินหรงพูดออกมาพร้อมกับยิ้มเย็น"แม้เจ้าจะพยายามขนาดไหน ข้าก็ไม่มีทางที่จะปล่อยอินหลัวไปและไม่มีทางที่จะแต่งกับเจ้า...เพราะข้า ไม่มีทางลืมจ้าวอินหลัว"ม่อเฉวียนเงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะถอนหายใจเบาๆ ปล่อยหลี่เจินหรงออกจากอ้อมแขนของตัวเองแล้วมองเขาด้วยสายตาที่เศร้าสร้อย"ข้าเข้าใจ... ข้าแค่หวังว่าท่านจะคิดได้ในสักวันหนึ่ง..." ม่อเฉวียนพูดเบาๆ ก่อนจะหมุนตัวและเดินออกไปจากเขา เสียงฝีเท้าของม้าเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง แล้วหันไปมองหลี่เจินหรงเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะขี่ม้าออกไปในความมืดหลี่เจินหรงยืนนิ่งอยู่กลางลาน อารมณ์ในใจของเขายังคงขัดแย้งและรุนแรง เขาไม่สามารถลืมสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ แม้จะพยายามที่จะเดินหน้าไปข้างหน้า
ทัพของอ๋องหลี่ค้างแรมที่ชายป่าใกล้ชายแดนแคว้นเหนือ เสียงฝีเท้าของม้ากระทบพื้นดินอย่างรวดเร็ว เสียงเหล็กกระทบกันดังสะท้อนในค่ำคืนที่เงียบสงัด ภายในค่ายมีเพียงแสงไฟจากคบเพลิงที่ลุกโชนเท่านั้นที่คอยให้แสงสว่างแก่แผ่นดินที่มืดมิด ทุกคนในทัพต่างอยู่ในภาวะเตรียมพร้อม สายลมเย็นพัดผ่านความเงียบงันของยามค่ำคืนเสี่ยวหม่าที่ประจำอยู่หน้าค่าย มองเห็นเงาของม้าผ่านแสงไฟที่ริบหรี่ ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้วและรีบก้าวไปขวางทางม้าด้วยกระบี่ในมือเตรียมอารักขาหลี่เจินหรงเต็มตัว เขายืนหยุดอยู่ทันที ลมหายใจของเขาหอบถี่ขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ดวงตาคมของเขาสอดส่องมองไปยังบุคคลที่ขี่ม้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะขมวดคิ้วแน่น"นายหญิงม่อเฉวียน... ท่านมาทำไม"เสี่ยวหม่าถามด้วยเสียงแปร่งๆ มองไปที่หญิงสาวที่นั่งอยู่บนหลังม้า มือข้างหนึ่งยกขึ้นจับบังเหียนม้าไว้อย่างมั่นคง หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน คือม่อเฉวียน นั่นเองม่อเฉวียนที่นั่งอยู่บนหลังม้าหันไปมองเสี่ยวหม่าแล้วตอบเสียงดัง แววตาของนางเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว และรุนแรงราวกับไม่หวั่นเกรงอะไรทั้งนั้น"อย่าขวางข้า เสี่ยวหม่าข้ามาพบท่านอ๋อง" ม่อเฉวียนพูดเสียงดังและมั่นคง ขณะที่
อินหลัวอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้างตกใจ หัวใจเต้นแรงขึ้นขณะที่ซ่งเหล่ยชิงซางมองไปที่อินหลัวด้วยความตกใจเช่นกัน "อินหลัวเจ้าตั้งครรภ์หรอกหรือ" เขาพูดเสียงเบาหวิวก่อนจะหลับตาลงช้าๆ และถอนหายใจยาวในใจเจ็บปวดอย่างที่สุดเมื่อรู้ว่าไม่อาจยื้อคนที่รักไว้ได้อินหลัวนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ข้างๆ แท่นนอน รู้สึกไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ความรู้สึกแปลกประหลาดปนเปไปด้วยความหวาดหวั่น และตื่นเต้นดีใจไปพร้อมๆ กันยกมือขึ้นลูบที่หน้าท้องเบาๆ“ลูกของท่านอ๋องอย่างนั้นหรือ” ยิ้มบางๆกลางป่าหลี่เจินหรงนั่งอยู่ท่ามกลางป่าที่เงียบสงบ เสี่ยวหม่าที่กำลังยิ้มแย้มเดินเข้ามาด้วยกระต่ายป่าย่างตัวโตในมือพร้อมกับกลิ่นหอมของเนื้อย่าง"ท่านอ๋องขอรับ กินอะไรเสียหน่อยขอรับ กระต่ายป่าย่างหอมๆ นี้น่าจะทำให้ท่านรู้สึกดีขึ้นบ้างนะขอรับหลังจากที่จตรอมใจมานานที่นายหญิงอินหลัวหายไป" เสี่ยวหม่ายิ้มแย้มพูดทีเล่นทีจริงยื่นกระต่ายป่าย่างไปที่หลี่เจินหรง“พูดมากจริงเชียวข้าคิดถึงอินหลัวก็ถูกแล้วจะให้ข้าคิดถึงเจ้าหรือเสี่ยวหม่า”“ขอรับๆๆๆ เข้าใจแล้วขอรับ”หลี่เจินหรงรับกระต่ายจากมือเสี่ยวหม่าแล้วสูดดมกลิ่นหอมของมันก่อนที่จะกัด
เสียงฝีเท้าจากทางประตูดังขึ้นก่อนที่ประตูจะแง้มออก เสียงรองเท้าบนพื้นไม้ดังไม่มากนักในตำหนักที่เงียบสงัด เสียนหยางก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทางมั่นคงขรึม เขาไม่รีรอเมื่อเห็นอินหลัวนอนนิ่งอยู่บนแท่นนอน ใบหน้าของนางซีดจางแต่ดวงตายังวาวด้วยประกายความหวังเมื่อเห็นคนคุ้นเคย“เสียนหยางท่านมาได้อย่างไร” เสียนหยางยิ้มบางๆ“ข้ามานี่เพื่อรับตัวท่าน” อินหลัวกระโดดลงจากแท่นนอน"ห๊ะ ท่านมาช่วยข้าใช่ไหม อือออออ ดีจัง ฮืออออ ในที่สุดก็มีคนมาช่วยข้าแล้ว รีบพาข้าออกไปเถอะ" อินหลัวยิ้มทั้งน้ำตา พลางวิ่งเข้ามายืนตรงหน้าเสียนหยางเสียนหยางยืนนิ่งไปเพียงครู่ ถอนหายใจยาวพลางส่ายหน้า "ข้า... ข้าๆๆๆ ไม่ได้มาช่วยท่าน แต่ข้ามาตามคำสั่งของบิดา ท่านให้พาท่านกลับไปที่วังหลวง เพื่อถวายตัวกับฝ่าบาทในฐานะพระสนม" น้ำเสียงจริงจังของเขากระทบใจอินหลัวเหมือนมีดทิ่ม“ดวรแล้วเวรแท้ทำไมทำกับข้าแบบนี้อือออไม่ได้รชนะข้าไม่ได้อยากจะไปไม่ได้อยากเป็นสนม”อินหลัวทรุดกายลงกับแท่นนอน แข้งขาพลันอ่อนแรง เสียนหยางก้มหน้า"แน่ใจนะ... ว่าเป็นพ่อคน ทำไมทำกับลูกสาวแบบนี้ดีนะที่อินหลัวคนนั้นตายไปแล้วไม่อย่างนั้นนางช้ำใจตายแน่ๆ เป็นพ่อขายล
เขาก้าวเข้ามาใกล้นางทีละก้าว สายตาคมดั่งเหยี่ยวจับจ้องใบหน้าที่สั่นไหวของนาง“เขาอยู่ ข้าตาย... ข้าตาย เขาอยู่ เข้าใจหรือไม่”อินหลัวเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาใสสะท้อนเปลวไฟราวกับจะร้องไห้แต่ก็ฝืนกลั้นไว้ “ทำไมต้องเป็นเช่นนั้น..พวกท่านไม่รุ้จักคำว่าสันติไม่รุ้จักคำว่าเจรจาหรือ ทำไมจ้องจะรบกันอย่างเดียว”“เจ้าไม่เข้าใจหรอกอินหลัวว่าข้าเจ็บปวดเพียงใด ข้าไม่มีทางเจรจา เพราะนี่คือสงคราม” เสียงของอ๋องเหล่ยแน่นหนัก “และเพราะข้ายังมีเจ้าที่ต้องปกป้อง เขาแย่งชิงเขาคุกคามและเขาต้องการตัวชายาข้าชายาที่ข่้ารัก”อินหลัวนิ่งงัน ใจเต้นแรงราวจะทะลุออกจากอก ไม่รู้ว่าเพราะคำพูดนั้นคือความจริงหรือเพียงคำลวงเพื่อกลบเสียงดังก้องในใจเขาเองแสงเทียนในห้องทำงานของราชครูจงสั่นไหวตามลมยามค่ำ ด้านนอกสายฝนซัดกระทบหลังคาเป็นจังหวะเหมือนหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นทุกคราวเมื่อความจริงถูกลากขึ้นมาสู่แสง แผ่นหนังสือเล่มเก่านอนเปิดค้างไว้อย่างไม่เป็นระเบียบ ใบหน้าของราชครูจงลึกเป็นรอยกังวล แต่ท่วงท่าทางยังคงหนักแน่นดุจไม้ค้ำจุนตระกูล "ท่านพ่อลูกอับจนหนทางแล้ว ท่านอ๋องลืมเลือนคำมั่น และยังตีตัวออกห่าง ทุกลมหายใจล้วนมีแค่เพียงจ
แคว้นเหนือคืนนี้อากาศเย็นชื้น กลิ่นน้ำค้างผสมกับควันไฟจากเชิงเทียนลอยคลุ้งในห้องเล็กที่จัดเป็นตำหนักชั่วคราว แสงโคมสลัวจับเงาใบหน้าอ่อนหวานของอินหลัวให้ดูงดงามยิ่งขึ้น อ๋องซ่งเหล่ยชิงชางยืนที่มุมโต๊ะ ประคองถ้วยข้าวต้มร้อนๆ ด้วยท่าทีทะนุถนอมราวกับบรรจุสิ่งล้ำค่า"เจ้าตื่นแล้วสินะ" เสียงเขาอ่อนโยน ขณะยื่นข้าวต้มมาใกล้ๆ ดวงตาเงาเป็นประกายความยินดีอินหลัวหลุบตามองถ้วยข้าว ริมฝีปากสีอ่อนบีบเป็นเส้น เห็นมือเรียวของอ๋องเหล่ยกำลังแดงระเรื่อจากรอยลวกเล็กน้อย รอยแดงนั้นนทำให้อินหลัวเกิดความไม่สบายใจในอกจนเผลอส่งเสียงออกมา“อะมือท่าน”"โอ๊ย ขอโทษที่... บังเอิญว่าข้าร้อนแล้ว วางมันไม่ได้ ข้าวต้มนี่มันก็ร้อนไปหน่อย" อ๋องเหล่ยพูดยิ้มๆ คล้ายกลบเกลื่อนบางอย่าง แต่แววตาที่มองมายังอินหลัวกลับอ่อนโยนจนคนโดนมองแทบละลายอินหลัวเงยหน้าขึ้นช้าๆ พูดเสียงเบา "มือของท่าน...โดนข้าวต้มร้อนๆ ลวกมาหรือ"อ๋องเหล่ยสะดุ้ง รีบเอามือหลบด้วยท่าทีติดขัด "เปล่า ไม่ได้โดนลวกนะ มือข้าก็แดงแบบนี้แหละ" เขาพูดคล้ายประชดตัวเองแล้วหันหน้าน้อยๆ รู้สึกเขินอายที่คนเห็นความไม่เรียบร้อยนั้นจังหวะนั้น หลงเจียงวิ่งพรวดเข้ามาในห้อง







