ของถูกขโมยไปแล้ว
เสวียนหนี่รีบเข้ามาหาถุงผ้าสีน้ำตาลในห้องนอนของซินหยางแต่ก็ไม่พบอะไรเลย ที่นางเจอคือร่องรอยการรื้อค้นอยู่ก่อนแล้ว จึงเข้าใจได้ว่ามีใครบ้างคนได้เข้ามาที่นี่ก่อนนางและได้ขโมยถุงผ้าดังกล่าวไป ไม่ว่าจะหาอย่างไรก็ไม่เจอเสวียนหนี่จึงรีบวิ่งกลับไปหาซินหยาง ทว่าเมื่อมาถึงที่ที่ซินหยางนอนบาดเจ็บ ก็พบร่างของมารดานอนนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาปิดสนิทไร้กระทั่งสัญญาณชีพของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เสวียนหนี่จึงรีบคลานเข้าไปกอดซินหยางไว้แน่นโหยไห้ปานจะขาดใจตายไปด้วยกัน
ยังไม่ทันจะได้ร้องคร่ำครวญปลายดาบเล่มหนึ่งก็จ่อมาตรงหน้า พอเงยขึ้นมองเห็นว่าเป็นทหารนายหนึ่งกำลังใช้ดาบชี้มาที่นาง เขาไม่พูดพร่ำอะไรก็เตรียมตวัดดาบหมายเอาชีวิต แต่ก่อนที่ดาบคมเล่มนั้นจะได้เฉือนเนื้อหนังของนาง กลางลำตัวของทหารนายนั้นได้มีปลายดาบอีกเล่มแทงสวนทะลุจากด้านหลัง เมื่อดาบถูกชักออกโลหิตสีแดงฉานพุ่งกระเซ็นอย่างสยดสยอง จากนั้นร่างของทหารก็ทรุดลงนอนตายตาเหลือก
หญิงสาวอ้าปากตะลึงค้างกับภาพตรงหน้า เสียงเรียกของป๋อเหวินปลุกนางให้ได้สติ คนที่เข้ามาช่วยนางได้ทันเวลาพอดีคือป๋อเหวินพี่ชายของนางนั่นเอง อาภรณ์ที่เขาสวมใส่เต็มไปด้วยโลหิตโทรมกาย เหงื่อกาฬเม็ดเล็กผุดขึ้นตามหน้าผาก เสียงหายใจของเขาดังหอบถี่
"เสวียนหนี่ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร"
เขาถามนางในทันที ดวงตาเขาเบิกโพลงอย่างเป็นกังวล นางไม่ได้ตอบคำถามของเขาแต่ใช้ภาษามือสื่อสารบอกว่าซินหยางสิ้นใจลงแล้ว ร่างเล็กสะอื้นไห้จนสั่นเทา น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูสุดจะหักห้ามความเสียใจไว้ได้
"รีบไปก่อนเถิด...ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าก็ตายหมดแล้วเช่นกัน"
น้ำเสียงของป๋อเหวินฟังดูสลดหดหู่อย่างเห็นได้ชัด เขาเข้ามาดึงแขนน้องสาวให้ลุกขึ้นยืน แต่เมื่อทั้งสองกำลังตั้งใจว่าจะหนีออกจากจวนก็ได้มีทหารหลายนายตรงมาทางนี้พอดี หนึ่งในนั้นตะโกนบอกพวกพ้องว่ายังมีผู้รอดชีวิต เสวียนหนี่และป๋อ
เหวินจึงตกเป็นเป้าสายตาไปโดยปริยายป๋อเหวินมองหน้าน้องสาวใจสั่นสะท้าน เขารู้ตัวเองดีว่าไม่ได้เก่งกาจถึงขนาดจะเอาชนะทหารหลายนายที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีได้ เขารู้สึกอัดอั้นจนพูดอะไรไม่ออก มองไปทางใดรอบกายดูอึมครึมและอึดอัดไปเสียหมด
ศพของบรรดาบ่าวไพร่ในเรือนนอนตายเกลื่อนจวน ยิ่งตอกย้ำความไม่เอาไหนของตัวเอง เขามองภาพเหล่านั้นแล้วน้ำตาไหลออกมาแต่ต้องรีบปาดน้ำตารวดเร็วไม่ให้เสวียนหนี่ได้เห็น
...คนที่ทำให้ตระกูลฉู่ถึงคราววิบัติไม่ใช่เสวียนหนี่ตามคำทำนายซินแสบ้าบอนั่น แต่เป็นบิดาต่างหาก! ที่ตระกูลฉู่พบจุดจบอนาถเช่นนี้เป็นเพราะความมักใหญ่ใฝ่สูงของฉู่มู่เฉินคนเดียว!
เขาตำหนิผู้เป็นพ่อในใจ ความปรารถนาสุดท้ายของป๋อเหวินคืออยากเห็นเสวียนหนี่กลับมาพูดได้อีกครั้ง เกรงว่านับจากนี้ต่อไปเขาคงไม่ได้อยู่รอฟังแล้ว ป๋อเหวินจับไหล่บอบบางทั้งสองของน้องสาวแล้วเขย่าเบา ๆ พร้อมกับพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
"เสวียนหนี่...ฟังพี่นะ เจ้าจำตอนเด็กที่เราชอบเล่นซ่อนหากันได้หรือไม่ ครั้งนี้เจ้าให้พี่เป็นฝ่ายตามหาเจ้าบ้าง"
"…ฮึก"
"ฟังพี่ให้ดี พี่จะนับหนึ่งถึงสิบ...เจ้ารีบวิ่งไป...วิ่งไปให้ไกลจากที่นี่ วิ่งให้เร็วสุดชีวิต..."
"..."
"น้องพี่...ถ้าหากครั้งนี้พี่ตามหาเจ้าไม่เจออีก โปรดจงให้อภัยพี่ด้วยนะ...น้องสาวพี่ น้องสาวที่พี่รักยิ่ง"
...ท่านพี่ อย่าทำเช่นนี้...ไม่ได้นะ จะทิ้งข้าอีกแล้วหรือเจ้าคะ
ป๋อเหวินบอกแต่นางส่ายหน้าปฏิเสธ นางรู้ดีว่าเขากำลังคิดจะทำอะไร เสวียนหนี่กำสาบเสื้อบริเวณหน้าอกตนเองด้วยมือสั่นเทา ป๋อเหวินจึงดึงร่างน้องสาวเข้ามากอดไว้เป็นครั้งสุดท้าย พอเขาคลายอ้อมกอดแล้วได้ดันแผ่นหลังนางออกให้ห่างพร้อมทั้งส่งเสียงตะโกนก้อง
"วิ่ง!!!"
พอน้องสาวหันหลังให้แล้วป๋อเหวินก็รีบกระโจนเข้าไปขวางทางทหารกลุ่มนั้นไว้ เสวียนหนี่ได้ยินเพียงเสียงกระทบกันของโลหะห่างออกไปทุกที...ทุกที
จนในที่สุดนางก็วิ่งพ้นประตูหลังจวน พาตนเองมุ่งตรงเข้าไปยังป่ารกร้าง เมื่อวิ่งออกมาไกลพอสมควรแล้วร่างระหงทรุดลงกับพื้นสะอื้นไห้ปานจะขาดใจ
พี่ชายได้เสียสละตนเองเพื่อให้นางมีชีวิตรอด เขาได้ทำเพื่อไถ่โทษให้ตนเองโทษฐานที่ตอนนั้นทำให้โชคชะตาของนางอาภัพ นั่นคือสิ่งที่ติดอยู่ในใจและทำให้เขารู้สึกผิดมาจนถึงปัจจุบัน
ผู้คนมักกล่าวว่าไม่มีใครสามารถย้อนอดีตไปแก้ไขเรื่องราวเลวร้ายได้ ไม่ผิด…ยามนี้เขาได้ทำปัจจุบันให้ดีเพื่อลบล้างอดีตนั้นแล้ว…
หนึ่งชั่วยามต่อมา
...หมดสิ้นไม่เหลือใคร...ตายกันหมดแล้วข้าจะอยู่ต่อไปทำไม
...ชีวิตข้าไม่มีผู้ใดให้พึ่งพิงแล้ว ท่านแม่ ฮึก ฮื่อ...ท่านพี่
เสวียนหนี่ร้องไห้อย่างหนักจนร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรงของนางเริ่มอ่อนแรงลง นางสะอื้นไห้หายใจติดขัด จู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีก้อนบางอย่างจุกอยู่ที่อกจนทำให้รู้สึกหายใจลำบาก และแล้วเสวียนหนี่ก็ค่อย ๆ ล้มตัวลงนอนอย่างเหนื่อยล้า
....ตรอมใจ หดหู่ สิ้นหวังทุกข์ทรมาน
ดวงตาที่ครั้งหนึ่งเคยส่องประกายงดงามมองขึ้นไปบนท้องนภา ก่อนจะปิดเปลือกตาลงช้า ๆ เกล็ดน้ำตาร่วงหล่นอาบบริเวณขมับ นึกถึงช่วงเวลาสุดท้ายที่เคยได้ยิ้มได้หัวเราะกับมารดาและพี่ชายก็แย้มยิ้มออกมาอย่างเศร้าสร้อย อยากปล่อยให้ทุกสิ่งนิ่งสงบไป แม้กระทั่งลมหายใจแต่ละเฮือกก็แผ่วเบาเต็มที
เหตุใดวันนี้ท้องฟ้าสีหม่นนักล่ะ...รับรู้ความเสียใจของข้าใช่หรือไม่...
หรือนี่จะเป็นชะตากรรมของข้าแล้ว
ท่านแม่...ท่านพี่ รอข้าก่อน
ปลายยามซื่อ
เอิ้กกกกกก
เสียงเรอดังข่มผืนป่า นี่คือเสียงของตาแก่ขี้เมาที่เพิ่งจะลืมตาตื่นเอายามซื่อ หลังจากที่ได้นำรถเข็นเข้ามาหาตัดไม้ในป่าตั้งแต่เมื่อวาน จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่ได้กลับออกไป สาเหตุเนื่องมาจากเมาไม่ได้สติหาทางกลับออกไปไม่ได้ จนต้องอาศัยผืนป่าพงไพรใช้เป็นที่หลับนอนตลอดคืน เขาหรี่ตามองทางคดเคี้ยวเบื้องหน้าแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงงัวเงียของคนเพิ่งตื่น
"ข้าไม่น่าเอาสุรามาดื่มด้วยเลย เหอะ! ดูทีจะเสียการเสียงานเสียแล้ว"
เจี่ยนถานถานหรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่าตาแก่ถาน อายุห้าสิบหนาว ลักษณะท่าทางซกมกเอาการ หนวดเครารกรุงรัง เนื้อตัวมอมแมมเต็มไปด้วยคราบขี้เถ้าฝุ่น มิหนำซ้ำกลิ่นสุราผสมกับกลิ่นเหงื่อยังเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ไม่ว่าจะย่างกายไปที่ใดกลิ่นเหม็นสาบมักจะไปก่อนตัวเสมอ ชายอาภรณ์ที่สวมใส่ขาดรุ่งริ่งราวกับว่าคลำเอาผ้าขี้ริ้วมานุ่งห่มแทนผ้า ตาแก่ผู้นี้มีอาชีพเผาถ่านขายเลี้ยงชีพ แต่เงินที่หามาได้แทบจะไม่พอยาไส้อะไรเลยสาเหตุเพราะเขาเอาไปซื้อสุรามาดื่มเสียหมด ชีวิตของเขาไร้ญาติขาดมิตรหากินไปวัน ๆ ค่ำไหนก็นอนนั่น ไม่มีแม้แต่ที่พักพิงที่เหมาะสม ที่อยู่คุ้มกะลาหัวยามนี้ยังเป็นเพียงเพิงมุงฟางที่ฝนสาดเทง่ายดาย
ถึงร่างกายของถานถานจะผอมแห้ง ทว่าในยามที่เขาไม่เมามายกลับมีกำลังมหาศาล แทบไม่น่าเชื่อว่าตาแก่ท่าทางขี้โรคคนนี้จะสามารถล้มต้นไม้ใหญ่ได้ในเวลาไม่ถึงชั่วยามด้วยขวานอันเดียว
หากไม่ใช่เพราะแสงแดดยามซื่อแยงตา เขาก็คงหลับใหลฝันหวานอยู่ตรงนี้ไปอีกนาน หลังจากตื่นขึ้นมาท้องของเขาก็เริ่มส่งเสียงเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าต้องการอาหารมาประทัง เจี่ยนถานถานอ้าปากหาวเป็นครั้งที่สามก่อนจะดึงเอารถเข็นเดินโซซัดโซเซไปยังเส้นทางที่เขาเคยใช้สัญจรเป็นประจำ
เมื่อวานนี้เขาตั้งใจไว้เป็นมั่นเหมาะว่าจะเข้าป่าเพื่อตัดไม้ไปเผาถ่าน แต่เมื่อได้มาถึงในป่าแล้วเขาก็เอาแต่กระดกสุราที่พกมาลงคอเป็นว่าเล่น จนหลายชั่วยามผ่านไปแม้แต่กิ่งไม้สักกิ่งก็ไม่ได้ติดมือมา
ตาแก่ถานเดินมาได้ประมาณสี่ลี้ เขาชะงักเท้าเมื่อสายตาสะดุดเข้ากับร่างหนึ่งที่นอนอยู่กับพื้นเบื้องหน้า ในตอนแรกถานถานเดินวกวนสำรวจดูก่อน หลังพิจารณาอยู่นานเห็นร่างผู้หญิงไม่ไหวติง เขาจึงเดินเข้าไปใกล้ และแล้วก็สะดุดตากับกำไลหยกที่เจ้าของร่างสวมอยู่จึงบังเกิดความคิดชั่ว เพราะกำไลนั่นช่างงดงามล่อตาล่อใจเขาเสียเหลือเกิน
"ผู้หญิงที่ไหนมานอนในป่า"
ชั่วขณะหนึ่ง ความคิดบางอย่างได้บังเกิด ถานถานยกยิ้มมุมปาก ลูบเคราสีหงอกของตนเอง ดวงตาเป็นประกายฉายแววเจ้าเล่ห์ จากนั้นยื่นนิ้วชี้ออกไปสำรวจใต้จมูกรั้น พบว่าคนที่นอนอยู่ไม่หายใจแล้วก็ดีใจยกใหญ่
"คนตายแล้วไม่จำเป็นต้องใช้ของพวกนี้หรอก เช่นนั้นข้าขอเถอะนะแม่นาง ช่างโชคดีเสียจริง เข้าป่าวันนี้ไม่ได้ฟืนแต่ได้กำไลหยกไปขาย ฮ่า ๆ"
เขายื่นมือออกไปหมายจะถอดเอากำไลหยกเพื่อที่จะเอาไปขายต่อ ทันใดนั้นมือเย็นเฉียบของเจ้าของร่างก็กำหมับที่แขนเขาอย่างรวดเร็ว
"ว้ากกกกก"
ตาแก่ถานตะโกนลั่นป่า ร่างผอมโซสะดุ้งโหยงรีบถอยออกไปตั้งหลักหลังต้นไม้ แล้วชะโงกหน้าออกมามองเป็นครั้งคราว
หญิงสาวที่เขาคิดว่านางตายแล้วดีดกายขึ้นมานั่งหลังตรงทำหน้ามึนงง นางทอดมองไปรอบ ๆ จนสายตาของนางมาหยุดอยู่ที่เขา เมื่อนางมองหน้าเขาถนัดตาก็ตกใจกับใบหน้าดำ
เมี่ยมเปื้อนขี้เถ้า จึงส่งเสียงร้องดังลั่นผืนป่าเช่นกันว้ากกกกกก
ชายแก่เองก็ตกใจไม่แพ้กัน พอได้ยินเสียงนางเขาก็แหกปากร้องตาม จนเวลาผ่านไประยะหนึ่งหญิงสาวจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
"ใคร ใครน่ะ ออกมานะ"
"ขะ ข้าไม่ได้ขโมยนะ ไม่ได้ขโมยอะไรทั้งสิ้น ไม่ได้อยากได้กำไลนั่นเลยสักนิดเดียว"
"ตาแก่นี่ใครกัน เขาคอสเพลย์เป็นยาจกอยู่รึไง อืม…เหมือนยันกลิ่น เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นหุ้นส่วนปลอมตัวมาสังเกตการณ์"
...พูดอะไรของนางท่าทางจะสติไม่ดี ถานถานนึกในใจ
"นี่ เจ้ามานอนเล่นอะไรตรงนี้"
"นอนเล่น?"
…นั่นนะสิ ครั้งสุดท้ายที่จำความได้คือกำลังนั่งทำงานจนรุ่งสาง แล้วทำไมถึงมาอยู่ในป่าได้ หรือว่าเผลอหลับจึงฝันไป
"แม่นาง เจ้าเป็นใคร"
…เอ๋ คำพูดคำจาฟังดูโบราณเสียจริง หุ้นส่วนต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ
"...ถ้าเจ้าไม่เป็นอะไรแล้วข้าไปล่ะนะ"
"เดี๋ยวก่อน!"
จดหมายจากทางไกล (จบ)“ฮูหยินเจ้าคะเมื่อเช้านี้คนเฝ้าประตูหุบเขานำจดหมายและของมาฝากให้ฮูหยินเจ้าค่ะ บอกว่าได้มาจากขบวนพ่อค้าผ่านทาง”สาวใช้วางจดหมายไว้บนโต๊ะแล้วก็เดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ ข้างจดหมายนั้นยังมีกล่องไม้ขนาดไม่ใหญ่มากเสวียนหนี่เปิดกล่องไม้ดูข้างในพบว่าเป็นผ้าบุหนาพันห่อบางสิ่งไว้อย่างดี สัมผัสยังชุ่มชื้นคล้ายกับว่ามีการพรมน้ำไว้ตลอดเวลา เมื่อนางเปิดผ้าห่อออกเห็นว่าสิ่งของข้างในคือกิ่งพันธุ์ของพืชชนิดหนึ่งจึงรีบคลี่จดหมายออกดู เนื้อความข้างในจดหมายได้เขียนบรรยายไว้ว่า…ข้าถึงแคว้นฉินอย่างปลอดภัยแล้วระหว่างทางมาแคว้นฉินข้าได้รู้จักกับพ่อค้าผู้หนึ่ง เขามีโรงย้อมอยู่ในเขตอำเภอเล็ก ๆ และได้รับข้าเข้าทำงานที่โรงย้อม หวังว่าจากนี้ชีวิตของข้าจะพบกับความสงบสุขอย่างที่เจ้าเคยกล่าวไว้ สิ่งที่ข้าฝากมาในกล่องคือกิ่งพันธุ์ฝูเถาพืชชนิดนี้ที่แคว้นฉินมีราคาแพงมาก เจ้าชอบเพาะปลูก ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะพึงพอใจข้าซื้อกิ
ปรารถนาให้ดอกไม้งามได้ผลิบาน“ข้าหวังเพียงว่าจากนี้ไปเจ้าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างดีและมีความสุข ไม่ใช่แค่เจ้าที่คิดว่าข้าเป็นเหมือนคนในครอบครัวแต่ข้าเองก็คิดอย่างนั้น…ข้าอยากเห็นเจ้ามีความสุข”คำพูดคำจาของถานถานฟังแล้วต่างจากเดิมมาก เขาไม่ใช่ตาแก่ไร้สาระของนางอีกต่อไปแล้วเขาพูดสิ่งดี ๆ เพื่อคนอื่นก็เป็นเช่นกันแต่น้อยครั้งนักที่ถานถานจะเอ่ยวาจาได้ตรงกับใจอย่างนี้ส่วนมากเขามักจะเฉไฉและวางท่าคิดอย่างไรก็ไม่เคยแสดงออกอย่างเปิดเผย"แล้วเจ้าเด็กวุ่นวายนั่น""หมายถึงเพียนเพียนน่ะหรือเจ้าคะ อย่าห่วงเลย ตอนนี้ได้คุณหนูฟางจิงดูแลคุณหนูทั้งสอนหนังสือและเรื่องต่าง ๆ ให้นางอย่างดี เพียนเพียนจะต้องเติบโตได้ดีแน่เอาไว้ว่าง ๆ ข้าจะพานางไปเยี่ยมเยือนท่านที่ไร่นะเจ้าคะ" "อืมงั้นข้าไปละนะ ข้างในนี้ต้องเป็นของดีแน่ ๆ คิดแล้วน้ำลายไหล"เขาชูถุงผ้าขึ้นพลางหัวเราะร่า
คำขอร้องของหลีเหว่ยไม่จำเป็นต้องหลบหลังพุ่มไม้อีกต่อไปแล้วครั้งนี้เขาเดินอย่างองอาจเข้าไปในเรือน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าฟางจิงจึงได้หันกลับมามองยังต้นเสียงเห็นว่าคนที่มาคือหลีเหว่ยนางก็เกิดความสงสัยเป็นอย่างมากวันสำคัญเช่นนี้เขาควรจะเฉลิมฉลองอยู่ที่เรือนหลักกับคนอื่น ๆ นานแล้วที่นางและเขาไม่ได้เจอกันเลย ครั้งล่าสุดเห็นจะเป็นตอนที่ปิดล้อมจับห่าวอู๋ แต่ก็แค่เห็นผ่านตาเพียงเท่านั้นไม่ได้มีการพูดคุยกันสักครึ่งคำก่อนที่ฟางจิงจะถูกรถม้าทับเขาและนางมีความสนิทสนมกันที่สุดแทบจะเรียกได้ว่าสนิมเทียบเท่าผู้เป็นพี่ชายแท้ ๆหลังจากที่อี้เฉินถูกส่งให้ไปศึกษาที่สำนักศึกษาตี้จิวแล้วหลีเหว่ยก็ติดตามไปเป็นสหายร่วมเรียนฟางจิงและเขาก็ค่อย ๆ ห่างเหินกันไปตามกาลเวลาพอสำเร็จการศึกษาหวนคืนหุบเขานางก็ตีตัวออกหากเขาไปเรื่อย ๆไม่สนิทสนมอย่างเดิมแล้วจนปัจจุบันเหมือนคนเคยคุ้นที่อาศัยร่วมจวนเดียวกัน“นานมาแล้วที่ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน วัน
คำตอบของอี้เฉิน“ไปหาเจี่ยนถานถานมาเป็นอย่างไรบ้าง" อี้เฉินถามคำพูดของพ่อค้าสองคนนั้นยังก้องอยู่ในหู เสวียนหนี่จึงยังไม่ทันได้ฟังที่เขาพูด นางเอาแต่นั่งเหม่อลอยใช้ตะเกียบเขี่ยเส้นบะหมี่วนอยู่ในชาม พอเห็นว่าอีกคนไม่ตอบคำถามเขาจึงเรียกชื่อนางซ้ำให้ดังขึ้น“เสวียนหนี่”“เจ้าคะ”หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยเงยหน้ามองบุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน“ไม่หิวหรือ"“อ๋อข้ายังไม่หิวเจ้าค่ะ”“อย่างนี้นี่เองเช่นนั้นเรากลับจวนกันเถอะ”กลับถึงจวนตระกูลหงก็ใกล้ตะวันตกดิน ที่ศาลาเห็นหลีเหว่ยและโม่โฉวกำลังนั่งเล่นหมากล้อม พวกเขาได้ลุกขึ้นยืนมองมาทางเสวียนหนี่และอี้เฉินด้วยแววตาสงสัยคาดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้เห็นทั้งคู่เดินเคียงกันมา"กลับมาแล้วหรือขอรับ"หลีเหว่ยทักทาย ประมุขหนุ่มมองตอบเพียงเท่านั้นแล้วเดินตรงเข้าไปในเรือน“เจ้ายังไม่กลับเรือนกุ้ยเ
เกิดอะไรกับห่าวอู๋สีหน้าของฟางจิงดูสลดลงโม่โฉวบอกกับอี้เฉินว่าความพิการทางร่างกายของนางไม่ได้หนักหนา สิ่งที่ทำให้นางยังไม่สามารถลุกขึ้นมายืนหยัดได้นั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตใจไม่ว่าพี่ชายจะเสาะแสวงหาแพทย์ที่เก่งกาจเพียงใดมารักษาก็ไม่เป็นผลฟางจิงไม่ให้ความร่วมมือนางหวาดกลัวที่จะลุกขึ้นเดินอีกครั้งเสียงเย้ยหยันของผู้คนในอดีตที่ผ่านมาทำให้นางไม่กล้าลุกขึ้นสู้นางกลัวความผิดพลาดกลัวว่าหากลุกขึ้นมาใหม่แล้วต้องล้มลงไปอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็จะต้องอับอาย"รักษาเถิดกลัวไปไยพี่จะคอยอยู่ข้าง ๆ เจ้าเอง""...ข้าใช้ชีวิตเช่นนี้ก็พอใจดีอยู่แล้ววันนี้ข้ารู้สึกเวียนหัวขอตัวพักเอาแรงสักงีบ"ทุกครั้งที่พูดเรื่องบำบัดรักษาฟางจิงก็มักจะเลี่ยงตลอดอี้เฉินเองก็อ่อนใจเต็มทีเขามองตามร่างของน้องสาวที่เคลื่อนรถเข็นเข้าไปในเรือนแล้วถอนหายใจกลัดกลุ้ม ไม่รู้ว่าในระหว่างที่เขามองตามฟางจิงอยู่นั้นเสวียนหนี่เดินมาทางด้านหลังเขาตั
ส่งซูหนี่“พี่สาวเจ้ามาลาข้าแล้ว”เมื่อวานนี้ซูหนี่ได้เข้ามาหาเขา แล้วก็แสดงเจตนาว่าอยากออกจากหุบเขา ดังนั้นอี้เฉินจึงพูดขึ้นเพื่ออยากรู้ว่าเสวียนหนี่ทราบเรื่องนี้แล้วหรือยัง พอได้ฟังนางแสดงสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที“ข้าไม่ได้ไล่นางไปนะเจ้าคะ แล้วก็ไม่ได้ตีนางด้วย”“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าเจ้าไล่หรือตีนางเสียหน่อย”ท่าทางรีบร้อนแก้ต่างให้ตนเองของนางทำให้ดูลุกลนจนเกินไปอี้เฉินทำหน้าเหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็กแล้วพูดต่อ“แต่ถึงเจ้าไม่ไล่ข้าก็ไล่นางออกไปอยู่ดี”หญิงสาวพูดไม่ออกเดิมทีอี้เฉินก็ไม่ไว้หน้าผู้ใดอยู่แล้วยิ่งเป็นซูหนี่ที่เคยอยู่ฝ่ายเดียวกันกับห่าวอู๋มาก่อนก็ไม่ต้องคาดหวังว่าเขาจะไว้ไมตรีด้วยความที่ชายหนุ่มมองคนขาดตั้งแต่แรกเริ่มจึงไม่ได้ให้ความเชื่ออกเชื่อใจใครโดยง่ายหากไม่คาดหวังก็จะไม่ผิดหวังเขาเชื่ออย่างนั้นเป็นมิตรได้วันหนึ่งก็อาจเปลี่ยนไปเป็นศัตรู หรือบางรายเป็นศ