ตาแก่เจ้าเล่ห์
"มีอะไรอีกล่ะแม่นาง"
"คุณไม่ใช่หุ้นส่วนหรอกหรือคะ"
"หุ้นส่วนอะไรของเจ้าข้าไม่เข้าใจ ข้าแค่มาตัดไม้ไปเผาถ่านขายก็เท่านั้น ว่าแต่เจ้าเถอะ มาอยู่ในป่าได้อย่างไร"
"...ข้ามาได้อย่างไร"
เสวียนหนี่ครุ่นคิด เจ้าของธุรกิจร้านอาหารชื่อดังที่ประสบความสำเร็จจนขยายสาขามากกว่ายี่สิบสาขา และกำลังจ่อคิวขยายสาขาเพิ่มอีกสามแห่ง หญิงสาวทุ่มเทแรงกายและแรงใจในการดำเนินธุรกิจนี้เป็นอย่างมาก
ครั้นเมื่อถึงยามสรุปผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของปี เสวียนหนี่นั่งตรวจตราเอกสารด้วยตนเอง ในขณะที่ยังนั่งจดจ่อคำนวณรายรับของกิจการที่โต๊ะทำงานจู่ ๆ ก็รู้สึกง่วงซึม สาเหตุเพราะทำงานหามรุ่งหามค่ำร่างกายเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย แต่ก็ไม่ยอมพักผ่อนเลยสักงีบถึงเจ็ดวันเต็ม
หรืออาจจะเป็นเพราะหักโหมจนเกินไปจึงทำให้หมดสติ เช่นนั้นชายแก่ที่อยู่ตรงหน้าก็คงจะเป็นคนในความฝัน
ฉู่เสวียนหนี่นึกได้ก็รีบหยิกแขนตนเองเพื่อทดสอบว่าความฝันหรือเรื่องจริง ทว่ากลับเจ็บแปลบจนต้องหลุดปากร้องออกมา"อู้ย เจ็บ ๆ ความจริง นี่มันความจริง...อย่าบอกนะว่าทะลุมิติเข้ามาในยุคโบราณ เหลือเชื่อเกินไปแล้ว...จะกลับไปได้ยังไงละเนี่ย"
ตาแก่ถานเอียงคอมองนางแล้วลงความเห็นว่าแม่นางผู้นี้พิลึกนักหนา เขาเดินวนรอบตัวนางไปรอบ ๆ พลางสำรวจไปด้วยว่านางคือคนดีหรือคนบ้า
อาภรณ์ชั้นดี เครื่องประดับราคาแพง หน้าตางดงามประหนึ่งเทพธิดาบุปผา...แต่ท่าทางของนางนั้นตีความได้อย่างเดียวเลย วิปลาสชัด ๆ
"ตกลงเจ้าจะให้ข้าไปได้หรือยัง"
"ยัง!"
"หา อะไรอีกเล่า"
"ท่านว่าข้าเป็นใคร?"
"ถามประหลาดนัก ข้าจะไปรู้กับเจ้ารึ แต่ดูจากการแต่งกายแล้วละก็...ข้าว่าเจ้าน่าจะเป็นลูกคุณหนูตระกูลใดตระกูลหนึ่ง"
เจี่ยนถานถานพูดออกมาไม่เต็มเสียง เพราะในหัวของเขาตอนนี้กำลังบังเกิดความคิดหนึ่ง ตาแก่เจ้าเล่ห์แอบหันไปลอบยิ้ม เขาคิดว่าหากนำแม่นางวิปลาสผู้นี้ส่งกลับตระกูลของนางอย่างปลอดภัย ตัวเขาก็จะต้องได้ค่าตอบแทนอย่างงาม เขาตีความว่านางเป็นคนบ้าไปเสียแล้ว การที่คนสติไม่ดีเดินเร่ร่อนออกจากบ้านแล้วพลัดหลงเป็นเรื่องปกติ หน้าที่จากนี้ของเขาคือตามหาบ้านนางให้เจอ แล้วเรียกร้องเอาเงินทดแทนสักสิบตำลึงเงิน
ถึงแม้ว่าถานถานจะเจ้าเล่ห์เพทุบายเพียงใด นับว่าฉู่เสวียนหนี่ยังโชคดีอยู่มากที่เขาไม่ใช่พวกหลอกกินเต้าหู้* การได้มาพบเจอกับถานถานนั้นคือชะตาลิขิต แต่โชคชะตาจะดีหรือร้ายนั้นเสวียนหนี่ไม่อาจรู้ได้เลย
แน่นอนว่าหากถานถานมีความประสงค์จะพานางกลับจวนตระกูลฉู่ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ เพราะหากนางได้กลับไปทหารพวกนั้นจะสังหารนางในทันที แต่ถานถานเขาจะไปรู้อะไรกัน เขาเมาหลับในป่าไม่ได้กลับออกไปตั้งแต่เมื่อวาน ข่าวคราวเรื่องปราบกบฏซีฮันยังไม่เข้าหูเขาสักประโยค
"เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เจ้าไปกับข้า ข้าจะพาเจ้าไปส่งบ้าน เป็นเพราะข้าสงสารผู้หญิงตัวคนเดียวที่เดินหลงอยู่กลางป่าหรอกนะ ข้าเองก็เป็นคนจิตใจดีเสียด้วยสิ"
"...กลับบ้านงั้นหรือ"
เสวียนหนี่พึมพำ อันที่จริงก็เห็นด้วยกับเขา หากเจ้าของร่างนี้เป็นคุณหนูตระกูลใดตระกูลหนึ่งอย่างที่ถานถานบอก ชีวิตใหม่ในโลกนี้คงไม่ขัดสนนัก เผลอ ๆ อาจได้อยู่อย่างสุขสบายไม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำอย่างในโลกปัจจุบัน
จะว่าไปเส้นทางธุรกิจร้านอาหารของหญิงสาวค่อนข้างรุ่งโรจน์เลยทีเดียว เสวียนหนี่กำลังมีชื่อเสียงและไปได้ดีในสายอาชีพ สามารถสร้างชื่อเสียงให้ตนเองในฐานะนักธุรกิจดาวรุ่งอายุน้อยด้วยวัยยี่สิบสามหนาว อีกทั้งเงินทองที่หามาได้ก็ล้นเหลือเกินพอ โชคร้ายที่หาแทบตายแต่ดันมาตายจริงแล้วไม่มีโอกาสได้ใช้
"ตกลงจะไปกับข้าหรือไม่ เดินออกไปจากป่านี้ก็คงพลบค่ำพอดี กลางป่ากลางเขาคนไม่ชำนาญอาจมีอันตรายได้นะ อยู่คนเดียวแบบนี้ไม่ดีหรอก"
เขาใช้วาจาหว่านล้อมให้นางคล้อยตาม เสวียนหนี่ที่ยังไม่ได้รับความทรงจำของเจ้าของร่างก็เห็นด้วยกับเขา นางไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังจะกลับไปหาความทุกข์ยากลำบาก
"ตกลง ว่าแต่ท่านมีนามว่าอย่างไร"
"เรียกข้าว่าตาแก่ถานเหมือนคนอื่นเถอะ"
"ข้าเสวียนหนี่"
ความโชคร้ายของเสวียนหนี่ยังไม่หมดเท่านั้น เพราะเธอดันมีชื่อเดียวกับเจ้าของร่าง ถานถานคิดว่าหากนางยังพอจะจดจำชื่อเสียงเรียงนามตนเองได้ก็เป็นเรื่องดีสำหรับเขา จะได้สืบหาบ้านให้นางแล้วเรียกร้องเอาเงินตอบแทนง่ายขึ้น
ตาแก่หัวเราะหึ ๆ ในลำคอก่อนจะหมุนตัวเดินนำหน้าให้หญิงสาวเดินตามหลัง กลิ่นสาบสุราที่ลอยมาทำให้เสวียนหนี่ต้องย่นจมูก นางยกนิ้วขึ้นมาอังใต้จมูกตนเองแล้วถามต่อ
"ตาแก่ถาน เราต้องเดินอีกไกลเท่าไรเจ้าคะ"
"อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว พอไปถึงเจ้าต้องไปพักที่บ้านข้าก่อน เอาไว้วันรุ่งขึ้นข้าจะช่วยตามหาครอบครัวให้"
"เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ"
เมื่อถึงปลายยามโหย่ว ทั้งสองก็ได้มาถึงกระท่อมหลังน้อยที่ตั้งอยู่ห่างจากแหล่งชุมชนราวสิบลี้ เสวียนหนี่ยืนมองกระท่อมผุพังด้วยสายตาตกตะลึง ชวนให้นางคิดถึงสมัยเมื่อตอนเป็นเด็ก
ครอบครัวของเสวียนหนี่ยากจนมากนัก ฉะนั้นจึงตั้งใจขยันเล่าเรียน ในขณะที่เรียนอยู่ก็หางานพิเศษทำไปด้วยเพื่อเป็นค่าเทอม เมื่อจบการศึกษาเข้าทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งจึงมีเงินเก็บสามารถนำมาลงทุนเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ แรกเริ่มเปิดกิจการเสวียนหนี่ทำเองทั้งหมด ตั้งแต่รับหน้าที่เป็นแม่ครัว เด็กล้างจาน บริกรร้าน พอร้านอาหารไปได้ดีมีผลกำไรก็ขยายกิจการเติบโตมาเรื่อย ๆ จนสามารถกำความสำเร็จเอาไว้ในกำมือ
กระท่อมเพิงพักตรงหน้านั้นมุงด้วยฟางข้าว ด้านข้างกระท่อมห่างออกไปห้าสิบก้าวมีเตาดินที่ใช้สำหรับเผาถ่านสองเตาใหญ่ ๆ ตาแก่ถานเห็นหญิงสาวหยุดยืนมองรอบ ๆ อย่างคนช่างสังเกตเขาจึงร้องเรียกนางให้มาจิบน้ำชาให้ชุ่มคอเสียก่อน
"แม่นางมานี่สิ เอานี่น้ำชา อยู่ที่นี่ไม่มีชาดีเหมือนที่เจ้าเคยดื่มหรอกนะ"
"ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าเคยดื่มชาดี"
"เฮ้อะ ข้าก็เดาเอานะสิ แค่ดูกำไลหยกที่เจ้าสวมอยู่ข้าก็รู้แล้ว เพราะข้าเป็นตาแก่ที่เฉลียวฉลาดอย่างไรเล่า"
"กำไลหยก?"
นึกย้อนไปถึงตอนที่เจอชายแก่ผู้นี้ครั้งแรก คลับคล้ายคลับคลาว่าเขากำลังพยายามจะถอดกำไลหยกนี่ออกจากข้อมือของนาง เสวียนหนี่หรี่ตามองถานถานอย่างเข้าใจลึกซึ้ง นางยกยิ้มมุมปากแล้วยกแขนข้างที่มีกำไลหยกมาชื่นชม
"งามจริงดังว่า มิน่าล่ะ"
"มิน่าอะไร"
"ไม่มีอะไร"
"เช่นนั้นข้าไปอาบน้ำก่อน ไม่ได้อาบแค่ไม่กี่เดือนเองทำไมมันคันนักนะ"
นิ้วมือหยาบกร้านเกามั่วซั่วไปตามแขนและขา เสวียน
หนี่ถึงกับกุมขมับ เขาไม่ได้อาบน้ำมาหลายเดือนแล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตาแก่ถานถึงเนื้อตัวเหม็นสาบนักเมื่อถานถานแยกตัวมาแล้ว เสวียนหนี่ได้เดินตามเขาด้านหลังมาเงียบ ๆ ด้านหลังกระท่อมมีบ่อน้ำธรรมชาติอยู่ไม่ไกล นางไม่ได้ตั้งใจจะแอบมอง แต่เพราะลางสังหรณ์บางอย่างทำให้นางไม่ค่อยเชื่อใจ แค่คิดว่าเขาจะขโมยกำไลข้อมือจากศพที่ตัวยังไม่ทันจะเย็น เสวียนหนี่ก็มองออกแล้วว่าถานถานโลภมากเพียงใด เป็นเพราะนางไม่มีทางเลือกมากนักถึงกล้าเสี่ยงติดตามเขามา โลกนี้กับโลกที่นางอยู่แตกต่างกันลิบลับ เมื่อต้องมาโผล่ดินแดนที่ไม่คุ้นชิน หากมีทางใดที่จะสามารถเอาตัวรอดได้นางก็ต้องรีบคว้าโอกาสไว้ ดีกว่าปล่อยให้ตนเองเดินหลงป่าไปเรื่อยแล้วหิวโหยตายอย่างทรมาน
นางเฝ้ามองตาแก่ถานที่กำลังลงอาบน้ำในบ่ออยู่หลังพุ่มไม้ กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งเค่อเสวียนหนี่เห็นว่าไม่มีอะไรน่าสงสัยจึงเตรียมจะย่องกลับ
แต่แล้วท่ามกลางแสงจันทราที่สาดส่องลงมา ทำให้นางมองเห็นแผ่นหลังของถานถานชัดเจน เห็นรอยแผลเป็นขนาดครึ่งฝ่ามือที่แผ่นหลังฝั่งซ้ายของเขาดูคุ้นตา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด พอคิดบางอย่างออกรอยยิ้มร้ายก็ปรากฏขึ้น
เช้าวันรุ่งขึ้น
ที่กระท่อมของถานถานไม่มีสิ่งใดที่สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้ เขาไม่รู้จักการปลูกผักหรือเลี้ยงสัตว์ ยามหิวก็แค่เดินเข้าป่าไปล่ากระต่ายหรือไก่ป่า เสวียนหนี่มองไปรอบ ๆ แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ นางรู้สึกหิวจนไส้จะขาดแต่ตาแก่ถานที่ออกมานอนนอกกระท่อมยังนอนอ้าปากส่งเสียงกรนสนั่น
"ท่าน"
หญิงสาวเขย่าตัวเขาพร้อมกับร้องเรียก ขืนรอให้เขาตื่นเองคาดว่าน่าจะเลยยามอู่ ถานถานลุกขึ้นมามองหน้านางแล้วอ้าปากหาวจนมองเข้าไปเห็นลิ้นไก่ หญิงสาวรู้สึกเอือมระอาจนต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
"ท่านตา"
"หืม...ไม่เคยมีใครเรียกข้าอย่างนี้ ฟังดูรื่นหูดี ปกติคนทั่วไปเรียกข้าว่าตาแก่ขี้เถ้า"
"...คือว่า ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ ข้าปรุงอาหารเป็น หากท่านตาพอจะมีเนื้อสัตว์หรือผักสักหน่อยข้าพอจะปรุงเป็นอาหารให้ได้"
"ไม่มีหรอก ของแบบนั้นต้องเดินเข้าป่าไปหา แต่ก็ไม่รับประกันหรอกนะว่าจะได้ติดมือมาหรือเปล่า"
"ถ้าเช่นนั้น ปกติแล้วท่านตาไปกินที่โรงเตี๊ยมหรือเจ้าคะ"
ถานถานนิ่งเงียบไปสักครู่หนึ่ง เขากำลังคิดว่าหากพานางไปที่โรงเตี๊ยมแล้วหลอกล่อให้นางเอากำไลหยกไปขายแลกอาหาร แบบนั้นดูท่าจะดี ใบหน้าเหี่ยวย่นแย้มยิ้มดวงตาเป็นประกาย เขาลุกขึ้นหยิบน้ำในถุงที่ตัดเย็บจากหนังสัตว์มาเทล้างหน้า พอจัดการธุระของตนเองเสร็จแล้วก็ตะโกนบอกเสวียนหนี่
"ไปโรงเตี๊ยมกันเถอะ ข้าเองก็ชักอยากจะกินเป็ดพะโล้แล้วล่ะสิ ฮ่า ๆ"
***พวกหลอกกินเต้าหู้ หมายถึง หลอกล่อลวนลามสตรี เปรียบสตรีเป็นเต้าหู้ที่ขาวและนุ่มนิ่ม
ตาแก่เจ้าเล่ห์"มีอะไรอีกล่ะแม่นาง""คุณไม่ใช่หุ้นส่วนหรอกหรือคะ""หุ้นส่วนอะไรของเจ้าข้าไม่เข้าใจข้าแค่มาตัดไม้ไปเผาถ่านขายก็เท่านั้นว่าแต่เจ้าเถอะมาอยู่ในป่าได้อย่างไร""...ข้ามาได้อย่างไร"เสวียนหนี่ครุ่นคิด เจ้าของธุรกิจร้านอาหารชื่อดังที่ประสบความสำเร็จจนขยายสาขามากกว่ายี่สิบสาขาและกำลังจ่อคิวขยายสาขาเพิ่มอีกสามแห่ง หญิงสาวทุ่มเทแรงกายและแรงใจในการดำเนินธุรกิจนี้เป็นอย่างมากครั้นเมื่อถึงยามสรุปผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของปีเสวียนหนี่นั่งตรวจตราเอกสารด้วยตนเองในขณะที่ยังนั่งจดจ่อคำนวณรายรับของกิจการที่โต๊ะทำงานจู่ ๆ ก็รู้สึกง่วงซึมสาเหตุเพราะทำงานหามรุ่งหามค่ำร่างกายเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย แต่ก็ไม่ยอมพักผ่อนเลยสักงีบถึงเจ็ดวันเต็มหรืออาจจะเป็นเพราะหักโหมจนเกินไปจึงทำให้หมดสติเช่นนั้นชายแก่ที่อยู่ตรงหน้าก็คงจะเป็นคนในความฝันฉู่เสวียนหนี่นึกได้ก็รีบหยิกแขนตนเองเพื่อทดสอบว่าความฝันหรือเรื่องจริงทว่ากลับเจ็บแปลบจนต
ของถูกขโมยไปแล้วเสวียนหนี่รีบเข้ามาหาถุงผ้าสีน้ำตาลในห้องนอนของซินหยางแต่ก็ไม่พบอะไรเลย ที่นางเจอคือร่องรอยการรื้อค้นอยู่ก่อนแล้วจึงเข้าใจได้ว่ามีใครบ้างคนได้เข้ามาที่นี่ก่อนนางและได้ขโมยถุงผ้าดังกล่าวไปไม่ว่าจะหาอย่างไรก็ไม่เจอเสวียนหนี่จึงรีบวิ่งกลับไปหาซินหยางทว่าเมื่อมาถึงที่ที่ซินหยางนอนบาดเจ็บก็พบร่างของมารดานอนนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาปิดสนิทไร้กระทั่งสัญญาณชีพของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เสวียนหนี่จึงรีบคลานเข้าไปกอดซินหยางไว้แน่นโหยไห้ปานจะขาดใจตายไปด้วยกันยังไม่ทันจะได้ร้องคร่ำครวญปลายดาบเล่มหนึ่งก็จ่อมาตรงหน้าพอเงยขึ้นมองเห็นว่าเป็นทหารนายหนึ่งกำลังใช้ดาบชี้มาที่นาง เขาไม่พูดพร่ำอะไรก็เตรียมตวัดดาบหมายเอาชีวิตแต่ก่อนที่ดาบคมเล่มนั้นจะได้เฉือนเนื้อหนังของนาง กลางลำตัวของทหารนายนั้นได้มีปลายดาบอีกเล่มแทงสวนทะลุจากด้านหลังเมื่อดาบถูกชักออกโลหิตสีแดงฉานพุ่งกระเซ็นอย่างสยดสยอง จากนั้นร่างของทหารก็ทรุดลงนอนตายตาเหลือกหญิงสาวอ้าปากตะลึงค้างกับภาพตรงหน้า เสียงเรียกของป๋อเหวินปลุกนา
ซูหนี่ต้องรอด...ซีฮันอ๋องถูกกำจัดแล้ว เช่นนั้นก็...ไม่นะ ท่านแม่!ฉู่เสวียนหนี่คิดในใจก่อนจะทำท่ากระโดดลงจากเกวียนคนขับเกวียนที่แม่ชีหยูถงให้ช่วยพานางหลบหนีได้หันกลับมาเห็นจังหวะที่นางกำลังจะกระโดด จึงรีบร้องห้ามปรามนางในทันที"แม่นาง แม่นางเจ้าจะลงจากเกวียนไม่ได้นะ แม่ชีหยูถงกำชับไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามให้เจ้าลงจากเกวียนเด็ดขาดจนกว่าจะถึงจุดหมาย"นางไม่ฟังที่เขาบอก ยังพยายามหาจังหวะเหมาะเพื่อที่จะกระโดดลงให้ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นคนขับเกวียนยิ่งควบล่อให้วิ่งเร็วขึ้นทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้นางกระโดดลงไปสำเร็จและเร่งความเร็วเพื่อไม่ให้ทหารที่อาจจะตามมาทันพลั่ก!แต่แล้วเสวียนหนี่ก็หาวิธีกระโดดลงจนได้ร่างของนางกระแทกกับพื้นถนนขรุขระจนเกิดบาดแผลเลือดไหลบริเวณเข่าอาภรณ์สีสะอาดที่นางสวมใส่อยู่คลุกฝุ่นมอมแมม แม้ว่านางจะเจ็บแปลบไปทั้งร่างแต่เสวียนหนี่ยังยันกายลุกขึ้นวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ก้าวทุกก้าวแฝงไ
แสร้งเป็นคนดีอะไรตอนนี้“ป๋อเหวิน เจ้ารอข้าตรงนี้กับเสวียนหนี่ก่อน ข้ามีธุระต้องไปคุยกับแม่ชีหยูถง”“ขอรับฮูหยิน เชิญท่านฮูหยินคุยธุระตามสบาย ข้าจะรออยู่ที่นี่กับเสวียนหนี่”ป๋อเหวินรับปากแล้วหันไปยิ้มให้เสวียนหนี่อย่างรู้ใจกัน เพราะต่างก็รู้กันดีว่าเมื่อลับตาท่านแม่ไปแล้ว เสวียนหนี่จะได้รับอนุญาตให้ทานขนมได้มากเท่าที่นางพอใจพี่ป๋อเหวินไม่เคยขัดใจนางเลยสักครั้ง ไม่ว่านางจะร้องขอสิ่งใดหลังจากที่ลงเขาไปแล้ว เขาก็จะจัดการหามาให้นางในครั้งถัดไปสองพี่น้องต่างมารดา หนึ่งคนสื่อสารด้วยวาจาอีกคนสื่อสารด้วยภาษามือ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังพูดคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน ราวกับว่าห้วงเวลาในวัยเยาว์ของทั้งคู่ได้หวนกลับมาอีกครั้ง...ซินหยางที่แยกตัวออกมาจากทั้งสอง ได้เดินเข้ามาหาแม่ชีหยูถงในห้องนั่งสมาธิ นางเห็นแม่ชีกำลังนั่งอยู่หน้าเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ นางจึงเข้าไปคุกเข่าสักการะเทวรูปด้วยจิตศรัทธา ก่อนจะตั้งจิตอธิษฐานอยู่นานความไม่สบายใจใดเล่าจะเท่าความห่วงหาอาลัยอาวรณ
ส่งนางไปอารามเจียวเหมยได้พาซินแสเจิ้งมาที่ห้องของเสวียนหนี่ ซินหยางที่กำลังเฝ้าดูอาการลูกน้อยอยู่ลุกขึ้นยืนมองคนทั้งสองด้วยแววตาประหลาดใจ ลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างบ่งบอกว่าเจียวเหมยไม่ได้ประสงค์ดีต่อนางสองแม่ลูกเป็นแน่ เจียวเหมยมองหน้าซินหยางวูบหนึ่งก่อนจะแสยะยิ้มอย่างสมเพชเวทนา“ฮูหยินใหญ่ ท่านอาวุโสผู้นี้คือซินแสเจิ้ง ท่านพี่อนุญาตให้ข้าพาซินแสเจิ้งมาเพื่อตรวจดูดวงชะตาเสวียนหนี่”“ตรวจดูดวงชะตา?”“เจ้าค่ะ”“ลูกข้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเมื่อวาน ร่างกายยังไม่แข็งแรงพอ ข้ายังไม่อยากให้ใครมารบกวนนางในเวลานี้”“ถ้าเสวียนหนี่ได้ตรวจดูดวงชะตา หากพบว่ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับนางเราก็จะได้หาทางแก้ไขได้ทันท่วงที อีกอย่างท่านพี่ก็อนุญาตแล้วเชิญฮูหยินถอยไปก่อนเถิด” เจียวเหมยตัดความรำคาญ“ไม่! ข้าไม่อนุญาต ซินแสผู้นี้เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด หากตรวจดูดวงชะตาให้เสวียนหนี่มั่วซั่วล่ะใครจะรับผิดชอบ เสวียนหนี่เป็นลูกสาวข
4.ไม่ปรารถนาสะใภ้ที่เป็นลูกอนุ“ใช่เจ้าค่ะ ข้าคิดว่าซูหนี่ของเราเหมาะสมกับตำแหน่งว่าที่ลูกสะใภ้ใหญ่ของซีฮันอ๋องมากที่สุดแล้วเจ้าค่ะ” เจียวเหมยเมื่อเห็นผู้เป็นสามีคล้อยตาม นางจึงเอ่ยคำพูดที่น่าเชื่อถือลงไปอีก อย่างน้อยหากบุตรสาวได้แต่งเข้าจวนอ๋องนางก็จะพลอยมีหน้ามีตาตามไปด้วย“ไม่ได้นะเจ้าคะท่านพี่!”ซินหยางแย้งขึ้น หากเปลี่ยนตัวว่าที่ลูกสะใภ้ก็เท่ากับว่าเสวียนหนี่ต้องถูกส่งตัวไปหุบเขาอูยาเป็นแน่นอน นางรู้ดีว่าผู้เป็นสามีหลงใหลในลาภยศ ไม่ได้รู้สึกรักหรือหวงแหนบุตรสาวเลยแม้แต่น้อย มีเพียงระยะหลังมานี้ที่เขามาทำดีกับพวกนางสองแม่ลูกเพราะรู้ว่าซีฮันอ๋องโปรดปรานเสวียนหนี่ถึงขั้นอยากได้มาเป็นสะใภ้“ท่านพี่ ท่านจะเปลี่ยนตัวไม่ได้เป็นอันขาด อย่าให้ลูกของเราต้องไปหุบเขาอูยาเลยนะเจ้าคะ ข้าขอร้อง... ท่านพี่ได้โปรด!”ซินหยางคลานเข่าเข้าไปกอดขาของสามีเอาไว้แน่น นางร้องไห้อ้อนวอนขอร้องเขาอย่างน่าสงสาร ในใจของนางรู้สึกเป็นห่วงลูกสาวยิ่งนัก ทว่ามู่เฉินกลับไม่ได้รู้สึกเห็นใจหรือเกิดความสงสารแม้แต่น้อย สีหน้าของเขาบึ้งตึงก่อนจะสะบัดนางออกด้วยความรำคาญ สตรีอ่อนแอและโง่เขลาอย่างซินหยางไม่คู่ควรให้เขาต้องใ