Masuk“เฮือกกก!”
.
เสียงท่านเง็กเซียนสะบัดดวงหน้าออกมาจากแท่งเสาน้ำได้อย่างฉิวเฉียด แต่ก็ยังเร็วไม่พอ
.
“ระวังขอรับท่านเง็กเซียน! อร๊ายยย! หวาดเสียว!”
.
“ฉึบ!!!”
.
“ซ่าาาาา~!”
.
จริงอย่างที่ท่านปู่ซืออี้ตะโกนลั่น แกยังอุทานไม่จบประโยคดีด้วยซ้ำ เคราสีเทาอันเงางามของท่านจักรพรรดิก็โดนมวลน้ำทั้งยวงหั่นขาดสะบั้นลงต่อหน้า! ศีรษะอาจจะดึงหลบพ้นแต่เคราดันไม่รอด ละอองเศษเส้นขนปลิวกระจุยกระจาย ทำเอาท่านเง็กเซียนถึงกับเซถลาหงายท้องล้มกองลงบนพื้น
.
“天啊 ! (เทียน นา!) เป็นยังไงบ้างขอรับท่านเง็กเซียน?”
แกรีบปรี่เข้ามาสอบถามอาการ โดยไม่สนใจใยดีน้ำในอ่างคันฉ่องธารา ที่กระเพื่อมต่ำลงจนลดระดับเหลือเพียงครึ่ง
.
"差点就完了,幸好逃过一劫.. (ช่าเตี่ยน จิ้ว หวาน เลอะ ซิ่งห่าว เถากั้ว อี้เจี๋ย)"
ฟังไม่ได้ศัพท์นักแต่แปลเป็นไทยจากท่านเง็กเซียนได้ว่า "เกือบไปแล้วสิ ดีที่รอดมาได้" ระหว่างนั้นมือของท่านก็ยังคงลูบคลึงเคราตัวเองไปด้วย ทั้งที่มันแทบไม่เหลือให้ลูบแล้ว
.
“คือท่านเง็กเซียนขอรับ.. ข้าน้อยมีบางสิ่งจะเพ็ดทูลให้ทราบ”
.
“ข้ารู้น่ะ! ข้าแค่คุ้นชินกับการลูบคางแบบนี้เฉย ๆ ข้าจะลุกขึ้นเองผู้เฒ่าอย่างเจ้าหาใช่กิจธุระ!”
.
“มิใช่ขอรับข้าหมายถึงใบหน้าของท่านต่างหาก เลือดขอรับ! โลหิตสีแดงฉานเปรอะเต็มใบหน้าท่านไปหมด! ข้าจะไปตามเทพโอสถให้เดี๋ยวนี้ รอสักประเดี๋ยวนะขอรับ"
"ข้าน้อยเตือนแล้วท่านก็มิฟัง ถึงได้บอกไงขอรับว่าอ่างคันฉ่องธารานั้นแสนจะอันตราย เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้สวรรค์เราขาดผู้นำอย่างท่านมิได้หรอกนะขอรับท่านเง็กเซียนฮ่องเต้!”
.
ปราศจากคำปดทุกชนิดจากปากเทพอาวุโสซืออี้ เพราะจากมุมมองที่แกเห็นใบหน้าของท่านเง็กเซียนก็แดงเป็นลูกตำลึงจริง ๆ กระแสน้ำวนที่โบกสะบัดคมราวกับกระบี่วารีแห่งแคว้นสุ่ยกั๋ว (水國) อาณาจักรโบราณอันมีบึงน้ำล้อมรอบครบทั้ง 8 ทิศ แต่นั่นยังมิใช่ประเด็น ใจความสำคัญของเรื่องนี้คือนั่นหาใช่โลหิตของท่านเง็กเซียนไม่!
.
หากแต่เป็นเลือดของเหล่าทหารสวรรค์ กับองครักษ์ประตูเทวา 天门守卫 (เทียนเหมิน โส่วเว่ย) ที่สละชีพปกป้องอธิปไตยบนแนวตะเข็บชายแดนลอยฟ้าแห่งนี้เอาไว้ เลือดของท่านเทพเฉิน กับ ท่านหลานเซิน ก็คงจะรวมอยู่ในนั้น "เฉิน" (晨) ในภาษาจีนแปลว่ารุ่งอรุณหรือฟ้าวันใหม่ บางทีนี่อาจจะเป็นจิตสุดท้าย เป็นการสละชีพพลีกายเพื่อให้สวรรค์ได้พบกับรุ่งอรุณ
.
ภาษากายของท่านเง็กเซียนจึงดูไม่ดีนัก เพราะภายใต้ความกล้าหาญของทหารนับร้อยกลับฉาบเคลือบข้อเท็จจริงที่ว่า เพลงยุทธ์ของพวกเขา มิสามารถต้านทานพลังปราณพิสดารของผู้รุกรานได้ และนั่นทำให้ท่านเง็กเซียนเสียพระทัยเป็นที่สุด
.
ท่านมิกล้าแม้แต่จะเช็ดเลือดที่กระเซ็นเปรอะบนหน้าตัวเองออก เทพโอสถที่กำลังจะไปตามก็ถูกห้ามมิให้เรียกมา พลันมีบัญชาให้ท่านปู่ซืออี้เรียกเทพสงครามอู่เสิ่น (武神) ที่เตรียมจะออกรบทุกองค์ ให้กลับมาที่สภากลาโหมเป็นการด่วน ห้องโถงในตำหนักจะต้องถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ศัตรูแข็งแกร่งเกินไป ขืนนำทัพบุกเข้าไปในรูปแบบเดิมก็คงไม่แคล้วสูญเสียกำลังรบ ท่านเฉิน กับ ท่านหลานเซิน จะต้องไม่ตายฟรี สวรรค์จะต้องมีกลยุทธ์ที่แยบยลซะก่อน
.
“ไปซะท่านปู่จัดการถ่ายทอดคำสั่งนี้ออกไป ข้าจะรออยู่ตรงนี้ หลักฐานบนใบหน้าข้าคือสิ่งที่พวกมันย่ำยีชาวสวรรค์อย่างเรา ข้าจะไม่ล้างออกจนกว่าเทพสงครามทุกองค์จะมาจุติ! ไป! ไปจัดการให้ข้า!”
.
เลือดขึ้นหน้าขนานแท้ เสียงตะโกนสั่งการของท่านเง็กเซียนสั่นสะท้านจนตำหนักเต้นระบำ ท้องฟ้าคลาคล่ำโครมคราม เมฆหมุนวนวูบไหว อันที่จริงไม่ต้องถึงขั้นทำหนังสือด้วยซ้ำ ปฏิญญาดังกล่าวก็ดังสะท้านเข้าไปถึงโสทประสาทเทพสงครามทุกองค์ได้อยู่แล้ว และเพียงชั่วพริบตา ณ จุดกึ่งกลางห้องโถงก็มีกลุ่มควันขนาดย่อมเกิดขึ้น มันมาพร้อมกับอินทนิลสายฟ้าส่ายยึกยือที่ไต่ระเรี่ยสยายออกมาเต็มพื้น แล้วก็..
.
“เปรี๊ยงงง!”
.
哎呀!乱说的! (ไอ้หยา! ซี้ซั๊วต่า!) ผิดคาดถนัดเพราะนั่นหาใช่พลังปราณอัสนีบาทจากเทพสายฟ้าองค์ใด หากแต่เป็นการปรากฎกายของทหารต่ำต้อยนายหนึ่งที่ได้รับบัญชามาจากฝั่งของศัตรู นี่แค่ทหารปลายแถวเป็นแค่ตัวกีกี้ประกอบฉากยังอลังการขนาดนี้ ทำเอาท่านเง็กเซียนเคราขาดกับปู่ซืออี้ถึงกับใบ้กินไปเลย
.
“เจ้าเป็นใคร? บุกเข้ามาในตำหนักของข้าได้เช่นไร!?”
จักรพรรดิสวรรค์ชันกายขึ้นแช่มช้า พลางลูบเคราที่ขาดเหลืออยู่ครึ่งเดียวของตนตามคอนเซ็ป
.
“ขอเดชะฝ่าพระบาท ข้อน้อยมิมีชื่อเสียงเรียงนามหรอก ข้าเพียงแต่ได้รับมอบหมายให้นำสาส์นนี้มาส่งถึงท่านก็เท่านั้น”
.
ท่านปู่ซื้ออี้ที่หลบอยู่หลังเก้าอี้จึงเริ่มอาศัยความเก๋า แกคิดได้ฉับพลันและเตรียมจะใช้ช่องว่างตรงนี้ร่ายเวทย์สื่อสาร เพื่อเร่งให้เทพสงครามอู่เสิ่นรีบมาปรากฏกายที่นี่ให้เร็วขึ้น
.
“ชู่วววว~! 不要吵!不要吵! ”
“บุ่ย หยู ชอล! , บุ่ย หยู ชอล! จงอย่าคิดทำเช่นนั้นเลยท่านผู้เฒ่า ข้ามาอย่างสันติครู่เดียวข้าก็จะไป กว่าทวยเทพสงครามของท่านจะแต่งองค์ทรงเครื่อง กว่าจะแบกเสื้อเกราะทองคำขึ้นอาสนะแล้วจรลีมาถึงนี่ ข้าก็ส่งสาส์นของข้าแล้วเสร็จไปแล้ว”
“อย่าให้เสียเลือดเสียเนื้อกันอีกเลย เพราะลำพังที่ชายแดนก็มีแต่เลือดของพวกท่านทั้งนั้นข้าพูดถูกไหมขอรับ..”
.
เล่นเอาเมือกเลือดบนใบหน้าเง็กเซียนจับตัวแข็งเป็นสะเก็ดเลย โดนถากถางแบบนี้เข้าไปถอดรองเท้าเกี๊ยะตบหน้ามาเลยยังจะดีซะกว่า บุรุษปริศนากล่าวถูกต้องทุกอย่าง เพราะลำพังยืนคุยกันอยู่ตั้งนาน ยังมิมีวี่แววของเทพสงครามองค์ใดจะลงมาจุติเลย
.
องค์ฮ่องเต้จึงเริ่มนั่งลงแช่มช้าบนบัลลังก์ พลางใช้ชายเสื้อที่ยาวระย้าซับหน้าซับตาของตัวเองออก เจ้าหมอนี่ดูจะแกร่งพอตัว คราวที่แล้วใช้อ่างคันฉ่องสอดแนมมองก็เห็นศัตรูอัตลักษณ์เช่นนี้เต็มไปหมด กระบวนท่าพิสดาร ปราณวรยุทธที่ไม่ใช้แม้แต่ฝ่ามือแต่กลับสยบกระบี่หลงอี้จิน (龙亦瑾) ของท่านเทพเฉินลงได้ ไม่ไหวเสี่ยงเกินไป! ประมุขสวรรค์จึงแสร้งผายมือเชิญให้เขาแถลงไขถึงเจตนาที่แท้จริงต่อไปก่อน
.
ภายใต้อาภรณ์ที่ดูทะมัดทะแมงแปลกตา ชายเสื้อเข้ารูปแนบไปกับอุรา ชายกางเกงก็ตวัดรัดน่องเรียวสูงเผยให้เห็นลำขาที่แน่นขนัดไปด้วยมัดกล้าม นี่ไม่ใช่อาภรณ์ของจอมยุทธ์หรือทวยเทพองค์ใดในพงศาวดาร การแต่งกายของชายผู้นี้คล้ายกับผู้รุกรานนับพัน ที่ท่านเง็กเซียนส่องเห็นที่ชายแดนดงสนามรบ และจุดที่สะดุดตาที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นอวัยวะเบื้องต่ำอย่างเท้า ที่บัดนี้กลับมีมวลสารบางอย่างห่อหุ้มเอาไว้
.
ประกายแสงสีม่วงอินทนิลเริ่มเปล่งประกายออกมา แฉกสายฟ้ายึกยือพร้อมกับกลุ่มควันที่คล้ายกับเมฆที่ลอยต่ำเอ่อล้นออกมาอีกครั้ง เขายังคงไม่พูดไม่จา แต่กลับเลือกที่จะใช้ท่วงท่าเหล่านี้ในการเล่าเรื่องแทน
.
ขาซ้ายเริ่มขยับขาขวายกไขว้สลับด้านพลิกไปมารวดเร็ว สะโพกพริ้วไหวสอดรับการเขยื้อน แม้จะทำอยู่กับที่แต่แฉกสายฟ้าจากใต้เท้ากลับทวีความรุนแรงมากขึ้นและมากเข้า! เสียง “เปรี๊ยะ ๆ” ดังสนั่น! พื้นตำหนักก็เริ่มสั่นทั้งยังเกิดรอยไหม้เป็นใยคล้ายรากไม้ และเพียงเสี้ยวพริบตาหลังจากนั้น จู่ ๆ ก็เหมือนกับว่าจะมีประตูมิติหรือหลุมโบ๋อะไรสักอย่างผุดขึ้นมา มันขย้อนเอาวัตถุทรงกลมที่คล้ายกับลูกหนังให้หลุดโบ๊ะออกมาด้วย
.
“พรึบ!!!”
.
ชายปริศนาใช้เท้าขวาเหยีบมันไว้แนบฝ่าเท้า มือเท้าสะเอวพลางชี้นิ้วไปยังเง็กเซียนฮ่องเต้
.
“ไอ้หมอนี่คือคนของท่านใช่ไหมขอรับ?!”
.
พูดไปพลางใช้หลังเท้างัดวัตถุทรงกลมขึ้นมาลอยเหนือพื้น เขาใช้หลังเท้าเดาะมันอยู่ราว 2 – 3 ทีก่อนจะหวดซันโวแบบโคตรแรง! ส่งลูกหนังพุ่งแหวกอากาศ ประกายสายฟ้าเปรี้ยงปร้างตรงเข้าไปที่ยอดอกของเง็กเซียนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์แบบเต็ม ๆ เป็นภาษาฟุตบอลต้องเรียกว่า "เข้าซอง" แต่ถ้าเป็นภาษาจีนต้องเรียกว่า "这是什么鬼东西 !" (เจ้อ ซื่อ เสิ่นเมอะ ตงซี!) เพราะวัตถุทรงกลมที่ตะบันเต็มข้อมานั้นแท้จริงก็คือ “ศีรษะของท่านเทพเฉิน” องครักษ์ประตูเทวาที่ท่านเง็กเซียนส่งไปชายแดนนั่นเอง!
.
“อั๊ก.. ก.. ก! , อึก.. ก.. ก! ทะ.. ท่านเฉิน..!”
ความตกพระทัยทำให้มือไม้สั่นเทาเป็นลูกนก ท่านเง็กเซียนเม้มปากกัดกรามแน่นด้วยความขุ่นแค้น
.
“ยังขอรับ ยังมีนี่ด้วย”
.
“เปรี๊ยะ!!! , เปรี๊ยะ!!! , เปรี๊ยะ!!!”
ประตูมิติสีอินทนิลม่วงมหากาฬเปิดเป็นหลุมโบ๋อีกครั้ง คราวนี้ตำแหน่งของมันมาปรากฏขึ้นตรงแถว ๆ ช่วงไหล่ของชายผู้รุกราน แล้วก็เหมือนเดิมที่จู่ ๆ ก็มีวัตถุทรงกลมอีกอันกลิ้งหลุน ๆ เด้งหลุดออกมาด้วย
.
เขาเริ่มลำเลียงลูกหนังทรงกลมดังกล่าวให้ไต่วนไปตามหัวไหล่ เขาปล่อยมันไหลผ่านหลังคอกลิ้งอ้อมมาออกที่ไหล่อีกข้าง ก่อนจะปล่อยมันลงกับพื้นแล้วก็ใช้หลังเท้าเดาะขึ้นมากลางอากาศ โหม่งต่ออีก 2 – 3 ที พลางเดินขยับตัวออกไปด้านข้าง วินาทีที่เลี้ยงเจ้าลูกกลมนี้ไว้บนหน้าผากเขาก็เหลือบมองเป้าหมายไปพร้อมกันด้วย แล้วก็..
.
“เปรี๊ยง!!!”
.
“โครมมม!”
.
ซัดใส่ขอบอ่างคันฉ่องเนตรธาราแบบเต็ม ๆ น้ำที่เหลืออยู่ครึ่งเดียวนี่ถึงกับกระฉอกแห้งออกมาเลย และหลังจากที่เจ้าลูกกลมนี้กระเด้งไปอัดกับขอบบ่อเข้า พอแสงสว่างฉาบฉายลงมาทุกคนในตำหนักถึงได้เห็นว่าแท้ที่จริงมันก็คือ “ศีรษะคอขาดของท่านเทพหลานเซินนั่นเอง!” หัวแกหมุนติ้วกลางอากาศ ดวงตาแข็งถมึงทึงตาไม่หลับ ก่อนที่ต่อมาจะหล่นจ๋อมลงไปในอ่างคันฉ่องที่แม้แต่ปู่ซืออี้ที่มีพลังปราณมั่นคงก็ยังเอาตัวไม่รอด
.
“ทะ.. ท่านหลานเซิน.. น.. น.. ท่านก็ด้วยหรือนี่โถ่เอ๊ย!”
อกแกร่งกระเพื่อมยวบยาบ ส่ายหน้าปลดปลงส่งเหล่าเทพผู้ภักดีคืนสู่สุคติ ท่านเง็กเซียนแค้นเสียยิ่งกว่าแค้น รอยยิ้มแฉล่มไม่รู้สึกรู้สาเช่นนั้นเห็นแล้วยิ่งคึกพิโรธ!
.
"อ๊าาากกก!!! , ย๊าาากกก!!!"
"ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย!"
“ตกลงเจ้าเป็นตัวอะไร! ต้องการอะไร! และใครเป็นคนส่งเจ้ามา!"
.
"แฮ่ก ๆ , แฮ่ก ๆ "
“บอกข้ามาทั้งหมดเดี๋ยวนี้! แล้วจะหาว่าข้าไม่เตือน ข้ามิเคยโดนหมิ่นศักดิ์ศรีถึงเพียงนี้มาก่อน หากเจ้าปฏิเสธล่ะก็ข้าจะหักขาเจ้าให้เป็นจุลไปถึงแกนกระดูก!”
"ย๊ากกกกกกกกก!!!"
.
ธรณีพิโรธยังน้อยเกินไป จะว่าแผ่นดินไหว 17 แมกนิจูดก็มิใกล้เคียง เห็นทีงานนี้ตำหนักไม้หอมหวงหือลี่ ( 黄花梨 ) คงต้องถึงคราวรีโนเวท หลังท่านเง็กเซียนลุกขึ้นยืนพรวดพราด แกใช้นิ้วมือจิกเส้นผมศพหัวขาดแล้วยื่นใบหน้าเทพเฉินใส่ไปยังไอ้สวะหมาส่งข่าว กระทืบส้นเท้าทีพื้นกระดานตำหนักหักกระจุย! เศษชิ้นส่วนไม้ที่งุ้มเงยขึ้นมาต่างพุ่งสวนแหวกอากาศเสยใส่กันปั่นป่วน และแน่นอนว่าหลายส่วนก็พุ่งเข้าใส่เจ้าหมอนั่นราวกับหอกโมกขศักดิ์แห่งจัตุรัสเทียนอันเหมิน
.
"เป๊งงง!"
.
เดชะบุญที่ดวงยังไม่ถึงคาด หนุ่มปริศนาเป่าปากพรูด้วยความโล่งอก หลังการจุติขึ้นฉับพลันของเหล่าทวยเทพสงครามอู่เสิ่น (武神) นับสิบชีวิต
.
ณ จุดกึ่งกลางห้องโถงเกราะเหล็กที่สวมอยู่ตรงท่อนแขนสะบัดเอาไม้แหลมออกไป หนึ่งองค์ล็อคแขนซ้าย หนึ่งองค์จับข้อมือขวา อีกองค์ประกบที่ด้านหลังพร้อมกับดาบเหล็กแหลมจ้านหุน (战魂) ที่ว่ากันว่าเป็นดาบที่กินวิญญาณของผู้วายชนม์เป็นอาหารเช้า การโบกสะบัดของผ้าคลุมไหล่สีแดงเพลิงของเหล่าเทพ บ่งบอกว่าหมอนี่จบเห่แล้ว และท่านเง็กเซียนเองก็ควรจะหยุดการพิโรธลงก่อน
.
"ขออภัยที่พวกข้ามาช้าขอรับท่านใต้เท้า"
"แต่ถ้าข้าศึกผู้นี้สิ้นชีพชีวาวายน์ไปซะก่อน เราก็จะมิได้ความใด ๆ จากเขาเลย"
"ใต้เท้าโปรดพิจารณาด้วยเถิดขอรับ.."
.
เทพสงครามท่านหนึ่งเอ่ยคำขึ้น พวกเขาอีกเจ็ดองค์ยืนอยู่รายรอบ ในขณะที่สามองค์ตรงกลางก็ยังคงล็อคตัวผู้รุกรานเอาไว้ มาช้ายังไงให้ดูเท่ห์โปรดดูเทพกลุ่มนี้เอาไว้เป็นตัวอย่าง เสื้อเกราะใหม่เอี่ยม ผ้าคลุมไหล่ปลิวไสว แถมคำพูดคำจาก็ยังคมคายราวกับผ่านการศัลยกรรมลูกกระเดือก ยังมีเทพสงครามอู่เสิ่นอีกหลายองค์กำลังตามมาสมทบ แต่ดูทรงคงไม่ต้องรอแล้วล่ะ กลัวเหลือเกินว่าท่านเง็กเซียนจะกุดหัวเจ้าหมอนั่นซะก่อน เพราะถ้ามือขวาหิ้วหัวท่านเฉินแล้วล่ะก็ มือซ้ายก็ต้องหิ้วหัวของมัน เพื่อคืนความสมดุล!
โกหกตกนรกใต้ดิน , ใครไม่รักษาคำสัตย์ต้องกลืนเข็มพันเล่ม , ให้แล้วเอาคืนมะรืนนี้ตาย ฯลฯ สารพัดถ้อยคำสาปส่งในตำนานมักจะเชื่อมโยงโลกมนุษย์เข้ากับปรภพ แล้วก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่ามักจะมีเทพองค์นั้นองค์นี้ลงมาเกี่ยวข้อง คำถามคือแล้วจางอี้เฟิงของเราล่ะ! นักบอลตำแหน่งตัวสำรองของสำนักลี่ฮือหลวงผู้นี้ เพิ่งจะเตะบอลอัดไข่กระโปกเทพกงกงไปเมื่อเช้า คิดเหรอว่าเขาจะรอดจากอาชญากรรมพวงอัณฑะนี้ไปได้ อนิจจาสาสมใจ ยังไม่ถึงครึ่งวันเคราะห์กรรมก็เห็นผล."อั๊ก! , อ่ะ! , อึ๊ก..ก..ก..ก..! , อั๊ก!""เหี้ย! เกิดอะไรขึ้นกับไข่เราวะ แม่งปวดชิบเป๋ง!""มันเหมือนมีอะไรมาบีบไข่เราไว้เป็นพัก ๆ บีบแล้วก็ปล่อย! ปล่อยแล้วก็บีบ! อู๊ยยยย!!!".กริยาบิดไปบิดมาอยู่บนเก้าอี้ช่างดูไม่สง่างาม เขาดูเหมือนกับเด็กอนุบาลที่ปวดฉี่แต่ไม่กล้ายกมือขอคุณครู หนำซ้ำยังทนอยู่ ทนต่อ แล้วก็ทนต่อไป จนกระทั่งลามมาถึงช่วงพักเที่ยง."กริ๊งงงงงง!!!! , กริ๊งงงงงง!!!!"เสียงออดพักเที่ยงดังสนั่น คุณครูเก็บเอกสารปล่อยนักเรียนไปรับประทานข้าวเที่ยง และทันใดนั้นแอลลี่ที่นั่งอยู่โต๊ะฝั่งตรงข้าม ก็ได้เร่งเดินเข้ามาหาจางอี้เฟิงเป็นคนแรก."อี้เฟิงนายเป็นอะไร
อรุณเบิกฟ้านกกาโบยบิน ในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากหลับนอนกับแอลลี่ใน Multiverse ไปหลายน้ำ ก็ถึงเวลาที่จางอี้เฟิงจะลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับการต่อสู้ในชีวิตจริงซะที เขาอาบน้ำแต่งตัวลงมาทานข้าวเช้าที่คุณแม่เตรียมไว้ให้ อาหารวันนี้ยังคงหอมกรุ่นชวนกินเช่นเคย มีหมั่นโถว่ลูกใหญ่ , ซุปหัวไชเท้า , ข้าวต้มกุ๊ยร้อน ๆ แล้วก็ขนมกรุบกรอบไว้ทานเล่นอีกมากมายหลายชนิด เห็นแล้วก็ชวนให้เจริญอาหารดีเหลือเกิน."ลูกเฟิงนั่งลงสิลูก เช้านี้แม่จัดชุดใหญ่ไว้ให้หนูเลยนะ""แม่รู้นะว่าลูกมีเรื่องไม่สบายใจ เมื่อวานก็ไม่เห็นจะกินอะไรสักคำ.."คุณแม่ตักน้ำแกงมาวางที่โต๊ะ ด้วยสีหน้าของคนเป็นห่วง."ไม่มีอะไรหรอกครับแม่ แค่นี้ผมจัดการเองได้ ผมโตแล้วนะครับ"จางอี้เฟิงตอบเสียงเรียบ เขาก็ยังเป็นเขาและไม่มีทางบอกหรอกว่าไอ้ที่ว่าแก้ปัญหาน่ะ คือการชักว่าวแบบมาราธอน!.คุณพ่อที่นั่งทานข้าวอยู่ก่อนแล้ว ก็เลยแทรกขึ้น."งั้นถ้าไม่อยากเล่า! ก่อนจะนั่งลงกินข้าวก็ยกสำรับไปไหว้เทพเตาไฟเจ้าเสิน (灶神) ท่านสักหน่อยสิ""ท่านเป็นเทพประจำบ้านผู้คอยปกป้องคุ้มครองเรา ลูกลองขอพรจากท่านดู อย่างน้อยจิตใจจะได้ผ่อนคลายลง""ถ้าสมาธิไม่ดีจะเรื่องเรียน หรื
ดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง ทำไมฟ้าถึงเห็นเขาเป็นตัวตลกเช่นนี้ เทพเซียนเบื้องบนประทานพรสวรรค์ในการเตะบอลมาให้ แต่กลับกลายเป็นเขาเองที่ทำทุกอย่างพังลงกับมือ จางอี้เฟิงวิ่งฝ่าความมืดเอานิทราบดบังราคี ดวงหน้าเขาเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจ เขาทั้งผิดหวังในตัวเอง และผิดหวังในตัวแอลลี่ เพราะไม่คิดไม่ฝันว่าเพื่อนที่สนิทกันขนาดนั้น จะกล้าทำในสิ่งที่เหมือนกับในหนัง AV ลงไปได้.แอลลี่จะทำอะไรให้พี่หลิงห่าวบ้างนะ เธอจะคุกเข่าลงแล้วถลกกางเกงพี่เขาออกใช่ไหม หรือจะเริ่มจากการค่อย ๆ ล้วงแล้วใช้ปาก อื้อหือ! ในหัวจางอี้เฟิงนี่เต็มไปด้วยฉากอีโรติค เขาอายุ 17 ยังไม่เต็ม 18 ดีด้วยซ้ำ แต่ฉากรักบำเรอกามเหล่านั้นกลับฟุ้งซ่านอยู่เต็มกบาลเต็มไปหมด ไม่ไหว ๆ ไม่เอาแล้วไม่คิดแล้ว! ทันทีที่วิ่งกลับมาถึงบ้านเจ้าตัวจึงรีบกระชากประตูรั้วออกเสียงดัง!."แกร๊งงง!!! , ครืดดด!!!".หมาเฝ้าบ้านเห่าระงม และแน่นนอนว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่นี่พุ่งเข้ามาถามไถ่ก่อนเลยเป็นอันดับแรก พวกท่านเห็นแล้วว่าท่าทางของลูกผิดปกติไป ท่วงท่างุ่นง่านไม่สนใจโลก การก้าวเดินย่างสามขุมไม่พูดไม่จา แม้ทุกคำถามจากบิดามารดาจะเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่จางอี
ต้องใช้คำว่า "เรียบร้อยโรงเรียนลี่ฮือหลวง" ได้เลย จางอี้เฟิงกลายเป็นคนที่แพ้ภัยตัวเอง ฝีเท้าของเขาไม่ได้แย่เขาคือคนที่โดดเด่นที่สุดด้วยซ้ำ แต่ด้วยวุฒิภาวะและความแข็งแกร่งของจิตใจ ก็ต้องยอมรับว่าสอบตกแบบยกกระดาน คนเป็นโค้ชเขาดูออก และเพราะแบบนั้นเจ้าตัวถึงยังมีเงาหัวอยู่ในสำนักในฐานะของตัวสำรอง เป็นคนอื่นคงโดนเฉดออกจากทีม ให้ไปแข่งกีฬาชนิดอื่นไปแล้ว.หลังผลการคัดตัวออกห้วงเวลาก็เข้าสู่ช่วงพลบค่ำพอดี เหล่านักกีฬาตัวแทนต่างก็อิดโรยเหนื่อยล้า ไม่มีใครอยากทำอะไรอีกแล้ว นอกจากรีบอาบน้ำล้างตัวแล้วก็กลับบ้านไปนอน เว้นก็แต่กลุ่มนักเตะทีมสำรอง ที่โค้ชสั่งให้อยู่เก็บของและอุปกรณ์ฝึกซ้อมต่าง ๆ หนักอึ้งจากความผิดหวังแล้ว ยังต้องมาหนักหลังยกของหนักอีก ดูท่าพวกเขาทั้ง 7 คนคงจะไม่สบอารมณ์ต่อสิ่งนี้ แล้วหัวโจกในการก่อหวอดก็ไม่ใช่ใคร จางอี้เฟิงนักเตะแห่งสายลมของเรานี่เอง."เฮ้อ! ให้มันได้อย่างงี้สิฟะ! ไปเว๊ยพวกเรารีบทำรีบเสร็จ""เอ็ง 3 คนไปช่วยกันเก็บเสาโกลล์นะ ส่วนฉันจะเก็บบอลใส่ตาข่าย""ส่วนอีก 3 คนก็กระติกน้ำ ขวดน้ำมันมวยทาขา น้ำมันหมาทาควยอะไรก็เก็บใส่คูลเลอร์ยัดรวม ๆ กันไปเลย""เหนื่อยชิบหายแต่เจ
แดดยามสายซัดเปรี๊ยงแผดเผาหนังศีรษะ เช้านี้อากาศดีไม่เบาไร้ซึ่งเค้าฝนบนฟ้าท้องฟ้าแจ่มใส โดยหารู้ไม่ว่าที่ใต้นภาดังกล่าวกำลังมีลานประลองเพลงแข้งที่เข้มข้นที่สุดในยุคสมัย "หน้ากระดานเรียง 3 หาข้าพเจ้า!" คือถ้อยคำที่เฮดโค้ชสั่งให้ลูกศิษย์วัยเจริญพันธุ์ตั้งแถว เหล่านักฟุตบอลร่วม 30 ชีวิตกรูกันออกมาจากห้องแต่งตัว วิ่งปรี่ลงสู่สนามพร้อมชุดแข่งเต็มยศ งานนี้ไม่ใครก็ใครไม่ฉันก็แกเพราะท้ายที่สุดแล้วจะเหลือแค่ 11 คนที่เป็นตัวจริงให้สำนักกีฬาลี่ฮือหลวงเท่านั้น."เยสโค้ช!"ตะเบงเสียงพร้อมเพรียงกันราวกับแม่ครัว ที่กำลังแข่งขันครัวนรก Hell Kitchen.ตบเท้าโรมรันตั้งศอกจัดระยะ ระหว่างนั้นผู้ช่วยโค้ชก็ได้นำกรวยยางขนาดเล็กไปตั้งเป็นระยะ เพื่อให้นักกีฬาได้ทดสอบการเลี้ยงบอลภายในเวลาที่กำหนด ทิศทางการเลี้ยงมีทั้งเลี้ยงไปตรง ๆ และการเลี้ยงสลับฟันปลาซิกแซ็ก เรียกได้ว่ามีแค่สปีดต้นคงไม่พอ งานนี้ผู้เข้าทดสอบจะต้องมีความพริ้วไหวจากระดับบั้นเอวลงไปด้วย ใครเป็นสายกระเด้าคงได้เปรียบ สะโพกที่ปลิดปลิวจะทำให้พวกเขาผ่านด่านนี้ได้โดยปริยาย ในขณะที่หลายคนก็ตกม้าตายเพราะดันวิ่งเร็วกว่าลูกบอลก็มี.ทั้งจางอี้เฟิงและรุ่นพ
เหลือบมองนาฬิกาหน้าปัดชี้ไปที่ตัวเลข 16.30 น. เขากินความสายเป็นอาหารเช้า ความป่วยหรือไม่สบายก็กัดกินร่างกายของนักฟุตบอลหนุ่มอนาคตไกลอย่างเขาไม่ได้ จางอี้เฟิงมาถึงห้องแต่งตัวก่อนสมาชิกคนอื่นเหมือนเช่นทุกครั้ง เขาไวสมดังชื่อ ตู้ล็อคเกอร์ประจำตัวถูกเปิดออกและจัดแจงหยิบเครื่องแบบนักเลงเพลงแข้งมาสวมใส่ ราวกับผ้ายืดพวกนี้เกิดจากเซลล์รูขุมขนเดียวกับหนังกำพร้าบนเรือนร่างของเขา.ชั่วเคี้ยวหมากแหลกทุกอย่างก็เรียบร้อย ยูนิฟอร์มพร้อมสนับแข้งบรรจุเข้าประจำที่ เปิดก่อนได้เปรียบจางอี้เฟิงแทบจะเดินลงสนามและเริ่มวอร์มอัพก่อนใคร ๆ ซึ่งกว่าเพื่อนร่วมทีมคนอื่นจะทยอยมา เขาก็น่าจะเครื่องร้อนจนนำหน้าทุกคนไปหลายพลวัต ด้วยความสัตย์จริงว่าสถานการณ์ ณ ปัจจุบันทีมฟุตบอลของสำนักลี่ฮือหลวงนั้น ยังหาผู้เล่น 11 ตัวจริงไม่ได้ มีเด็กในโรงเรียนให้เลือกมากมายแต่คนที่ใช่นี่สิ ที่จำเป็นจะต้องได้รับการเคี่ยวเข็ญจนแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจซะก่อน."เอาล่ะ! ตามกำหนดการที่โค้ชบอกวันนี้คือวันคัดตัวจริง 11 คนแรกสินะ!""เราจะพลาดไม่ได้โอกาสมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น! , สู้โว๊ยยย!""เฮ๊ยยยย!!!"."โครมมมม!"ต่อยประตูล็อคเกอร์เข้าไปเ







