ความนิ่งงันกึ่งสงนสนเท่ห์คราคร่ำไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นเทพสงครามชุดเกราะทอง เง็กเซียนฮ่องเต้หรือแม้กระทั่งผู้เฒ่าจากหออักษร ที่มักจะเคลมว่าตัวเองรู้ทุกสรรพสิ่งก็ยังทำท่าเหรอหรา ไร้ซึ่งเทวาองค์ใดจะตอบได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ครั้นจะบอกว่านี่คือกำลังภายในหรือวรยุทธไสยเวทย์ก็มิกล้าจะฟันธงลงไปได้ อาภรณ์หลักฐานยังคงกองอยู่บนพื้น เสื้อคลุมขนาดพอดีตัวหนึ่ง ผ้าเตี่ยวสำหรับเหน็บเป็นกางเกงสอง มีแม้กระทั่งปลอกสวมข้อเท้าที่ชาวสวรรค์ไร้ซึ่งคำศัพท์จะระบุอัตลักษณ์
.
เดือดร้อนไปถึงเทพสงครามองค์หนึ่ง ที่ต้องผละตัวออกจากงผนังตำหนักด้านข้าง พลันก้าวเดินเข้ามาสำรวจ
.
"หมอนี่ช่างใจกล้าบ้าบิ่นนัก ในฐานะทหารพฤติการณ์ของเขาช่างน่าเลื่อมใส คงเตรียมใจไว้แล้วว่าคงมิได้กลับเทียนซิ่งจงนายนี้คงภักดีต่อผู้เป็นนายมาก.."
พูดเสร็จก็ผละเอาเทพสงครามเจ้าของดาบจ้านหุนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ออกจากทาง ร่างหนากำลังจะก้มลงไปหยิบชุดของพลทหารส่งสาส์นขึ้นมาตรวจสอบ เพราะฉงนในความแปลกของเนื้อผ้าที่ยืดหยุ่นผิดวิสัย แต่ทว่าก็มาโดนท่านจักรพรรดิห้ามปรามเอาไว้ก่อน
.
"ช้าก่อนท่าน! ข้าว่าตอนนี้เราต้องสนใจในเรื่องการศึกก่อน เศษผ้านั่นดูจะยังมิใช่สาระ!"
"ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเซียนเฝ้าตำหนักเถอะ เพลานี้เราทุกคนควรจะไปที่สมรภูมิ ข้าอาจจะต้องบัญชาทัพด้วยตนเอง!"
"สิ่งที่หมอนี่พูดเหมือนจะมีน้ำหนักอยู่ ข้าร้อนรนเกรงว่าแคว้นอื่น ๆ นอกจากชายแดนจะโดนขนาบตี!"
.
"แสดงว่าใต้เท้าจะมิรอเทพอู่เสิ่นองค์อื่นแล้วหรือขอรับ?"
.
"ข้ารอมิได้! บางทีหน้างานอาจจะตึงมืออยู่ ท่านปู่ซืออี้เอาราชยานเมฆาออกประเดี๋ยวนี้เลย! ท่านเองก็มากับข้าด้วย!"
"เราจะเริ่มกันที่แคว้น 月华仙洲 (โหย่ฮวาเซียนโจว) หรือ “ดินแดนเซียนแสงจันทร์” ที่นั่นอยู่ติดกับแนวชายแดนมีภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูงซึ่งเป็นจุดสูงข่ม ถ้าเรายึดชัยภูมิตรงนั้นได้ก็จะได้เปรียบศัตรู ตรงกันข้ามหากเทพอู่เสิ่นที่ปกครองโหย่ฮวาเซียนโจวเพลี่ยงพล้ำ ฉากทัศน์ก็จะพลิกโฉมสงครามไปเป็นอีกด้านหนึ่ง!"
.
"รับทราบขอรับ!"
เทพอู่เสิ่นเกราะทองทั้งหมดกระทืบเท้าพลัน
.
และเพียงชั่วเสี้ยวพริบตาพวกเขาทั้งกลุ่มก็พุ่งตัวเป็นลำแสงราวกับดางหางที่พุ่งสลับทิศ! เกิดแสงเจิดจ้าขึ้นกลางตำหนัก! ดวงไฟแต่ละเส้นแหวกทะลุหลังคาขึ้นไปเป็นเส้นตรง โปร่งใส เบาบาง และรวดเร็วโคตร ๆ
.
จะมีก็แต่ท่านเง็กเซียนฮ่องเต้กับปู่ซืออี้นี่แหละที่เดินช้าเป็นเต่าเมากาว ชายเสื้อที่อีรุงตุงนังยิ่งรีบก็ยิ่งล่ก กว่าจะผลักประตูตำหนักออกไปข้างนอกได้ก็เล่นเอาเหนื่อยหอบ ใจวัยกว่าอายุและกว่าราชยานเมฆาจะแล่นมาเทียบจอด ก็ต้องกินเวลารวมตัวอยู่ช่วงหนึ่ง สวรรค์ไม่เหมือนศาลไคฟงเง็กเซียนทรนงกว่าเปาบุ้นจิ้น ที่นี่จึงไม่มีเกี้ยวหรือคนแบกหาม เทวดาต้องรอมวลเมฆจับตัวกันเป็นก้อนเอง พร้อมเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นและสาเหตุที่บางปีฝนบนโลกขาดช่วงยาวสั้น ก็เพราะชาวสวรรค์ใช้เมฆกันฟุ่มเฟือย
.
.
จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่หลังจากที่เซียนทุกตนพากันบินออกไปหมดแล้ว ตำหนักสวรรค์หวงหือลี่ ( 黄花梨 ) ที่ว่างเปล่า ก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวจากกลุ่มเซียนอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าระบบหลังบ้าน นำทีมโดยท่านเทพกงกง (共工) เทพตุ้งติ้งที่ค่อนชีวิตหมดไปกับการจัดการเหล่านางฟ้านางอัปสร อัตลักษณ์ของแกนั้นเรียกได้ว่าเฉียดฉิวการเป็นเทียนซิ่งจงได้อย่างฉิวเฉียด เพราะในการทดสอบระบบเซียนประจำปีนั้น คะแนนความสามารถของแกตกต่ำจนเกือบจะถูกขับพ้นสวรรค์อยู่รอมร่อ เดชะบุญที่ได้ปู่ซืออี้อุปการะไว้ ผนวกรวมกับการเป็นเซียนที่ชอบเจื้อยแจ้วเจรจา งานในตำหนักจึงตกเป็นของแก
.
เสียงลือเสียงเล่าอ้างที่เล่าต่อกันมานับร้อยปีระบุว่า แท้จริงแล้วเทพกงกงนั้นมีศักดิ์เป็นถึงน้องชายแท้ ๆ ของปู่ซืออี้ แต่เพราะการฝึกยุทธที่เข้มข้นหรือความประมาทเลินเล่อก็มิอาจทราบ ฟากฝั่งพี่ชายดันกลายสภาพเป็นคนแก่เพราะอ่างคันฉ่องธารา ส่วนฝั่งคนน้องก็มาสูญเสียอัณฑะไปหนึ่งข้าง จนมีสภาพวิปริตฮอร์โมนเอียงข้าง กลายร่างเป็นเทพ LGBT คนแรกของสรวงสวรรค์
.
แต่นั่นก็หาใช่สาระสำคัญของช่วงเวลานี้ หลังจากที่เหล่านางฟ้าโฉมงามพากันแตกฮือออกจากหอชำเลากาย! ด้วยความสัตย์จริงว่าสตรีเทพนั้นแม้จะมีคลื่นพลังปราณจำนวนน้อย แต่พวกเธอก็ถูกจัดว่าเป็นเทพในอีกหมวดหมู่หนึ่งเช่นกัน กล่าวคือเป็นเทพในกลุ่มบิวตี้ที่เน้นฮิลและดิลซัพพอร์ต ว่ากันว่าใครก็ตามที่ได้ร่วมรักกับพวกนาง พลังปราณจะฟื้นคืนมาถึงพันส่วน!
.
แผลฟกช้ำจะหายไป ฟันจะคืนครบ กระโปกจะแข็งเป็นแกนหิน ยิ่งเทพผู้ชายองค์ไหนที่เย็ดด้วยจิตสุดท้าย น้ำจิ๋มที่กระฉอกออกมามากมายยังกลายเป็นยาอายุวัฒนะได้อีกหลายปี! พวกนางจึงเปรียบเสมือนของมีค่าที่ติดสถานะทวยเทพ ในทุกสงครามไม่ว่าจะครั้งไหน นางฟ้านางอัปสราเหล่านี้จึงมักจะถูกกวาดต้อนเป็นอย่างแรกหลังราชธานีแตก และกับตอนนี้ที่สถานการณ์ยังไม่น่าไว้ใจ ท่านเง็กเซียนจึงมีบัญชาให้พวกนางหลบซ่อนอยู่ในหอชำเลากาย บนเทวาสถานแห่งนี้ไปพลางก่อน
.
แต่ใครเล่าจะทนไหว! เซียนสาวอายุน้อยล้วนอยากรู้อยากเห็นเป็นเรื่องธรรมดา ด้วยจำนวนที่มีกันเป็นร้อยเป็นพันเจอตำหนักสั่นโครมครามขนาดนั้น จะไม่โผล่หน้าออกมาดูหน่อยก็กระไรอยู่ ชะเง้อคอบ้าง เกาะหลังเสาดูเหตุการณ์การทะเลาะกันบ้าง เดือดร้อนไปถึงท่านกงกงที่ต้องเด็ดขาดผ่านการบังคับใช้กฎสวรรค์อันเคร่งครัด เพื่อผลักดันให้พวกเธอคืนสู่มาตุภูมิ
.
"我的天 ! (ว่อ เตอะ เทียน!)"
"กลับเข้าหอชำเลาเดี๋ยวนี้นะพวกหล่อน! ใครให้พวกเธอออกมาตรงนี้มิทราบ! กลับไปเดี๋ยวนี้เลย~!"
"ไปเร็ว! , ไป! , ไป! , ชิ่ว!!!"
.
"โถแม่นายเจ้าขา.. ขอพวกหนูดูแค่นิดเดียวเอง พวกเราก็ต้องรู้เรื่องอะไรบ้างสิเจ้าคะ"
.
"หยุดเรียกฉันเช่นนั้นเสียที! นี่มันนิยายจีนมิใช่บุพเพสันนิวาศ!"
"ฉันคือเจเจ้ และฉันคือผู้สอนวิชาเคล็ดโฉมงามสะกดใจ (红颜惑心诀) ให้พวกเธอ!"
"งานปรนนิบัติคืองานของเรา เราต้องทำให้พวกท่าน ๆ ผ่อนคลายและฟื้นฟูจากความเหน็ดเหนื่อย"
"มีบรรทัดไหนไหมที่บอกให้กลุ่มนางฟ้าสอดรู้สอดเห็น?! , ห๊ะ!?"
กงกงเทพ LGBT พยายามข่มขู่กึ่งบังคับ
.
"แต่ท่านกงกงเจ้าคะ เมื่อครู่พวกหนูได้ยินคำว่า "เทียนซิ่งจง" ด้วย"
"พวกเขาเป็นใครหรือเจ้าคะ? ทำไมถึงคิดจะมารุกรานสวรรค์ของเรา?"
.
จบประโยคนี้ก็เล่นเอากงกงถึงกับอึ้งแดกไปเลย แกแทบจะเก๊กแมนขึ้นมาทันที ความเครียดผุดขึ้นเต็มหัวความกลัวผุดขึ้นใบหน้า ด้วยเพราะรู้ว่าบรรดาเซียนรุ่นใหม่ที่เพิ่งจุติในรอบไม่ถึงร้อยปี ไม่มีใครรู้จักกลุ่มมนุษย์เดนตายที่ถูกอัปเปหิอย่าง "เทียนซิ่งจง" หรอก ในจิตใต้สำนึกของพวกนางฟ้าคงคิดว่าเทียนซิ่งจงนั้นชั่วช้าน่ากลัว แต่กงกงกลับเห็นต่าง!
.
แกไม่ได้กลัววรยุทธของพวกเขาเลยสักนิด แต่กลัวความลำบากหากต้องถูกลดชั้นลงไปเป็นเทียนซิ่งจงมากกว่า! การถูกเนรเทศไปอยู่ที่แคว้นสุ่ยกั๋วดูจะเป็นส่ิงเลวร้าย ที่นั่นมีแต่ทะเลทราย มีแต่ความสกปรก เป็นได้เต็มที่ก็แค่บ่อขยะของชาวสวรรค์ และพอคิดได้ดังนั้นกงกงเทพ LGBT ก็ได้ออกอุบายโป้ปดมดเท็จ เพื่อจูงใจให้พวกนางฟ้าได้กลับเข้าหอชำเลากายไป
.
"นี่! ฉันจะบอกอะไรพวกหล่อนให้เอาบุญนะยะ!"
"หล่อนเห็นความวิปริตผิดเพศของฉันไหม? เห็นไหมว่าฉันเป็นกึ่งหญิงกึ่งชาย?"
"นี่แหละคือ "เทียนซิ่งจง" คือพวกก้ำกึ่งที่จะเทพก็ไม่ใช่มนุษย์ก็ไม่เชิง! ไม่สุดสักอย่าง!"
"พวกหล่อนอยากเป็นแบบฉันไหมล่ะ?! หรืออยากจะดู!"
.
"พรึบ! , พรับ! , พรึบ! , พรับ!"
.
ว่าแล้วก็ใช้สองมือจับชายผ้าตรงหว่างขาโบกไปโบกมา กะว่าถ้าพวกนางฟ้ายังไม่ยอมกงกงก็จะเปิดไข่ที่เหลืออยู่ข้างเดียวให้ดูแม่ง! เดชะบุญที่่มันไม่เกิดขึ้น ด้วยความสัตย์จริงเพราะแค่ได้กลิ่นหลังการกระพือ เหล่าเซียนเกอีชาก็ถอยล่นกลับเข้าไปสู่หอชำเลากายของใครของมันแล้ว
.
ยอมให้พวกนางเข้าใจผิดยังดีซะกว่า! คือสิ่งที่กงกงคิด เพราะการอยู่ในสภาพกึ่งเทพกึ่งเซียนเสี้ยวมนุษย์นั้นช่างเป็นอะไรที่น่าเวทนา กงกงรู้ซึ่งถึงสิ่งนี้ดีกว่าใครเพื่อน อย่าลืมสิว่าแกเป็นเซียน LGBT เพียงคนแรกและคนเดียว ทั้งเหงาทั้งโดดเดี่ยวทำไมแกจะไม่เขาใจ และเพื่อการณ์นั้นจึงบอกตัวเองอยู่เสมอว่า จะไม่ยอมให้ระดับคะแนนปราณตกต่ำจนถูกลดชั้นลงไปเป็นเทียนซิ่งจงเป็นอันขาด!
.
"ปึ้ง!" , "ปึ้ง!" , "ปึ้ง!" , "ปึ้ง!"
เสียงประตูปิดเข้าห้องใครห้องมันไล่ดังไปเป็นแถบ
.
ก่อนที่ต่อมาจะเป็นกงกงอีกนั่นแหละ ที่เอากุญแจไปคล้องหน้าห้องของพวกหล่อนเอาไว้ไม่ให้โผล่ออกมาวุ่นวายได้อีก ไม่รู้ล่ะอย่างน้อยนี่ก็คือหนึ่งใน Job Description ของแก แกไม่ได้มีแต่ความตุ้งติ้งแต๋วแตก แต่ยังมีอำนาจในการบริหารจัดการทุกอย่างบนตำหนักหวงหือลี่ ( 黄花梨 ) แบบรวมศูนย์! พ่อบ้าน , แม่บ้าน , มาม่าซัง , เซ็กส์เวิร์คเกอร์ เป็นแม่งทั้งหมดในตุ๊ดองค์เดียว
.
"เฮ้อ.. เอาล่ะเคลียร์ไปแล้วหนึ่งจ็อบ!"
"ต่อไปเราจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี แล้วแต่ละอย่างนะ.."
"อี๋.. ชวนอ้วกทั้งนั้นแหวะ~!"
.
หนึ่งคือหัวที่ขาดตายตาค้างของ ท่านหลานเซิน องครักษ์ประตูเทวา (天门守卫) สองคือเสื้อผ้าอาภรณ์ของทหารส่งสาน์นที่เชือดคอตัวเองอย่างสยดสยอง ของไร้วิญญาณสองสิ่งวางอยู่ข้างกันโดยมิได้นัดหมาย พวกมันดูจะไร้ค่าในสายตาเง็กเซียนหรือเทพสงครามองค์ใดไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะคนที่เดินเข้าไปใกล้ ดันเป็นคนที่มีไลฟ์สไตล์ใกล้เคียงจะเป็น "เทียนซิ่งจง" มากที่สุดอย่างกงกงกระเทยขั้นเทพ!
.
"ดุ๊กดิ๊ก ๆ ๆ !"
แก้มก้นเสียดสีกับร่องตูด ดึ๋งดั๋งเดินดูน่ารัก
.
"ไหนขอดูหน่อยสิ.. เริ่มจากส่วนหัวของท่านก่อนล่ะกัน.."
"อุ๊บ~!"
.
"น่ะ.. นี่มัน.. ทะ.. ท่านองครักษ์! ดวงตาท่าน!"
"ท่านยังมีชีวิตอยู่รึ? ท่านจ้องมองข้าในทุกทิศทางเลย!"
"ทะ.. ท่านกำลังทำให้ข้ากลัวนะ..!"
.
เสียงกงกงสั่นประหนึ่งมีลูกคอ เจอศพหัวขาดถลึงตาใส่ซะขนาดนั้นไม่ฉี่ราดก็ดีแค่ไหน แล้วพอเจ้าตัวนั่งยองลงเพื่อจะเช็คของสองสิ่งนี้ใกล้ ๆ มอยส์เจอร์ไรเซอร์บนฝ่ามือก็ถึงกับหยุดส่งความชุ่มชื่น สีทาเล็บถึงกับแตกร้าว แค่อัง ๆ ยังไม่แตะโดนด้วยซ้ำ แต่ภาพทรงจำและหนังตาก็ดับฟับลงไปเลย! ราวกับถอดปลั๊ก!
ความนิ่งงันกึ่งสงนสนเท่ห์คราคร่ำไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นเทพสงครามชุดเกราะทอง เง็กเซียนฮ่องเต้หรือแม้กระทั่งผู้เฒ่าจากหออักษร ที่มักจะเคลมว่าตัวเองรู้ทุกสรรพสิ่งก็ยังทำท่าเหรอหรา ไร้ซึ่งเทวาองค์ใดจะตอบได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ครั้นจะบอกว่านี่คือกำลังภายในหรือวรยุทธไสยเวทย์ก็มิกล้าจะฟันธงลงไปได้ อาภรณ์หลักฐานยังคงกองอยู่บนพื้น เสื้อคลุมขนาดพอดีตัวหนึ่ง ผ้าเตี่ยวสำหรับเหน็บเป็นกางเกงสอง มีแม้กระทั่งปลอกสวมข้อเท้าที่ชาวสวรรค์ไร้ซึ่งคำศัพท์จะระบุอัตลักษณ์.เดือดร้อนไปถึงเทพสงครามองค์หนึ่ง ที่ต้องผละตัวออกจากงผนังตำหนักด้านข้าง พลันก้าวเดินเข้ามาสำรวจ."หมอนี่ช่างใจกล้าบ้าบิ่นนัก ในฐานะทหารพฤติการณ์ของเขาช่างน่าเลื่อมใส คงเตรียมใจไว้แล้วว่าคงมิได้กลับเทียนซิ่งจงนายนี้คงภักดีต่อผู้เป็นนายมาก.."พูดเสร็จก็ผละเอาเทพสงครามเจ้าของดาบจ้านหุนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ออกจากทาง ร่างหนากำลังจะก้มลงไปหยิบชุดของพลทหารส่งสาส์นขึ้นมาตรวจสอบ เพราะฉงนในความแปลกของเนื้อผ้าที่ยืดหยุ่นผิดวิสัย แต่ทว่าก็มาโดนท่านจักรพรรดิห้ามปรามเอาไว้ก่อน."ช้าก่อนท่าน! ข้าว่าตอนนี้เราต้องสนใจในเรื่องการศึกก่อน เศษผ้านั่นดูจะยังม
อาภรณ์แนบเนื้อสุดแปลกตาถูกกดน้ำหนักลงจนยากจะขัดขืน ทหารกีกี้ผู้รุกรานไม่อยู่ในสภาพที่จะต้านทานพลังช้างสารของเทพอู่เสิ่นถึง 3 องค์ได้ พลังปราณนั้นต่างกันเกินไป เทพสงครามอู่เสิ่นหนึ่งองค์ต้องบำเพ็ญตบะไม่ต่ำกว่าร้อยปีในภูเขา เทียนอวี่ซาน (天御山) กว่าจะมีวรยุทธ์ถึงพันส่วน ทหารหนุ่มจึงโดนบังคับให้คุกเข่าลง พลันโดนกดใบหน้าให้นาบลงไปกับพื้นตำหนักเยี่ยงสุนัขจนตรอก."อั๊ก.. ก.. ก..!""หึ.. หึ.. ฮ่า.. ฮ่า.. ฮ่าาา.. ฮ่าาา..""ฮั่ว! , ฮ่า ๆ , ฮ่า ๆ , ฮ่า ๆ"."มีกิจอันใดให้น่าขันมิทราบ ต่อหน้าฝ่าพระบาทเจ้าไยกล้ากระทำล่วงเกินองค์เง็กเซียนถึงเพียงนี้!""หุบปากซะ! ดาบจ้านหุน (战魂) ของข้ายังมิอยากลิ้มชิมดวงวิญญาณของเจ้าในยามนี้ , เงียบบบ!"."ปั๊กกก!"กระแทกสันดาบใส่กบาลทหารส่งสาส์นไปหนึ่งดอก ดูทรงแล้วหมอนี่เหมือนจะไม่ยี่หระกับสถานการณ์เลย เหมือนเขาเป็นแค่ทหารแนวหน้าที่ถูกใช้แล้วทิ้ง ชีวิตโคตรไร้ค่ายิ่งกว่าถุงยางที่ห่อด้วยผ้าอนามัย."ข้าน้อยมิมีความเจ็บปวดอันใดหรอกนายท่าน พวกข้าชาชินกับพิษบาดแผลไม่ต่างจากวารีเคียงคู่กับมัจฉา""อั๊ก..ก..ก..! เราแตกต่างจากชาวสวรรค์เยี่ยงท่านโดยสิ้นเชิง พวกท่านมีเครื่องส
“เฮือกกก!”.เสียงท่านเง็กเซียนสะบัดดวงหน้าออกมาจากแท่งเสาน้ำได้อย่างฉิวเฉียด แต่ก็ยังเร็วไม่พอ.“ระวังขอรับท่านเง็กเซียน! อร๊ายยย! หวาดเสียว!”.“ฉึบ!!!”.“ซ่าาาาา~!”.จริงอย่างที่ท่านปู่ซืออี้ตะโกนลั่น แกยังอุทานไม่จบประโยคดีด้วยซ้ำ เคราสีเทาอันเงางามของท่านจักรพรรดิก็โดนมวลน้ำทั้งยวงหั่นขาดสะบั้นลงต่อหน้า! ศีรษะอาจจะดึงหลบพ้นแต่เคราดันไม่รอด ละอองเศษเส้นขนปลิวกระจุยกระจาย ทำเอาท่านเง็กเซียนถึงกับเซถลาหงายท้องล้มกองลงบนพื้น.“天啊 ! (เทียน นา!) เป็นยังไงบ้างขอรับท่านเง็กเซียน?”แกรีบปรี่เข้ามาสอบถามอาการ โดยไม่สนใจใยดีน้ำในอ่างคันฉ่องธารา ที่กระเพื่อมต่ำลงจนลดระดับเหลือเพียงครึ่ง."差点就完了,幸好逃过一劫.. (ช่าเตี่ยน จิ้ว หวาน เลอะ ซิ่งห่าว เถากั้ว อี้เจี๋ย)"ฟังไม่ได้ศัพท์นักแต่แปลเป็นไทยจากท่านเง็กเซียนได้ว่า "เกือบไปแล้วสิ ดีที่รอดมาได้" ระหว่างนั้นมือของท่านก็ยังคงลูบคลึงเคราตัวเองไปด้วย ทั้งที่มันแทบไม่เหลือให้ลูบแล้ว.“คือท่านเง็กเซียนขอรับ.. ข้าน้อยมีบางสิ่งจะเพ็ดทูลให้ทราบ”.“ข้ารู้น่ะ! ข้าแค่คุ้นชินกับการลูบคางแบบนี้เฉย ๆ ข้าจะลุกขึ้นเองผู้เฒ่าอย่างเจ้าหาใช่กิจธุระ!”.“มิใช่ขอรั
ความสงบสุขเห็นเพียงจะเหลือแค่ในพงศาวดาร หากจะว่าด้วยเรื่องของความเก่าแก่แล้ว อาณาจักรบนฟากฟ้านามว่าสรวงสวรรค์แห่งนี้ดูจะเก่าแก่เกินกว่าจะหาบันทึกประวัติศาสตร์เล่มไหนพรรณนาถึงได้ สวรรค์คือวิมานของเหล่าทวยเทพ พวกเขาถูกเชื่อมโยงเข้ากับความเชื่อของมนุษย์ ยิ่งมนุษย์ศรัทธากำลังวรยุทธของเทพแต่ละองค์ ก็จะได้รับอานิสงส์พูนเพิ่มตามพลวัฒน์ ก่อนที่ต่อมาพรหรือคำอธิฐานต่าง ๆ จะถูกดลบันดาลโดยพวกท่าน แล้วส่งกลับลงไปยังเมืองมนุษย์อีกที.จากทิวาข้ามผ่านราตรี ผ่านไปนับหมื่นปีพันปี สวรรค์ก็ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้มาก่อน จะเป็นไปได้เช่นไรที่เทวาสถานวิหารกลางฟ้าแห่งนี้จะถูกโจมตีจากศัตรูที่มิเคยพบเห็น วรยุทธ์อันลึกล้ำกระบวนท่าพิสดารแหวกโลกัณฑ์ทำให้การรุกคืบใกล้ขึ้นและใกล้เข้า ท่านปู่ซืออี้เทพแห่งการเรียนรู้ คลี่ม้วนคัมภีร์อักขราวิสุทธ์ แกพยายามจะแจ้งเรื่องนี้กับเง็กเซียนฮ่องเต้ผู้เป็นจักรพรรดิสูงสุดให้ทราบว่า กลศึกที่ศัตรูใช้มิได้อยู่ในตำราพิชัยยุทธเล่มใดเลย พวกมันเป็นยิ่งกว่ามือปืน อาวุธสวรรค์ทุกชิ้นต้านทานได้เพียงประหนึ่งไม้ซุงงัดกับภูเขาเจียนจื่ออี้ ( 简子怡 ) เห็นทีท่านปู่คงต้องฝากตัวรับใช้นา