"ฟึบ!"
ตื่นมาอีกทีไม่รู้ว่าที่ไหน แล้วก็ไม่ใช่การเล่าเรื่องผ่านกงกงเซียน LGBT บนสรวงสวรรค์ด้วย
.
ณ มณฑลแห่งหนึ่งของแผ่นดินใหญ่แดนมังกร เทียบปี ค.ศ. ห่างจากปีปัจจุบันบวกลบไม่น่าจะเกิน 3 ปี หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็น่าจะบอกว่าภาพเหตุการณ์ได้ถูกตัดสลับลงมายังโลกมนุษย์แล้ว ต่อไปนี้ทุกท่านจะได้รับฟังเรื่องราวอันสุดแสนธรรมดาของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่คลั่งไคล้การเตะฟุตบอลในระดับสูงลิ่ว เด็กใน Gen เขาอาจจะถูกเลี้ยงมาด้วยสมาร์ทโฟนหรือจอแท็บเล็ต นิทานสมัยเราเมาคลีอาจจะถูกเลี้ยงมาโดยแม่หมาป่า แต่สำหรับเขา ๆ แหวกครรภ์มารดามาพร้อมกับลูกฟุตบอล!
.
"โอ๋ลูกแม่.." ไม่เลยเพราะคำแรกที่แม่เรียกเขาคือ "โอ๋ลูกบอล.." คิดเอาเถอะว่าขนาดเจ้าชายสิทธัตถะผู้มากด้วยบารมียังเดินได้ 7 ก้าวตั้งแต่แรกเกิด ก้าวเดินไปทางไหนจะมีดอกบัวผุดมารองรับ ฉันใดก็ฉันนั้นเด็กคนนี้เลี้ยงบอลได้ก่อนจะตั้งไข่ ก้าวเดินไปทางไหนหญ้าจะงอกพร้อมกลายเป็นสนามบอลในทุกหนทุกที่ นี่มันอัจฉริยะบุคคลชัด ๆ นี่คือหนูน้อยที่ 100 ปีจะมีสักคน และโชคดีมากที่เขาได้กำเนิดเกิดในมณฑลที่บ้าคลั่งกีฬาชนิดนี้อย่างถึงขีดสุด
.
"จางอี้เฟิง (张逸风)" คือชื่อของเขา "จาง" คือแซ่มาจากต้นตระกูลดังที่ประกอบกิจการเชิงพาณิชย์จนรุ่งเรืองสืบต่อกันมาหลายรุ่น "เฟิง" คือ สายลม เมื่อผนวกรวมกับคำว่า "อี้" ที่แปลว่า อิสระ ชื่อของเขาจึงเป็นมากกว่าความหมายเชิงสัญลักษณ์ ไม่รู้สิแปลเป็นไทย "จางอี้ฟง" คงประมาณว่า “บุรุษสายลมแห่งอิสระ” อะไรทำนองนั้น
.
ซึ่งเจ้าตัวก็รักชื่อนี้เอามาก ๆ เขามักจะเปรียบเปรยตัวเองตอนอยู่ในสนามว่าเร็วดั่งสายลม ล่องหนเหมือนอากาศ กระชากหนีคู่แข่งได้อย่างอิสระ โรงเรียนกีฬาที่ขึ้นชื่อลือชาที่สุดในมณฑลอย่างสถาบัน "ลี่ฮือหลวง" (李旭龙) จึงต้องรับเขาเอาไว้ในการดูแล
.
ดินแดนมังกรมีมณฑลในการปกครองอยู่หลายร้อย แบ่งเป็นเขตการปกครองรายย่อยได้อีกหลายส่วน และด้วยความที่รัฐบาลกลางมีนโยบายในการส่งเสริมสุขภาพ พวกเขาต้องการลดค่าใช้จ่ายภาครัฐในการจ่ายสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลให้ประชาชน แนวคิดการใช้กีฬานำสาธารณสุขจึงบังเกิด กล้ามต้องนำการทหาร ประชาชนต้องมีกำลังวังชา จะกินดีอยู่ดีได้อย่างไงถ้าร่างกายยังคงอ่อนแอ หากเกิดสงครามจะไปรบกับใครได้ถ้าร่างกายอ่อนด๋อยไม่มีแรงสู้ นี่จึงเป็นยุทธศาสตร์ชาติที่มีการวางระบบกันมาอย่างดี
.
พวกเขาจึงมีดำริว่าแต่ละมณฑลจะต้องมีสำนักกีฬาอย่างน้อย 1 แห่ง เพื่อที่ในทุก ๆ ปีสถาบันเหล่านี้จะได้คัดสรรนักกีฬามาแข่งขันกันในแต่ละประเภท ใครได้แชมป์งบประมาณจะถูกเทลงไปที่นั่นในปริมาณมาก ยิ่งเมืองไหนสร้างประชาชนที่มีสุขภาพแข็งแรงได้มากรัฐบาลยิ่งภาคภูมิใจ ประเทศที่ดีย่อมมาจากประชาชนที่แข็งแรง แล้วหลังจากนั้นพวกเด็ก ๆ จะตรากตรำตำราหลวง ฝึกวิทยายุทธ Ai อื่นใดเพิ่มเติม ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรแล้วหากฐานรากด้านสุขภาพแข็งแกร่ง
.
ฟังเหมือนจะดูดีแต่มีเรื่องแปลกอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือมณฑลที่จางอี้เฟิงพำนักอยู่ดันมีสำนักกีฬาอยู่ถึง 3 แห่ง! ฟังไม่ผิดหรอก! เพราะมันมีที่มาจากสองทฤษฎีสมคบคิดที่ยังมิอาจพิสูจน์ได้ หนึ่งคือเรื่องการเมืองในกลุ่มของพวกผู้ใหญ่ ผลประโยชน์ก้อนโตงบประมาณก้อนใหญ่การแบ่งเค้กจึงออกมาในรูปแบบของสำนักกีฬาที่จะมีเพียงแห่งเดียวแล้วกินรวบไม่ได้ ทุกอย่างต้องแบ่งกันไม่งั้นคงไม่ใช่นักการเมือง
.
สองคือทฤษฎีดาร์บี้แม็ทซ์ เป็นคอนเซ็ปที่ใครสักคนคงไปก็อปมาจากระบบฟุตบอลในต่างประเทศ กล่าวคือในเมือง ๆ หนึ่งไม่จำเป็นต้องมีทีมฟุตบอลเพียงทีมเดียว คนในเมืองร้อยพ่อพันแม่จะให้ใจตรงกันคิดเหมือนกันหมดก็กระไรอยู่ และเพื่อการณ์นั้นทีมต่าง ๆ จึงผุดขึ้นตามมา ซึ่งในทุก ๆ ครั้งที่ทีมเหล่านี้เจอกันพวกเขาจะสู้กันอย่างเข้มข้น บรรยากาศเกมจะเต็มไปด้วยความดุเดือดเล่นกันรุนแรงใส่กันไม่ยั้ง แล้วนั่นก็จะนำมาซึ่งศักยภาพในการพัฒนามณฑลนั่นเอง ที่ใดมีการแข่งขันสูงที่นั่นย่อมมีโอกาส และนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้มณฑลแห่งนี้มีสำนักกีฬามากถึง 3 แห่ง
.
ไม่ว่าเราจะเชื่อในทฤษฎีไหนแต่ความจริงก็คือความจริง และมันก็เกิดขึ้นแล้วว่า สำนักลี่ฮือหลวง , สำนักหลงเซียงถี่อ และ สำนักซิงเหอจิ้งจี้ คือ 3 สถาบันกีฬาที่ตั้งอยู่ในละแวกเดียวกัน และพวกเขาก็มีความเป็นไม้เบื่อไม้เมากันในระดับสูง ไล่มาตั้งแต่ผู้บริหาร , บุคลากร , ยาม , แม่บ้าน ลามไปถึงตัวนักเรียนนักศึกษา ทั้งหมดล้วนแต่มองฝ่ายตรงข้ามเป็นคู่แข่งและจ้องจะเอาชนะ
.
ยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นถาพในฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ที่ ลอนดอน มี เชลซี , อาร์เซน่อล , คริสตัลพาเลซ , สเปอร์ส ฯลฯ เมืองแมนเชสเตอร์ มี แมนยู , แมนซิตี้ , ซัลฟอร์ดซิตี้ , โอลด์แฮม ฯลฯ หรือแม้แต่เมืองลิเวอร์พูล ก็ไม่ได้มีแค่ทีมลิเวอร์พูลแต่ยังมีทีมเอฟเวอร์ตัน มี ทรานเมียร์ โรเวอร์ส มี เซาท์พอร์ต ฯลฯ ความเป็นเลิศคือสิ่งที่ต้องควานหากันมาเสิร์ฟ การเป็นอันดับหนึ่งเพื่อคว้าสถานะตัวแทนมณฑลดูจะเป็นเป้าหมายสูงสุดที่เด็กทุกคนใฝ่ฝัน แล้วมันก็คงจะดูเครียดเกินไปละมั่ง จางอี้เฟิงลูกหม้อแห่งสำนักลี่ฮือหลวงจึงฟุบหลับคาโต๊ะกลางห้องเรียนอยู่แบบนี้..
.
"คร่อก.. คร่อก.. ฟี้~!"
หลับน้ำลายยืดฟุบคาสมุด จนหมึกปากกาย้อยเปรอะพวงแก้ม
.
บางทีเขาอาจจะเข้าใจคุณผู้อ่านที่อ่านอะไรยาว ๆ ไม่ได้ เจอตัวหนังสือเยอะ ๆ ทีไรต่อมขี้เกียจจะทำงานคาถาผนึกหนังตาก่อร่าง แล้วก็จะหลับราวกับถอดปลั๊กอย่างที่เห็น
.
"งั่ม ๆ , คร่อก.. คร่อก.. ฟี้~! หืม..ม..ม~!"
.
โดยหารู้ไม่ว่าท่วงท่าที่จางอี้เฟิงทำ ความงัวเงียงวยงงและวิธีการหลับตาแบบฟุบหน้าแบบนั้น ช่างคล้ายกับท่าทางของท่านเทพกงกงที่เกิดขึ้นบนสวรรค์มิผิดเพี้ยน บทที่แล้วภาพแกตัดสลบไสลแบบนี้เป๊ะเลย ประหนึ่งว่าโลกสองฝั่งกำลังเชื่อมต่อกันอยู่ บนนั้นกำลังเกิดสงครามส่วนข้างล่างนี้จางอี้เฟิงก็กำลังจะเงาหัวหายเช่นกัน หลังคุณครูคนสวยเริ่มเดินมาที่โต๊ะตรงกลางห้องของเขาแล้ว!
.
"แฮ่ม.. ม.. ม..!"
"คุณจางนี่ยังคงอยู่ในคาบเวลาเรียนนะคะ.."
"กรุณาเงยหน้าขึ้นเดี๋ยวนี้ค่ะ"
.
"คุณจะมาหลับใส่คลาสวิชาฟิสิกส์การกีฬาของดิฉันไม่ได้นะคะ!"
"ตื่นค่ะ! คุณไม่ใช่เด็กแล้วนะคะ!"
"เฮ้!!! "
.
จริงอย่างที่คุณครูสุดเอ๊กซ์หุ่นสะบึมบอก เพราะแม้จะไม่ได้เล่าถึงแต่ความจริงอีกอย่างก็คือ จางอี้เฟิงกับเพื่อน ๆ ณ ตอนนี้มีอายุ 17 ปีกันหมดแล้ว พวกเขาเติบโตกันเป็นหนุ่มเป็นสาว สรีระร่างกายกำยำพร้อมผสมเกสร แต่ปัญหาก็คือการเรียนการสอนทฤษฎีในห้องนี่แหละที่มักจะทำให้จางอี้เฟิงหลับ เขายังคงงึมงำฟุบหน้าไม่พูดไม่จา จนท้ายที่สุดคุณครูก็ต้องงัดไม้ตายออกมา
.
ผ่านการนับหนึ่งถึงสิบในใจช้า ๆ ด้วยความใจเย็น เธอยืนอยู่เสมอโต๊ะของจางอี้ฟงแล้ว ศรีษะเขาแทบจะตรงกับระดับของหัวหน่าวเธอ ครูสาวหลับตาลงแช่มช้าจนกระทั่งนับไปถึงเลข 9 เธอก็ชี้น้ิวเรียว ๆ ขึ้นไปข้างบนฝ้าเพดาน แล้วจากนั้นก็!
.
"กริ๊งงงงงงงงงง!!!!!"
.
พ่องมึงตาย! เสียงกริ่งหมดเวลาเรียนดังราวกับสัญญาณไฟไหม้ จางอี้เฟิงสะดุ้งโหยงปาดน้ำลายจนหน้าเลอะหมึกเปื้อนเลยไปถึงหน้าผาก ทำเอาคุณครูที่ตั้งใจจะดุถึงกับหลุดขำ เสียงหัวเราะของเพื่อน ๆ ดังไปทั่วห้องพร้อม ๆ กับการเก็บโต๊ะเก็บกระเป๋าของทุกคนที่รวดเร็วระดับความเร็วแสง
.
"อุ๊ย! คุณครูผมตกใจหมดเลย หมดคาบแล้วใช่ไหมครับเนี่ยะ?!"
.
"ใช่ค่ะ! รอดตัวไปนะคุณจางไม่งั้นฉันเล่นงานคุณแน่"
.
"โห.. ไม่หรอกครับครู คุณครูใจดีจะตาย งั้นผมไปก่อนนะครับผมต้องรีบไปซ้อมบอล"
"คลาสเรียนคุณครูแอร์เย็นมาก ผมนี่หลับอย่างอร่อยเลยเหอะ ๆ ไปก่อนนะครับ! สวัสดีครับ!"
.
"ฟับ! , ควับ! , ตุบ! , ตุบ! , ตุบ! , ตุบ! , ตุบ! , ตุบ!"
.
เก็บกระเป๋าเร็วจนเหมือนไม่เก็บ กระโดดพรวดเดียวทะลุผ่านหน้าคุณครู พลางสปรินท์ด้วยสปีดต้นที่เร็วพอ ๆ กับตอนที่อยู่ในสนาม ฝุ่นตลบอบอวลฟุ้งโขมง ทิ้งไว้แต่เพียงคุณครูคนสวยที่ยืนแจกควยในใจให้แก่ลูกศิษย์
.
นี่แหละคือจางอี้เฟิงเขาเป็นของเขาแบบนี้เสมอ คือจะตื่นตัวเรื่องฟุตบอลมากกว่าสิ่งใด เพราะจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้สะดุ้งตื่นเพราะเสียงออดหรอก แต่ตื่นเพราะจิตใต้สำนึกรู้ว่าถึงเวลาที่จะได้เตะบอลในสนามแล้วต่างหาก อะดรีนาลีนพุ่งปรี๊ด แล้วเขาก็วิ่งออกไปยังสนามซ้อมระดับมาตรฐานของสำนักลี่ฮือหลวง สนามที่มีหญ้าใบสั้นเขียวขจีราวกับปูพรม นุ่มราวกับมาสเมลโล่นุ่ม ๆ ชุ่มน้ำยาดาวน์นี่
.
.
และก่อนจะจบบทนี้หากสังเกตกันดี ๆ ก็จะเห็นว่า สำนักลี่ฮือหลวง แท้ที่จริงก็คือการกลับคำมาจากตำหนักสวรรค์ "หวงหือลี่" ที่อยู่บนฟากฟ้านั่นเอง อนิจจาที่จางอี้เฟิงกลับไม่รับรู้ถึงความเชื่อมโยงตรงนี้แม้แต่นิดเดียว
"ฟึบ!"ตื่นมาอีกทีไม่รู้ว่าที่ไหน แล้วก็ไม่ใช่การเล่าเรื่องผ่านกงกงเซียน LGBT บนสรวงสวรรค์ด้วย.ณ มณฑลแห่งหนึ่งของแผ่นดินใหญ่แดนมังกร เทียบปี ค.ศ. ห่างจากปีปัจจุบันบวกลบไม่น่าจะเกิน 3 ปี หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็น่าจะบอกว่าภาพเหตุการณ์ได้ถูกตัดสลับลงมายังโลกมนุษย์แล้ว ต่อไปนี้ทุกท่านจะได้รับฟังเรื่องราวอันสุดแสนธรรมดาของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่คลั่งไคล้การเตะฟุตบอลในระดับสูงลิ่ว เด็กใน Gen เขาอาจจะถูกเลี้ยงมาด้วยสมาร์ทโฟนหรือจอแท็บเล็ต นิทานสมัยเราเมาคลีอาจจะถูกเลี้ยงมาโดยแม่หมาป่า แต่สำหรับเขา ๆ แหวกครรภ์มารดามาพร้อมกับลูกฟุตบอล!."โอ๋ลูกแม่.." ไม่เลยเพราะคำแรกที่แม่เรียกเขาคือ "โอ๋ลูกบอล.." คิดเอาเถอะว่าขนาดเจ้าชายสิทธัตถะผู้มากด้วยบารมียังเดินได้ 7 ก้าวตั้งแต่แรกเกิด ก้าวเดินไปทางไหนจะมีดอกบัวผุดมารองรับ ฉันใดก็ฉันนั้นเด็กคนนี้เลี้ยงบอลได้ก่อนจะตั้งไข่ ก้าวเดินไปทางไหนหญ้าจะงอกพร้อมกลายเป็นสนามบอลในทุกหนทุกที่ นี่มันอัจฉริยะบุคคลชัด ๆ นี่คือหนูน้อยที่ 100 ปีจะมีสักคน และโชคดีมากที่เขาได้กำเนิดเกิดในมณฑลที่บ้าคลั่งกีฬาชนิดนี้อย่างถึงขีดสุด."จางอี้เฟิง (张逸风)" คือชื่อของเขา "จาง"
ความนิ่งงันกึ่งสงนสนเท่ห์คราคร่ำไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นเทพสงครามชุดเกราะทอง เง็กเซียนฮ่องเต้หรือแม้กระทั่งผู้เฒ่าจากหออักษร ที่มักจะเคลมว่าตัวเองรู้ทุกสรรพสิ่งก็ยังทำท่าเหรอหรา ไร้ซึ่งเทวาองค์ใดจะตอบได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ครั้นจะบอกว่านี่คือกำลังภายในหรือวรยุทธไสยเวทย์ก็มิกล้าจะฟันธงลงไปได้ อาภรณ์หลักฐานยังคงกองอยู่บนพื้น เสื้อคลุมขนาดพอดีตัวหนึ่ง ผ้าเตี่ยวสำหรับเหน็บเป็นกางเกงสอง มีแม้กระทั่งปลอกสวมข้อเท้าที่ชาวสวรรค์ไร้ซึ่งคำศัพท์จะระบุอัตลักษณ์.เดือดร้อนไปถึงเทพสงครามองค์หนึ่ง ที่ต้องผละตัวออกจากงผนังตำหนักด้านข้าง พลันก้าวเดินเข้ามาสำรวจ."หมอนี่ช่างใจกล้าบ้าบิ่นนัก ในฐานะทหารพฤติการณ์ของเขาช่างน่าเลื่อมใส คงเตรียมใจไว้แล้วว่าคงมิได้กลับเทียนซิ่งจงนายนี้คงภักดีต่อผู้เป็นนายมาก.."พูดเสร็จก็ผละเอาเทพสงครามเจ้าของดาบจ้านหุนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ออกจากทาง ร่างหนากำลังจะก้มลงไปหยิบชุดของพลทหารส่งสาส์นขึ้นมาตรวจสอบ เพราะฉงนในความแปลกของเนื้อผ้าที่ยืดหยุ่นผิดวิสัย แต่ทว่าก็มาโดนท่านจักรพรรดิห้ามปรามเอาไว้ก่อน."ช้าก่อนท่าน! ข้าว่าตอนนี้เราต้องสนใจในเรื่องการศึกก่อน เศษผ้านั่นดูจะยังม
อาภรณ์แนบเนื้อสุดแปลกตาถูกกดน้ำหนักลงจนยากจะขัดขืน ทหารกีกี้ผู้รุกรานไม่อยู่ในสภาพที่จะต้านทานพลังช้างสารของเทพอู่เสิ่นถึง 3 องค์ได้ พลังปราณนั้นต่างกันเกินไป เทพสงครามอู่เสิ่นหนึ่งองค์ต้องบำเพ็ญตบะไม่ต่ำกว่าร้อยปีในภูเขา เทียนอวี่ซาน (天御山) กว่าจะมีวรยุทธ์ถึงพันส่วน ทหารหนุ่มจึงโดนบังคับให้คุกเข่าลง พลันโดนกดใบหน้าให้นาบลงไปกับพื้นตำหนักเยี่ยงสุนัขจนตรอก."อั๊ก.. ก.. ก..!""หึ.. หึ.. ฮ่า.. ฮ่า.. ฮ่าาา.. ฮ่าาา..""ฮั่ว! , ฮ่า ๆ , ฮ่า ๆ , ฮ่า ๆ"."มีกิจอันใดให้น่าขันมิทราบ ต่อหน้าฝ่าพระบาทเจ้าไยกล้ากระทำล่วงเกินองค์เง็กเซียนถึงเพียงนี้!""หุบปากซะ! ดาบจ้านหุน (战魂) ของข้ายังมิอยากลิ้มชิมดวงวิญญาณของเจ้าในยามนี้ , เงียบบบ!"."ปั๊กกก!"กระแทกสันดาบใส่กบาลทหารส่งสาส์นไปหนึ่งดอก ดูทรงแล้วหมอนี่เหมือนจะไม่ยี่หระกับสถานการณ์เลย เหมือนเขาเป็นแค่ทหารแนวหน้าที่ถูกใช้แล้วทิ้ง ชีวิตโคตรไร้ค่ายิ่งกว่าถุงยางที่ห่อด้วยผ้าอนามัย."ข้าน้อยมิมีความเจ็บปวดอันใดหรอกนายท่าน พวกข้าชาชินกับพิษบาดแผลไม่ต่างจากวารีเคียงคู่กับมัจฉา""อั๊ก..ก..ก..! เราแตกต่างจากชาวสวรรค์เยี่ยงท่านโดยสิ้นเชิง พวกท่านมีเครื่องส
“เฮือกกก!”.เสียงท่านเง็กเซียนสะบัดดวงหน้าออกมาจากแท่งเสาน้ำได้อย่างฉิวเฉียด แต่ก็ยังเร็วไม่พอ.“ระวังขอรับท่านเง็กเซียน! อร๊ายยย! หวาดเสียว!”.“ฉึบ!!!”.“ซ่าาาาา~!”.จริงอย่างที่ท่านปู่ซืออี้ตะโกนลั่น แกยังอุทานไม่จบประโยคดีด้วยซ้ำ เคราสีเทาอันเงางามของท่านจักรพรรดิก็โดนมวลน้ำทั้งยวงหั่นขาดสะบั้นลงต่อหน้า! ศีรษะอาจจะดึงหลบพ้นแต่เคราดันไม่รอด ละอองเศษเส้นขนปลิวกระจุยกระจาย ทำเอาท่านเง็กเซียนถึงกับเซถลาหงายท้องล้มกองลงบนพื้น.“天啊 ! (เทียน นา!) เป็นยังไงบ้างขอรับท่านเง็กเซียน?”แกรีบปรี่เข้ามาสอบถามอาการ โดยไม่สนใจใยดีน้ำในอ่างคันฉ่องธารา ที่กระเพื่อมต่ำลงจนลดระดับเหลือเพียงครึ่ง."差点就完了,幸好逃过一劫.. (ช่าเตี่ยน จิ้ว หวาน เลอะ ซิ่งห่าว เถากั้ว อี้เจี๋ย)"ฟังไม่ได้ศัพท์นักแต่แปลเป็นไทยจากท่านเง็กเซียนได้ว่า "เกือบไปแล้วสิ ดีที่รอดมาได้" ระหว่างนั้นมือของท่านก็ยังคงลูบคลึงเคราตัวเองไปด้วย ทั้งที่มันแทบไม่เหลือให้ลูบแล้ว.“คือท่านเง็กเซียนขอรับ.. ข้าน้อยมีบางสิ่งจะเพ็ดทูลให้ทราบ”.“ข้ารู้น่ะ! ข้าแค่คุ้นชินกับการลูบคางแบบนี้เฉย ๆ ข้าจะลุกขึ้นเองผู้เฒ่าอย่างเจ้าหาใช่กิจธุระ!”.“มิใช่ขอรั
ความสงบสุขเห็นเพียงจะเหลือแค่ในพงศาวดาร หากจะว่าด้วยเรื่องของความเก่าแก่แล้ว อาณาจักรบนฟากฟ้านามว่าสรวงสวรรค์แห่งนี้ดูจะเก่าแก่เกินกว่าจะหาบันทึกประวัติศาสตร์เล่มไหนพรรณนาถึงได้ สวรรค์คือวิมานของเหล่าทวยเทพ พวกเขาถูกเชื่อมโยงเข้ากับความเชื่อของมนุษย์ ยิ่งมนุษย์ศรัทธากำลังวรยุทธของเทพแต่ละองค์ ก็จะได้รับอานิสงส์พูนเพิ่มตามพลวัฒน์ ก่อนที่ต่อมาพรหรือคำอธิฐานต่าง ๆ จะถูกดลบันดาลโดยพวกท่าน แล้วส่งกลับลงไปยังเมืองมนุษย์อีกที.จากทิวาข้ามผ่านราตรี ผ่านไปนับหมื่นปีพันปี สวรรค์ก็ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้มาก่อน จะเป็นไปได้เช่นไรที่เทวาสถานวิหารกลางฟ้าแห่งนี้จะถูกโจมตีจากศัตรูที่มิเคยพบเห็น วรยุทธ์อันลึกล้ำกระบวนท่าพิสดารแหวกโลกัณฑ์ทำให้การรุกคืบใกล้ขึ้นและใกล้เข้า ท่านปู่ซืออี้เทพแห่งการเรียนรู้ คลี่ม้วนคัมภีร์อักขราวิสุทธ์ แกพยายามจะแจ้งเรื่องนี้กับเง็กเซียนฮ่องเต้ผู้เป็นจักรพรรดิสูงสุดให้ทราบว่า กลศึกที่ศัตรูใช้มิได้อยู่ในตำราพิชัยยุทธเล่มใดเลย พวกมันเป็นยิ่งกว่ามือปืน อาวุธสวรรค์ทุกชิ้นต้านทานได้เพียงประหนึ่งไม้ซุงงัดกับภูเขาเจียนจื่ออี้ ( 简子怡 ) เห็นทีท่านปู่คงต้องฝากตัวรับใช้นา