LOGIN"ฟึบ!"
ตื่นมาอีกทีไม่รู้ว่าที่ไหน แล้วก็ไม่ใช่การเล่าเรื่องผ่านกงกงเซียน LGBT บนสรวงสวรรค์ด้วย
.
ณ มณฑลแห่งหนึ่งของแผ่นดินใหญ่แดนมังกร เทียบปี ค.ศ. ห่างจากปีปัจจุบันบวกลบไม่น่าจะเกิน 3 ปี หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็น่าจะบอกว่าภาพเหตุการณ์ได้ถูกตัดสลับลงมายังโลกมนุษย์แล้ว ต่อไปนี้ทุกท่านจะได้รับฟังเรื่องราวอันสุดแสนธรรมดาของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่คลั่งไคล้การเตะฟุตบอลในระดับสูงลิ่ว เด็กใน Gen เขาอาจจะถูกเลี้ยงมาด้วยสมาร์ทโฟนหรือจอแท็บเล็ต นิทานสมัยเราเมาคลีอาจจะถูกเลี้ยงมาโดยแม่หมาป่า แต่สำหรับเขา ๆ แหวกครรภ์มารดามาพร้อมกับลูกฟุตบอล!
.
"โอ๋ลูกแม่.." ไม่เลยเพราะคำแรกที่แม่เรียกเขาคือ "โอ๋ลูกบอล.." คิดเอาเถอะว่าขนาดเจ้าชายสิทธัตถะผู้มากด้วยบารมียังเดินได้ 7 ก้าวตั้งแต่แรกเกิด ก้าวเดินไปทางไหนจะมีดอกบัวผุดมารองรับ ฉันใดก็ฉันนั้นเด็กคนนี้เลี้ยงบอลได้ก่อนจะตั้งไข่ ก้าวเดินไปทางไหนหญ้าจะงอกพร้อมกลายเป็นสนามบอลในทุกหนทุกที่ นี่มันอัจฉริยะบุคคลชัด ๆ นี่คือหนูน้อยที่ 100 ปีจะมีสักคน และโชคดีมากที่เขาได้กำเนิดเกิดในมณฑลที่บ้าคลั่งกีฬาชนิดนี้อย่างถึงขีดสุด
.
"จางอี้เฟิง (张逸风)" คือชื่อของเขา "จาง" คือแซ่มาจากต้นตระกูลดังที่ประกอบกิจการเชิงพาณิชย์จนรุ่งเรืองสืบต่อกันมาหลายรุ่น "เฟิง" คือ สายลม เมื่อผนวกรวมกับคำว่า "อี้" ที่แปลว่า อิสระ ชื่อของเขาจึงเป็นมากกว่าความหมายเชิงสัญลักษณ์ ไม่รู้สิแปลเป็นไทย "จางอี้ฟง" คงประมาณว่า “บุรุษสายลมแห่งอิสระ” อะไรทำนองนั้น
.
ซึ่งเจ้าตัวก็รักชื่อนี้เอามาก ๆ เขามักจะเปรียบเปรยตัวเองตอนอยู่ในสนามว่าเร็วดั่งสายลม ล่องหนเหมือนอากาศ กระชากหนีคู่แข่งได้อย่างอิสระ โรงเรียนกีฬาที่ขึ้นชื่อลือชาที่สุดในมณฑลอย่างสถาบัน "ลี่ฮือหลวง" (李旭龙) จึงต้องรับเขาเอาไว้ในการดูแล
.
ดินแดนมังกรมีมณฑลในการปกครองอยู่หลายร้อย แบ่งเป็นเขตการปกครองรายย่อยได้อีกหลายส่วน และด้วยความที่รัฐบาลกลางมีนโยบายในการส่งเสริมสุขภาพ พวกเขาต้องการลดค่าใช้จ่ายภาครัฐในการจ่ายสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลให้ประชาชน แนวคิดการใช้กีฬานำสาธารณสุขจึงบังเกิด กล้ามต้องนำการทหาร ประชาชนต้องมีกำลังวังชา จะกินดีอยู่ดีได้อย่างไงถ้าร่างกายยังคงอ่อนแอ หากเกิดสงครามจะไปรบกับใครได้ถ้าร่างกายอ่อนด๋อยไม่มีแรงสู้ นี่จึงเป็นยุทธศาสตร์ชาติที่มีการวางระบบกันมาอย่างดี
.
พวกเขาจึงมีดำริว่าแต่ละมณฑลจะต้องมีสำนักกีฬาอย่างน้อย 1 แห่ง เพื่อที่ในทุก ๆ ปีสถาบันเหล่านี้จะได้คัดสรรนักกีฬามาแข่งขันกันในแต่ละประเภท ใครได้แชมป์งบประมาณจะถูกเทลงไปที่นั่นในปริมาณมาก ยิ่งเมืองไหนสร้างประชาชนที่มีสุขภาพแข็งแรงได้มากรัฐบาลยิ่งภาคภูมิใจ ประเทศที่ดีย่อมมาจากประชาชนที่แข็งแรง แล้วหลังจากนั้นพวกเด็ก ๆ จะตรากตรำตำราหลวง ฝึกวิทยายุทธ Ai อื่นใดเพิ่มเติม ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรแล้วหากฐานรากด้านสุขภาพแข็งแกร่ง
.
ฟังเหมือนจะดูดีแต่มีเรื่องแปลกอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือมณฑลที่จางอี้เฟิงพำนักอยู่ดันมีสำนักกีฬาอยู่ถึง 3 แห่ง! ฟังไม่ผิดหรอก! เพราะมันมีที่มาจากสองทฤษฎีสมคบคิดที่ยังมิอาจพิสูจน์ได้ หนึ่งคือเรื่องการเมืองในกลุ่มของพวกผู้ใหญ่ ผลประโยชน์ก้อนโตงบประมาณก้อนใหญ่การแบ่งเค้กจึงออกมาในรูปแบบของสำนักกีฬาที่จะมีเพียงแห่งเดียวแล้วกินรวบไม่ได้ ทุกอย่างต้องแบ่งกันไม่งั้นคงไม่ใช่นักการเมือง
.
สองคือทฤษฎีดาร์บี้แม็ทซ์ เป็นคอนเซ็ปที่ใครสักคนคงไปก็อปมาจากระบบฟุตบอลในต่างประเทศ กล่าวคือในเมือง ๆ หนึ่งไม่จำเป็นต้องมีทีมฟุตบอลเพียงทีมเดียว คนในเมืองร้อยพ่อพันแม่จะให้ใจตรงกันคิดเหมือนกันหมดก็กระไรอยู่ และเพื่อการณ์นั้นทีมต่าง ๆ จึงผุดขึ้นตามมา ซึ่งในทุก ๆ ครั้งที่ทีมเหล่านี้เจอกันพวกเขาจะสู้กันอย่างเข้มข้น บรรยากาศเกมจะเต็มไปด้วยความดุเดือดเล่นกันรุนแรงใส่กันไม่ยั้ง แล้วนั่นก็จะนำมาซึ่งศักยภาพในการพัฒนามณฑลนั่นเอง ที่ใดมีการแข่งขันสูงที่นั่นย่อมมีโอกาส และนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้มณฑลแห่งนี้มีสำนักกีฬามากถึง 3 แห่ง
.
ไม่ว่าเราจะเชื่อในทฤษฎีไหนแต่ความจริงก็คือความจริง และมันก็เกิดขึ้นแล้วว่า สำนักลี่ฮือหลวง , สำนักหลงเซียงถี่อ และ สำนักซิงเหอจิ้งจี้ คือ 3 สถาบันกีฬาที่ตั้งอยู่ในละแวกเดียวกัน และพวกเขาก็มีความเป็นไม้เบื่อไม้เมากันในระดับสูง ไล่มาตั้งแต่ผู้บริหาร , บุคลากร , ยาม , แม่บ้าน ลามไปถึงตัวนักเรียนนักศึกษา ทั้งหมดล้วนแต่มองฝ่ายตรงข้ามเป็นคู่แข่งและจ้องจะเอาชนะ
.
ยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นถาพในฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ที่ ลอนดอน มี เชลซี , อาร์เซน่อล , คริสตัลพาเลซ , สเปอร์ส ฯลฯ เมืองแมนเชสเตอร์ มี แมนยู , แมนซิตี้ , ซัลฟอร์ดซิตี้ , โอลด์แฮม ฯลฯ หรือแม้แต่เมืองลิเวอร์พูล ก็ไม่ได้มีแค่ทีมลิเวอร์พูลแต่ยังมีทีมเอฟเวอร์ตัน มี ทรานเมียร์ โรเวอร์ส มี เซาท์พอร์ต ฯลฯ ความเป็นเลิศคือสิ่งที่ต้องควานหากันมาเสิร์ฟ การเป็นอันดับหนึ่งเพื่อคว้าสถานะตัวแทนมณฑลดูจะเป็นเป้าหมายสูงสุดที่เด็กทุกคนใฝ่ฝัน แล้วมันก็คงจะดูเครียดเกินไปละมั่ง จางอี้เฟิงลูกหม้อแห่งสำนักลี่ฮือหลวงจึงฟุบหลับคาโต๊ะกลางห้องเรียนอยู่แบบนี้..
.
"คร่อก.. คร่อก.. ฟี้~!"
หลับน้ำลายยืดฟุบคาสมุด จนหมึกปากกาย้อยเปรอะพวงแก้ม
.
บางทีเขาอาจจะเข้าใจคุณผู้อ่านที่อ่านอะไรยาว ๆ ไม่ได้ เจอตัวหนังสือเยอะ ๆ ทีไรต่อมขี้เกียจจะทำงานคาถาผนึกหนังตาก่อร่าง แล้วก็จะหลับราวกับถอดปลั๊กอย่างที่เห็น
.
"งั่ม ๆ , คร่อก.. คร่อก.. ฟี้~! หืม..ม..ม~!"
.
โดยหารู้ไม่ว่าท่วงท่าที่จางอี้เฟิงทำ ความงัวเงียงวยงงและวิธีการหลับตาแบบฟุบหน้าแบบนั้น ช่างคล้ายกับท่าทางของท่านเทพกงกงที่เกิดขึ้นบนสวรรค์มิผิดเพี้ยน บทที่แล้วภาพแกตัดสลบไสลแบบนี้เป๊ะเลย ประหนึ่งว่าโลกสองฝั่งกำลังเชื่อมต่อกันอยู่ บนนั้นกำลังเกิดสงครามส่วนข้างล่างนี้จางอี้เฟิงก็กำลังจะเงาหัวหายเช่นกัน หลังคุณครูคนสวยเริ่มเดินมาที่โต๊ะตรงกลางห้องของเขาแล้ว!
.
"แฮ่ม.. ม.. ม..!"
"คุณจางนี่ยังคงอยู่ในคาบเวลาเรียนนะคะ.."
"กรุณาเงยหน้าขึ้นเดี๋ยวนี้ค่ะ"
.
"คุณจะมาหลับใส่คลาสวิชาฟิสิกส์การกีฬาของดิฉันไม่ได้นะคะ!"
"ตื่นค่ะ! คุณไม่ใช่เด็กแล้วนะคะ!"
"เฮ้!!! "
.
จริงอย่างที่คุณครูสุดเอ๊กซ์หุ่นสะบึมบอก เพราะแม้จะไม่ได้เล่าถึงแต่ความจริงอีกอย่างก็คือ จางอี้เฟิงกับเพื่อน ๆ ณ ตอนนี้มีอายุ 17 ปีกันหมดแล้ว พวกเขาเติบโตกันเป็นหนุ่มเป็นสาว สรีระร่างกายกำยำพร้อมผสมเกสร แต่ปัญหาก็คือการเรียนการสอนทฤษฎีในห้องนี่แหละที่มักจะทำให้จางอี้เฟิงหลับ เขายังคงงึมงำฟุบหน้าไม่พูดไม่จา จนท้ายที่สุดคุณครูก็ต้องงัดไม้ตายออกมา
.
ผ่านการนับหนึ่งถึงสิบในใจช้า ๆ ด้วยความใจเย็น เธอยืนอยู่เสมอโต๊ะของจางอี้ฟงแล้ว ศรีษะเขาแทบจะตรงกับระดับของหัวหน่าวเธอ ครูสาวหลับตาลงแช่มช้าจนกระทั่งนับไปถึงเลข 9 เธอก็ชี้น้ิวเรียว ๆ ขึ้นไปข้างบนฝ้าเพดาน แล้วจากนั้นก็!
.
"กริ๊งงงงงงงงงง!!!!!"
.
พ่องมึงตาย! เสียงกริ่งหมดเวลาเรียนดังราวกับสัญญาณไฟไหม้ จางอี้เฟิงสะดุ้งโหยงปาดน้ำลายจนหน้าเลอะหมึกเปื้อนเลยไปถึงหน้าผาก ทำเอาคุณครูที่ตั้งใจจะดุถึงกับหลุดขำ เสียงหัวเราะของเพื่อน ๆ ดังไปทั่วห้องพร้อม ๆ กับการเก็บโต๊ะเก็บกระเป๋าของทุกคนที่รวดเร็วระดับความเร็วแสง
.
"อุ๊ย! คุณครูผมตกใจหมดเลย หมดคาบแล้วใช่ไหมครับเนี่ยะ?!"
.
"ใช่ค่ะ! รอดตัวไปนะคุณจางไม่งั้นฉันเล่นงานคุณแน่"
.
"โห.. ไม่หรอกครับครู คุณครูใจดีจะตาย งั้นผมไปก่อนนะครับผมต้องรีบไปซ้อมบอล"
"คลาสเรียนคุณครูแอร์เย็นมาก ผมนี่หลับอย่างอร่อยเลยเหอะ ๆ ไปก่อนนะครับ! สวัสดีครับ!"
.
"ฟับ! , ควับ! , ตุบ! , ตุบ! , ตุบ! , ตุบ! , ตุบ! , ตุบ!"
.
เก็บกระเป๋าเร็วจนเหมือนไม่เก็บ กระโดดพรวดเดียวทะลุผ่านหน้าคุณครู พลางสปรินท์ด้วยสปีดต้นที่เร็วพอ ๆ กับตอนที่อยู่ในสนาม ฝุ่นตลบอบอวลฟุ้งโขมง ทิ้งไว้แต่เพียงคุณครูคนสวยที่ยืนแจกควยในใจให้แก่ลูกศิษย์
.
นี่แหละคือจางอี้เฟิงเขาเป็นของเขาแบบนี้เสมอ คือจะตื่นตัวเรื่องฟุตบอลมากกว่าสิ่งใด เพราะจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้สะดุ้งตื่นเพราะเสียงออดหรอก แต่ตื่นเพราะจิตใต้สำนึกรู้ว่าถึงเวลาที่จะได้เตะบอลในสนามแล้วต่างหาก อะดรีนาลีนพุ่งปรี๊ด แล้วเขาก็วิ่งออกไปยังสนามซ้อมระดับมาตรฐานของสำนักลี่ฮือหลวง สนามที่มีหญ้าใบสั้นเขียวขจีราวกับปูพรม นุ่มราวกับมาสเมลโล่นุ่ม ๆ ชุ่มน้ำยาดาวน์นี่
.
.
และก่อนจะจบบทนี้หากสังเกตกันดี ๆ ก็จะเห็นว่า สำนักลี่ฮือหลวง แท้ที่จริงก็คือการกลับคำมาจากตำหนักสวรรค์ "หวงหือลี่" ที่อยู่บนฟากฟ้านั่นเอง อนิจจาที่จางอี้เฟิงกลับไม่รับรู้ถึงความเชื่อมโยงตรงนี้แม้แต่นิดเดียว
โกหกตกนรกใต้ดิน , ใครไม่รักษาคำสัตย์ต้องกลืนเข็มพันเล่ม , ให้แล้วเอาคืนมะรืนนี้ตาย ฯลฯ สารพัดถ้อยคำสาปส่งในตำนานมักจะเชื่อมโยงโลกมนุษย์เข้ากับปรภพ แล้วก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่ามักจะมีเทพองค์นั้นองค์นี้ลงมาเกี่ยวข้อง คำถามคือแล้วจางอี้เฟิงของเราล่ะ! นักบอลตำแหน่งตัวสำรองของสำนักลี่ฮือหลวงผู้นี้ เพิ่งจะเตะบอลอัดไข่กระโปกเทพกงกงไปเมื่อเช้า คิดเหรอว่าเขาจะรอดจากอาชญากรรมพวงอัณฑะนี้ไปได้ อนิจจาสาสมใจ ยังไม่ถึงครึ่งวันเคราะห์กรรมก็เห็นผล."อั๊ก! , อ่ะ! , อึ๊ก..ก..ก..ก..! , อั๊ก!""เหี้ย! เกิดอะไรขึ้นกับไข่เราวะ แม่งปวดชิบเป๋ง!""มันเหมือนมีอะไรมาบีบไข่เราไว้เป็นพัก ๆ บีบแล้วก็ปล่อย! ปล่อยแล้วก็บีบ! อู๊ยยยย!!!".กริยาบิดไปบิดมาอยู่บนเก้าอี้ช่างดูไม่สง่างาม เขาดูเหมือนกับเด็กอนุบาลที่ปวดฉี่แต่ไม่กล้ายกมือขอคุณครู หนำซ้ำยังทนอยู่ ทนต่อ แล้วก็ทนต่อไป จนกระทั่งลามมาถึงช่วงพักเที่ยง."กริ๊งงงงงง!!!! , กริ๊งงงงงง!!!!"เสียงออดพักเที่ยงดังสนั่น คุณครูเก็บเอกสารปล่อยนักเรียนไปรับประทานข้าวเที่ยง และทันใดนั้นแอลลี่ที่นั่งอยู่โต๊ะฝั่งตรงข้าม ก็ได้เร่งเดินเข้ามาหาจางอี้เฟิงเป็นคนแรก."อี้เฟิงนายเป็นอะไร
อรุณเบิกฟ้านกกาโบยบิน ในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากหลับนอนกับแอลลี่ใน Multiverse ไปหลายน้ำ ก็ถึงเวลาที่จางอี้เฟิงจะลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับการต่อสู้ในชีวิตจริงซะที เขาอาบน้ำแต่งตัวลงมาทานข้าวเช้าที่คุณแม่เตรียมไว้ให้ อาหารวันนี้ยังคงหอมกรุ่นชวนกินเช่นเคย มีหมั่นโถว่ลูกใหญ่ , ซุปหัวไชเท้า , ข้าวต้มกุ๊ยร้อน ๆ แล้วก็ขนมกรุบกรอบไว้ทานเล่นอีกมากมายหลายชนิด เห็นแล้วก็ชวนให้เจริญอาหารดีเหลือเกิน."ลูกเฟิงนั่งลงสิลูก เช้านี้แม่จัดชุดใหญ่ไว้ให้หนูเลยนะ""แม่รู้นะว่าลูกมีเรื่องไม่สบายใจ เมื่อวานก็ไม่เห็นจะกินอะไรสักคำ.."คุณแม่ตักน้ำแกงมาวางที่โต๊ะ ด้วยสีหน้าของคนเป็นห่วง."ไม่มีอะไรหรอกครับแม่ แค่นี้ผมจัดการเองได้ ผมโตแล้วนะครับ"จางอี้เฟิงตอบเสียงเรียบ เขาก็ยังเป็นเขาและไม่มีทางบอกหรอกว่าไอ้ที่ว่าแก้ปัญหาน่ะ คือการชักว่าวแบบมาราธอน!.คุณพ่อที่นั่งทานข้าวอยู่ก่อนแล้ว ก็เลยแทรกขึ้น."งั้นถ้าไม่อยากเล่า! ก่อนจะนั่งลงกินข้าวก็ยกสำรับไปไหว้เทพเตาไฟเจ้าเสิน (灶神) ท่านสักหน่อยสิ""ท่านเป็นเทพประจำบ้านผู้คอยปกป้องคุ้มครองเรา ลูกลองขอพรจากท่านดู อย่างน้อยจิตใจจะได้ผ่อนคลายลง""ถ้าสมาธิไม่ดีจะเรื่องเรียน หรื
ดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง ทำไมฟ้าถึงเห็นเขาเป็นตัวตลกเช่นนี้ เทพเซียนเบื้องบนประทานพรสวรรค์ในการเตะบอลมาให้ แต่กลับกลายเป็นเขาเองที่ทำทุกอย่างพังลงกับมือ จางอี้เฟิงวิ่งฝ่าความมืดเอานิทราบดบังราคี ดวงหน้าเขาเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจ เขาทั้งผิดหวังในตัวเอง และผิดหวังในตัวแอลลี่ เพราะไม่คิดไม่ฝันว่าเพื่อนที่สนิทกันขนาดนั้น จะกล้าทำในสิ่งที่เหมือนกับในหนัง AV ลงไปได้.แอลลี่จะทำอะไรให้พี่หลิงห่าวบ้างนะ เธอจะคุกเข่าลงแล้วถลกกางเกงพี่เขาออกใช่ไหม หรือจะเริ่มจากการค่อย ๆ ล้วงแล้วใช้ปาก อื้อหือ! ในหัวจางอี้เฟิงนี่เต็มไปด้วยฉากอีโรติค เขาอายุ 17 ยังไม่เต็ม 18 ดีด้วยซ้ำ แต่ฉากรักบำเรอกามเหล่านั้นกลับฟุ้งซ่านอยู่เต็มกบาลเต็มไปหมด ไม่ไหว ๆ ไม่เอาแล้วไม่คิดแล้ว! ทันทีที่วิ่งกลับมาถึงบ้านเจ้าตัวจึงรีบกระชากประตูรั้วออกเสียงดัง!."แกร๊งงง!!! , ครืดดด!!!".หมาเฝ้าบ้านเห่าระงม และแน่นนอนว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่นี่พุ่งเข้ามาถามไถ่ก่อนเลยเป็นอันดับแรก พวกท่านเห็นแล้วว่าท่าทางของลูกผิดปกติไป ท่วงท่างุ่นง่านไม่สนใจโลก การก้าวเดินย่างสามขุมไม่พูดไม่จา แม้ทุกคำถามจากบิดามารดาจะเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่จางอี
ต้องใช้คำว่า "เรียบร้อยโรงเรียนลี่ฮือหลวง" ได้เลย จางอี้เฟิงกลายเป็นคนที่แพ้ภัยตัวเอง ฝีเท้าของเขาไม่ได้แย่เขาคือคนที่โดดเด่นที่สุดด้วยซ้ำ แต่ด้วยวุฒิภาวะและความแข็งแกร่งของจิตใจ ก็ต้องยอมรับว่าสอบตกแบบยกกระดาน คนเป็นโค้ชเขาดูออก และเพราะแบบนั้นเจ้าตัวถึงยังมีเงาหัวอยู่ในสำนักในฐานะของตัวสำรอง เป็นคนอื่นคงโดนเฉดออกจากทีม ให้ไปแข่งกีฬาชนิดอื่นไปแล้ว.หลังผลการคัดตัวออกห้วงเวลาก็เข้าสู่ช่วงพลบค่ำพอดี เหล่านักกีฬาตัวแทนต่างก็อิดโรยเหนื่อยล้า ไม่มีใครอยากทำอะไรอีกแล้ว นอกจากรีบอาบน้ำล้างตัวแล้วก็กลับบ้านไปนอน เว้นก็แต่กลุ่มนักเตะทีมสำรอง ที่โค้ชสั่งให้อยู่เก็บของและอุปกรณ์ฝึกซ้อมต่าง ๆ หนักอึ้งจากความผิดหวังแล้ว ยังต้องมาหนักหลังยกของหนักอีก ดูท่าพวกเขาทั้ง 7 คนคงจะไม่สบอารมณ์ต่อสิ่งนี้ แล้วหัวโจกในการก่อหวอดก็ไม่ใช่ใคร จางอี้เฟิงนักเตะแห่งสายลมของเรานี่เอง."เฮ้อ! ให้มันได้อย่างงี้สิฟะ! ไปเว๊ยพวกเรารีบทำรีบเสร็จ""เอ็ง 3 คนไปช่วยกันเก็บเสาโกลล์นะ ส่วนฉันจะเก็บบอลใส่ตาข่าย""ส่วนอีก 3 คนก็กระติกน้ำ ขวดน้ำมันมวยทาขา น้ำมันหมาทาควยอะไรก็เก็บใส่คูลเลอร์ยัดรวม ๆ กันไปเลย""เหนื่อยชิบหายแต่เจ
แดดยามสายซัดเปรี๊ยงแผดเผาหนังศีรษะ เช้านี้อากาศดีไม่เบาไร้ซึ่งเค้าฝนบนฟ้าท้องฟ้าแจ่มใส โดยหารู้ไม่ว่าที่ใต้นภาดังกล่าวกำลังมีลานประลองเพลงแข้งที่เข้มข้นที่สุดในยุคสมัย "หน้ากระดานเรียง 3 หาข้าพเจ้า!" คือถ้อยคำที่เฮดโค้ชสั่งให้ลูกศิษย์วัยเจริญพันธุ์ตั้งแถว เหล่านักฟุตบอลร่วม 30 ชีวิตกรูกันออกมาจากห้องแต่งตัว วิ่งปรี่ลงสู่สนามพร้อมชุดแข่งเต็มยศ งานนี้ไม่ใครก็ใครไม่ฉันก็แกเพราะท้ายที่สุดแล้วจะเหลือแค่ 11 คนที่เป็นตัวจริงให้สำนักกีฬาลี่ฮือหลวงเท่านั้น."เยสโค้ช!"ตะเบงเสียงพร้อมเพรียงกันราวกับแม่ครัว ที่กำลังแข่งขันครัวนรก Hell Kitchen.ตบเท้าโรมรันตั้งศอกจัดระยะ ระหว่างนั้นผู้ช่วยโค้ชก็ได้นำกรวยยางขนาดเล็กไปตั้งเป็นระยะ เพื่อให้นักกีฬาได้ทดสอบการเลี้ยงบอลภายในเวลาที่กำหนด ทิศทางการเลี้ยงมีทั้งเลี้ยงไปตรง ๆ และการเลี้ยงสลับฟันปลาซิกแซ็ก เรียกได้ว่ามีแค่สปีดต้นคงไม่พอ งานนี้ผู้เข้าทดสอบจะต้องมีความพริ้วไหวจากระดับบั้นเอวลงไปด้วย ใครเป็นสายกระเด้าคงได้เปรียบ สะโพกที่ปลิดปลิวจะทำให้พวกเขาผ่านด่านนี้ได้โดยปริยาย ในขณะที่หลายคนก็ตกม้าตายเพราะดันวิ่งเร็วกว่าลูกบอลก็มี.ทั้งจางอี้เฟิงและรุ่นพ
เหลือบมองนาฬิกาหน้าปัดชี้ไปที่ตัวเลข 16.30 น. เขากินความสายเป็นอาหารเช้า ความป่วยหรือไม่สบายก็กัดกินร่างกายของนักฟุตบอลหนุ่มอนาคตไกลอย่างเขาไม่ได้ จางอี้เฟิงมาถึงห้องแต่งตัวก่อนสมาชิกคนอื่นเหมือนเช่นทุกครั้ง เขาไวสมดังชื่อ ตู้ล็อคเกอร์ประจำตัวถูกเปิดออกและจัดแจงหยิบเครื่องแบบนักเลงเพลงแข้งมาสวมใส่ ราวกับผ้ายืดพวกนี้เกิดจากเซลล์รูขุมขนเดียวกับหนังกำพร้าบนเรือนร่างของเขา.ชั่วเคี้ยวหมากแหลกทุกอย่างก็เรียบร้อย ยูนิฟอร์มพร้อมสนับแข้งบรรจุเข้าประจำที่ เปิดก่อนได้เปรียบจางอี้เฟิงแทบจะเดินลงสนามและเริ่มวอร์มอัพก่อนใคร ๆ ซึ่งกว่าเพื่อนร่วมทีมคนอื่นจะทยอยมา เขาก็น่าจะเครื่องร้อนจนนำหน้าทุกคนไปหลายพลวัต ด้วยความสัตย์จริงว่าสถานการณ์ ณ ปัจจุบันทีมฟุตบอลของสำนักลี่ฮือหลวงนั้น ยังหาผู้เล่น 11 ตัวจริงไม่ได้ มีเด็กในโรงเรียนให้เลือกมากมายแต่คนที่ใช่นี่สิ ที่จำเป็นจะต้องได้รับการเคี่ยวเข็ญจนแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจซะก่อน."เอาล่ะ! ตามกำหนดการที่โค้ชบอกวันนี้คือวันคัดตัวจริง 11 คนแรกสินะ!""เราจะพลาดไม่ได้โอกาสมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น! , สู้โว๊ยยย!""เฮ๊ยยยย!!!"."โครมมมม!"ต่อยประตูล็อคเกอร์เข้าไปเ







