LOGINแดดยามสายซัดเปรี๊ยงแผดเผาหนังศีรษะ เช้านี้อากาศดีไม่เบาไร้ซึ่งเค้าฝนบนฟ้าท้องฟ้าแจ่มใส โดยหารู้ไม่ว่าที่ใต้นภาดังกล่าวกำลังมีลานประลองเพลงแข้งที่เข้มข้นที่สุดในยุคสมัย "หน้ากระดานเรียง 3 หาข้าพเจ้า!" คือถ้อยคำที่เฮดโค้ชสั่งให้ลูกศิษย์วัยเจริญพันธุ์ตั้งแถว เหล่านักฟุตบอลร่วม 30 ชีวิตกรูกันออกมาจากห้องแต่งตัว วิ่งปรี่ลงสู่สนามพร้อมชุดแข่งเต็มยศ งานนี้ไม่ใครก็ใครไม่ฉันก็แกเพราะท้ายที่สุดแล้วจะเหลือแค่ 11 คนที่เป็นตัวจริงให้สำนักกีฬาลี่ฮือหลวงเท่านั้น
.
"เยสโค้ช!"
ตะเบงเสียงพร้อมเพรียงกันราวกับแม่ครัว ที่กำลังแข่งขันครัวนรก Hell Kitchen
.
ตบเท้าโรมรันตั้งศอกจัดระยะ ระหว่างนั้นผู้ช่วยโค้ชก็ได้นำกรวยยางขนาดเล็กไปตั้งเป็นระยะ เพื่อให้นักกีฬาได้ทดสอบการเลี้ยงบอลภายในเวลาที่กำหนด ทิศทางการเลี้ยงมีทั้งเลี้ยงไปตรง ๆ และการเลี้ยงสลับฟันปลาซิกแซ็ก เรียกได้ว่ามีแค่สปีดต้นคงไม่พอ งานนี้ผู้เข้าทดสอบจะต้องมีความพริ้วไหวจากระดับบั้นเอวลงไปด้วย ใครเป็นสายกระเด้าคงได้เปรียบ สะโพกที่ปลิดปลิวจะทำให้พวกเขาผ่านด่านนี้ได้โดยปริยาย ในขณะที่หลายคนก็ตกม้าตายเพราะดันวิ่งเร็วกว่าลูกบอลก็มี
.
ทั้งจางอี้เฟิงและรุ่นพี่หลิงห่าวล้วนแต่ผ่านไปได้อย่างสบายเอว เข้าสู่เซสชั่นที่สองก็ยังเป็นการทดสอบทักษะการเล่นกับลูกบอลอยู่ นั่นก็คือการผ่านบอลในระยะใกล้และไกล ความยากของการส่งบอลใกล้ไม่ใช่การใช้ข้างเท้าแปกระทบ หากแต่เป็นการเล่นชิ่ง 1 - 2 ทลายทำนบกองหลัง ที่ทั้งต้องเร็วและต้องแม่น น้ำหนักพลาดนิดเดียวคู่แข่งอาจฉกบอลไปยิงได้เลย
.
ส่วนบอลไกลก็เป็นเรื่องของการให้น้ำหนัก การเปิดบอลให้ไซส์โค้งหนีคู่แข่ง การเปิดบอลไปยังพื้นที่ว่างที่คนเปิดจำเป็นจะต้องมีภาพในหัวและคิดข้ามช็อตให้เป็น ควบรวมไปถึงการเปิดแบบกำหนดจุดตก กล่าวคือจะเปิดยังไงให้บอลตกพื้นแล้วปักแช่อยู่แบบนั้น เปิดแล้วบอลติดสกรูม้วนถอยหลัง หรือเปิดแล้วบอลสปริ้นท์หมุนต่อไปข้างหน้า เอาเป็นว่าถ้าโค้ชสั่งให้ทำแบบไหนนักเรียนจะต้องทำได้ตามนั้นทั้งหมด ใครทำไม่ได้ก็กระเด็นออกจากทีมไป
.
เคราะห์ดีที่ 3 สิ่งนี้ก็หาได้คณามือของจางอี้เฟิง กับ หลิงห่าวแต่อย่างใด คิดเอาเถอะว่าขนาดโค้ชเอาถังน้ำมันมาวางไว้ แล้วบอกให้พวกเขาเตะลงถังให้ได้ 3 ลูกติดจากระยะ 40 หลา , 45 หลา และ 50 หลา พวกเขาก็ส่งบอลซวบปากถังได้ราวกับชู๊ตบาส ไกลขนาดนี้เปิดบอลแบบ Inswing หรือ Early cross ได้สบายบรื๋อ
.
ติดก็แต่หลิงห่าวที่อาจจะต้องเหยียบบอลให้นิ่งซะหน่อย เขาเป็นศูนย์หน้าและบอลต้องแต่งเข้าเท้าข้างถนัดจริง ๆ เขาถึงจะมีความแม่นยำ ต่างจากจางอี้เฟิงที่เล่นเป็นปีกขวา รายนั้นมีสปีดความเร็วที่จัดจ้านมาก กระชากแปดแสนตะบึงควบมายังไงเจ้าตัวก็ตวัดเปิดบอลได้หมดทุกเหลี่ยมมุม แถมยังโจมตีเข้าจุดยุทธศาสตร์คู่แข่งได้อย่างตรงเผง
.
"Nice pass! เปิดสวยมากพี่หลิงห่าว! , เยี่ยมไปเลยพี่! , พี่หลิงห่าวเก่งที่สุด!"
เสียงแอลลีตะโกนเชียร์มาจากข้างสนาม มีกันกว่า 30 ชีวิตแต่เหมือนสาวเจ้าจะเห็นแต่ศูนย์หน้าพ่อเทพบุตรของเธอเพียงคนเดียว
.
"เฮ่ย! ยัยแอลลี่นี่น่าหมั่นไส้ชะมัด! ของเราทำยากกว่าเห็น ๆ เธอมันพวกไร้มาตรฐาน"
"คอยดูตอนลงทีมล่ะกัน ฉันจะทำให้เธอหันมามองฉันให้ได้! , คอยดู!"
.
"ตึบ! , ตึบ! , ตึบ! , ตึบ!"
"ปรี๊ดดด!!!"
(เสียงนักกีฬาคนอื่น ๆ เตะลูกบอลเพื่อทดสอบ สลับกับเสียงนกหวีดของเฮดโค้ชที่ดังอยู่เป็นระยะ)
.
เวลาผ่านไปราวสามก้านธูป ข้อมูลสถิติพร้อมทั้งคลิปวีดีโอการวิเคราะห์ต่าง ๆ ก็ถูกบรรจุลงในไอแพดของทีมงานเรียบร้อย พวกเขาเริ่มจะมีภาพนักเตะ 11 คนแรกในใจลาง ๆ ขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังไม่ครบถ้วนกระบวนความ เพราะต้องผ่านกรรมวิธีลงทีมกันก่อน ฟุตบอลเป็นกีฬาประเภททีมแม้ความสามารถเฉพาะตัวจะจุดประกายไฟแห่งชัยชนะได้ แต่จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาถ้าคุณไม่ใช่ "ดิเอโก มาราโดน่า" ก็อย่าคิดบ้า ๆ ไปท้าทดลอง
.
"ปรี๊ดดด!!!"
นกหวีดยาวเป่าเรียกรวมพล
.
การแบ่งทีมถูกจัดตามความเหมาะสม 2 ฝั่งประกอบด้วยนักเตะฝั่งละ 15 คน มีผู้เล่นเกมรุกเกมรับที่สมดุลไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ คนที่คะแนนดีจะถูกเลือกให้ลงเป็นตัวจริงก่อน ส่วนอีก 4 คนที่เหลือจะกลายเป็นตัวสำรองที่ต้องได้ลงแน่ ๆ ทีม A กับ ทีม B คือชื่อที่โค้ชเรียกขาน โดยแบ่งพวกเขาออกเป็นสองด้านผ่านทางเสื้อกั๊กสีเขียว กับ สีส้มสะท้อนแสง
.
และแน่นอนว่าไอ้คนที่บ้ามูเตลูเชื่อเรื่องโชคลางอย่างจางอี้เฟิงก็มีปัญหาขึ้นมาอีก!
.
"ไอ้เหี้ยเอ๊ย! สีเขียวเหนี่ยวทรัพย์ไหมล่ะมึง! ว่าแล้วเชียวตอนเช้าก็ดันมาเจอยัยตัวซวยอย่างแอลลี่ พอต้องแบ่งทีมดันได้อยู่สีเขียวหำเหี่ยวนี่อีก มันจะไม่เหนี่ยวบอลเข้าประตูตัวเองเหรอวะ! ซวย ๆ ๆ ! ซวยชิบเป๋ง!"
"แล้วไม่ใช่อะไรนะ! ทำไมเราต้องมาอยู่ทีมเดียวกับพี่หลิงห่าวด้วยอ่ะ! เมื่อกี้เราก็เพิ่งพูดไปหยก ๆ ว่าจะโชว์เหนือใส่ทีมพี่เขาให้ยัยแอลลี่หน้าชาไปเลย แบบนี้ก็เท่ากับว่าต้องเล่นเพื่อซัพพอร์ตพี่เขาที่เป็นศูนย์หน้าอ่ะดิ! โห! โคตรไม่ชอบอ่ะโค้ช!"
จางอี้เฟิงคิดทุกอย่างนี้ในใจ เขาบ่นขมุบขมิบแบบไม่มีเสียง มือก็จับเสื้อกั๊กสีเขียวมาสวมใส่ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับชะตากรรมว่าโดนความอยุติธรรมข่มขืน
.
"ฮู่ววว! เอาวะเป็นไงเป็นกัน! มาเด้! เข้ามาเล๊ยยย!"
.
.
นักกีฬาทั้ง 2 ทีมวิ่งพรวดลงสู่สนาม งานนี้น่าจะถึงช่วงทดสอบท้าย ๆ กันแล้ว คนที่พลาดอาจจะไม่มีโอกาสให้แก้ตัวอีก มีตำแหน่ง 11 ตัวจริงของสำนักลี่ฮือหลวงเป็นเดิมพัน พวกเขาเข้ายืนประจำที่ตรงตำแหน่งของใครของมัน ทีมสีเขียวมีหลิงห่าวยืนเป็นศูนย์หน้าตัวเป้า คนอื่น ๆ ที่เหลือลดทอนกันลงมา โดยมีจางอี้เฟิงเล่นตำแหน่งปีกขวาที่เจ้าตัวถนัด
.
เริ่มเกมตั้งแต่เขม่าธูปผงแรกโปรยปลิว รูปเกมก็ถูกชักนำโดยทีมสีเขียวแทบทั้งสิ้น กลีบเหมยหมื่นลี้ยังไม่ทันร่วงหมดต้น ความเร็วดั่งอัสนีของจางอี้เฟิงก็พุ่งทะยานขึ้นหน้านำไปแล้ว ทุกสายตาในสนามล้วนจ้องจับเพียงเงาร่างนั้น ทว่าชั่วพริบตาเดียวแสงเงากลับสับสน สายตานับร้อยพลันมืดบอด เขาเร็วเกินกว่ามนุษย์จะตาม เยือกเย็นราวภูตเงาในลมหนาว แม้พันปักษาเหินบินพร้อมกันก็ยังไม่อาจเทียบรอยก้าวแห่งจางอี้เฟิงได้
.
ส่วนหนึ่งคงเพราะตำแหน่งที่เขาสถิตอยู่ ในฐานะปีกที่ยืนอยู่ชิดเส้นข้าง ฟ้าดินเบื้องหน้าเปิดโล่งกว่ามิดฟิลด์กลางสนาม ตัวประกบมีน้อย หากพลาดเพียงนิด ก็ยังมีทางขับลูกออกเส้นข้างประวิงเวลาให้พวกพ้องลงมาช่วยซ้อนทัน ต่างจากผู้ที่ยืนเป็นมิดฟิลด์โดยกำเนิด เขาเหล่านั้นต้องเผชิญกับคู่แข่งถึงแปดทิศ พอสิ้นพันธะทั้งปวงเหล่านี้ ฟอร์มของจางอี้เฟิงก็แจ่มชัดดุจคมกระบี่ที่ผ่านไฟ ลีลาสับขาหลอกว่องไวประหนึ่งพยัคฆ์เล่นเงา ซ้ายขวาซิกแซ็กจนฝ่ายตรงข้ามกลืนฝุ่นมิทัน ไม่มีใครหยุดจางอี้เฟิงได้ และตัวเขาเองก็เริ่มรู้ดีถึงความต่างชั้นของเพลงแข้งระหว่างตนกับผู้อื่น ชั่วเสี้ยวหายใจ จิตภายในจึงไพร่คิด
.
"เอ๊ะ! หรือนี่จะเป็นโอกาสให้เราเล่นงานพี่หลิวห่าวกันนะ?"
"ทีมสีส้มอ่อนหัดขนาดนี้เราจะเปิดบอลจากตรงไหนก็ได้ในสนาม ซึ่งถ้าเราเปิดดีพี่หลิวห่าวก็จะได้ซีน"
"แต่ถ้าเราเปิดห่วย โค้ชก็จะไม่เรียกเราติดทีมตัวจริงเช่นกัน.."
.
สับขาหลอกตวัดลูกส้นกระดกข้ามหัวคู่แข่งที่เสียบกระโจนเข้ามา จางอี้เฟิงวาร์ปหายไปพร้อมกับความเร็วอีกครั้ง ก่อนจะโผล่ฟุบขึ้นมาอีกทีที่ระยะราว 28 หลาเยื้องไปทางฝั่งขวาของกรอบเขตโทษ เวลาในการคิดอกุศลของเขาใกล้ได้ข้อสรุปแล้ว
.
"ไม่! ๆ ๆ , ไม่ได้! เราจะแกล้งเตะอัดคานหรือเตะออกหลังไม่ได้เด็ดขาด!"
"มีแต่ต้องเปิดให้ตรงพี่หลิวห่าวสถานเดียว ถ้างั้นก็เอาแบบนี้ล่ะกัน.. ขอโทษนะพี่แต่ผมยอมให้พี่เด่นเกินหน้าเกินตาผมไม่ได้จริง ๆ"
"จงรับไป! ลูกเปิดที่ไม่มีหมาตัวไหนพักบอลลงได้จากผม! , ฮึ่ยยย~!"
.
"ตึบ! , ตึบ! , ตึบ! , ตึบ!"
.
สาบานต่อหน้าเทพเทวาฟ้าดิน ว่าหลังจากคิดชั่วกับตัวเองในใจเสร็จ บอลทุกลูกที่ออกจากตีนจางอี้เฟิงแม่งมีแต่ลูกแรง! ๆ แรงชนิดที่ว่าโดนท้องต้องมีจุก โดนขาต้องมีซ้น โดนหัวต้องมีหนังหัวเถิกกันบ้าง มันจึงเป็นยิ่งกว่าการเจตนากลั่นแกล้ง พี่หลิงห่าวแกไม่รู้สี่รู้แปดอะไรด้วยเลย แกก็แค่ศูนย์หน้าคนหนึ่งที่มีหน้าที่จบสกอร์ ซึ่งแกก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม
.
"ซึบ! , ซึบ! , ซึบ! , ซึบ! "
คุณพระช่วย! สะบัดคออย่างสวยสี่ดอกเน้น ๆ ตุงตาข่ายหมด ซึ่งต่อให้จางอี้เฟิงจะจัญไรเปิดบอลอุบาทว์ขนาดไหน เขาก็แก้ไขให้เป็นประตูได้ทุกสถานการณ์
.
แอลลี่นี่กระโดดดีใจอย่างกับถูกล็อตเตอรี่ ดูเหมือนว่าหลิงห่าวจะเก่งกว่าที่จางอี้เฟิงประเมินไว้เยอะ และสุดท้ายจากที่ตั้งใจจะทำให้คนอื่นเขาอับอาย กลับกลายเป็นสองแข้งสองขาของตัวเองที่สั่นเทิ้มไปหมด เฮดโค้ชกับทีมงานเดินลงมาในสนามหลังเป่านกหวีดจบการแข่งขัน หลิงห่าวถูกขานชื่อว่าเป็นตัวจริงของทีมเป็นคนแรก จนกระทั่งไล่เรียงมาถึงคนที่อยู่ลำดับสุดท้าย ทว่าชื่อ "จางอี้เฟิง" กลับไม่ถูกขานขึ้นมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว "ไห่ เหริน จง ไห่ จี่ (害人终害己)" นักเตะหนุ่มควรค่าแก่คำสุภาษิตนี้ เพราะมันแปลเป็นไทยได้ว่า "ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว" นั่นเอง
โกหกตกนรกใต้ดิน , ใครไม่รักษาคำสัตย์ต้องกลืนเข็มพันเล่ม , ให้แล้วเอาคืนมะรืนนี้ตาย ฯลฯ สารพัดถ้อยคำสาปส่งในตำนานมักจะเชื่อมโยงโลกมนุษย์เข้ากับปรภพ แล้วก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่ามักจะมีเทพองค์นั้นองค์นี้ลงมาเกี่ยวข้อง คำถามคือแล้วจางอี้เฟิงของเราล่ะ! นักบอลตำแหน่งตัวสำรองของสำนักลี่ฮือหลวงผู้นี้ เพิ่งจะเตะบอลอัดไข่กระโปกเทพกงกงไปเมื่อเช้า คิดเหรอว่าเขาจะรอดจากอาชญากรรมพวงอัณฑะนี้ไปได้ อนิจจาสาสมใจ ยังไม่ถึงครึ่งวันเคราะห์กรรมก็เห็นผล."อั๊ก! , อ่ะ! , อึ๊ก..ก..ก..ก..! , อั๊ก!""เหี้ย! เกิดอะไรขึ้นกับไข่เราวะ แม่งปวดชิบเป๋ง!""มันเหมือนมีอะไรมาบีบไข่เราไว้เป็นพัก ๆ บีบแล้วก็ปล่อย! ปล่อยแล้วก็บีบ! อู๊ยยยย!!!".กริยาบิดไปบิดมาอยู่บนเก้าอี้ช่างดูไม่สง่างาม เขาดูเหมือนกับเด็กอนุบาลที่ปวดฉี่แต่ไม่กล้ายกมือขอคุณครู หนำซ้ำยังทนอยู่ ทนต่อ แล้วก็ทนต่อไป จนกระทั่งลามมาถึงช่วงพักเที่ยง."กริ๊งงงงงง!!!! , กริ๊งงงงงง!!!!"เสียงออดพักเที่ยงดังสนั่น คุณครูเก็บเอกสารปล่อยนักเรียนไปรับประทานข้าวเที่ยง และทันใดนั้นแอลลี่ที่นั่งอยู่โต๊ะฝั่งตรงข้าม ก็ได้เร่งเดินเข้ามาหาจางอี้เฟิงเป็นคนแรก."อี้เฟิงนายเป็นอะไร
อรุณเบิกฟ้านกกาโบยบิน ในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากหลับนอนกับแอลลี่ใน Multiverse ไปหลายน้ำ ก็ถึงเวลาที่จางอี้เฟิงจะลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับการต่อสู้ในชีวิตจริงซะที เขาอาบน้ำแต่งตัวลงมาทานข้าวเช้าที่คุณแม่เตรียมไว้ให้ อาหารวันนี้ยังคงหอมกรุ่นชวนกินเช่นเคย มีหมั่นโถว่ลูกใหญ่ , ซุปหัวไชเท้า , ข้าวต้มกุ๊ยร้อน ๆ แล้วก็ขนมกรุบกรอบไว้ทานเล่นอีกมากมายหลายชนิด เห็นแล้วก็ชวนให้เจริญอาหารดีเหลือเกิน."ลูกเฟิงนั่งลงสิลูก เช้านี้แม่จัดชุดใหญ่ไว้ให้หนูเลยนะ""แม่รู้นะว่าลูกมีเรื่องไม่สบายใจ เมื่อวานก็ไม่เห็นจะกินอะไรสักคำ.."คุณแม่ตักน้ำแกงมาวางที่โต๊ะ ด้วยสีหน้าของคนเป็นห่วง."ไม่มีอะไรหรอกครับแม่ แค่นี้ผมจัดการเองได้ ผมโตแล้วนะครับ"จางอี้เฟิงตอบเสียงเรียบ เขาก็ยังเป็นเขาและไม่มีทางบอกหรอกว่าไอ้ที่ว่าแก้ปัญหาน่ะ คือการชักว่าวแบบมาราธอน!.คุณพ่อที่นั่งทานข้าวอยู่ก่อนแล้ว ก็เลยแทรกขึ้น."งั้นถ้าไม่อยากเล่า! ก่อนจะนั่งลงกินข้าวก็ยกสำรับไปไหว้เทพเตาไฟเจ้าเสิน (灶神) ท่านสักหน่อยสิ""ท่านเป็นเทพประจำบ้านผู้คอยปกป้องคุ้มครองเรา ลูกลองขอพรจากท่านดู อย่างน้อยจิตใจจะได้ผ่อนคลายลง""ถ้าสมาธิไม่ดีจะเรื่องเรียน หรื
ดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง ทำไมฟ้าถึงเห็นเขาเป็นตัวตลกเช่นนี้ เทพเซียนเบื้องบนประทานพรสวรรค์ในการเตะบอลมาให้ แต่กลับกลายเป็นเขาเองที่ทำทุกอย่างพังลงกับมือ จางอี้เฟิงวิ่งฝ่าความมืดเอานิทราบดบังราคี ดวงหน้าเขาเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจ เขาทั้งผิดหวังในตัวเอง และผิดหวังในตัวแอลลี่ เพราะไม่คิดไม่ฝันว่าเพื่อนที่สนิทกันขนาดนั้น จะกล้าทำในสิ่งที่เหมือนกับในหนัง AV ลงไปได้.แอลลี่จะทำอะไรให้พี่หลิงห่าวบ้างนะ เธอจะคุกเข่าลงแล้วถลกกางเกงพี่เขาออกใช่ไหม หรือจะเริ่มจากการค่อย ๆ ล้วงแล้วใช้ปาก อื้อหือ! ในหัวจางอี้เฟิงนี่เต็มไปด้วยฉากอีโรติค เขาอายุ 17 ยังไม่เต็ม 18 ดีด้วยซ้ำ แต่ฉากรักบำเรอกามเหล่านั้นกลับฟุ้งซ่านอยู่เต็มกบาลเต็มไปหมด ไม่ไหว ๆ ไม่เอาแล้วไม่คิดแล้ว! ทันทีที่วิ่งกลับมาถึงบ้านเจ้าตัวจึงรีบกระชากประตูรั้วออกเสียงดัง!."แกร๊งงง!!! , ครืดดด!!!".หมาเฝ้าบ้านเห่าระงม และแน่นนอนว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่นี่พุ่งเข้ามาถามไถ่ก่อนเลยเป็นอันดับแรก พวกท่านเห็นแล้วว่าท่าทางของลูกผิดปกติไป ท่วงท่างุ่นง่านไม่สนใจโลก การก้าวเดินย่างสามขุมไม่พูดไม่จา แม้ทุกคำถามจากบิดามารดาจะเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่จางอี
ต้องใช้คำว่า "เรียบร้อยโรงเรียนลี่ฮือหลวง" ได้เลย จางอี้เฟิงกลายเป็นคนที่แพ้ภัยตัวเอง ฝีเท้าของเขาไม่ได้แย่เขาคือคนที่โดดเด่นที่สุดด้วยซ้ำ แต่ด้วยวุฒิภาวะและความแข็งแกร่งของจิตใจ ก็ต้องยอมรับว่าสอบตกแบบยกกระดาน คนเป็นโค้ชเขาดูออก และเพราะแบบนั้นเจ้าตัวถึงยังมีเงาหัวอยู่ในสำนักในฐานะของตัวสำรอง เป็นคนอื่นคงโดนเฉดออกจากทีม ให้ไปแข่งกีฬาชนิดอื่นไปแล้ว.หลังผลการคัดตัวออกห้วงเวลาก็เข้าสู่ช่วงพลบค่ำพอดี เหล่านักกีฬาตัวแทนต่างก็อิดโรยเหนื่อยล้า ไม่มีใครอยากทำอะไรอีกแล้ว นอกจากรีบอาบน้ำล้างตัวแล้วก็กลับบ้านไปนอน เว้นก็แต่กลุ่มนักเตะทีมสำรอง ที่โค้ชสั่งให้อยู่เก็บของและอุปกรณ์ฝึกซ้อมต่าง ๆ หนักอึ้งจากความผิดหวังแล้ว ยังต้องมาหนักหลังยกของหนักอีก ดูท่าพวกเขาทั้ง 7 คนคงจะไม่สบอารมณ์ต่อสิ่งนี้ แล้วหัวโจกในการก่อหวอดก็ไม่ใช่ใคร จางอี้เฟิงนักเตะแห่งสายลมของเรานี่เอง."เฮ้อ! ให้มันได้อย่างงี้สิฟะ! ไปเว๊ยพวกเรารีบทำรีบเสร็จ""เอ็ง 3 คนไปช่วยกันเก็บเสาโกลล์นะ ส่วนฉันจะเก็บบอลใส่ตาข่าย""ส่วนอีก 3 คนก็กระติกน้ำ ขวดน้ำมันมวยทาขา น้ำมันหมาทาควยอะไรก็เก็บใส่คูลเลอร์ยัดรวม ๆ กันไปเลย""เหนื่อยชิบหายแต่เจ
แดดยามสายซัดเปรี๊ยงแผดเผาหนังศีรษะ เช้านี้อากาศดีไม่เบาไร้ซึ่งเค้าฝนบนฟ้าท้องฟ้าแจ่มใส โดยหารู้ไม่ว่าที่ใต้นภาดังกล่าวกำลังมีลานประลองเพลงแข้งที่เข้มข้นที่สุดในยุคสมัย "หน้ากระดานเรียง 3 หาข้าพเจ้า!" คือถ้อยคำที่เฮดโค้ชสั่งให้ลูกศิษย์วัยเจริญพันธุ์ตั้งแถว เหล่านักฟุตบอลร่วม 30 ชีวิตกรูกันออกมาจากห้องแต่งตัว วิ่งปรี่ลงสู่สนามพร้อมชุดแข่งเต็มยศ งานนี้ไม่ใครก็ใครไม่ฉันก็แกเพราะท้ายที่สุดแล้วจะเหลือแค่ 11 คนที่เป็นตัวจริงให้สำนักกีฬาลี่ฮือหลวงเท่านั้น."เยสโค้ช!"ตะเบงเสียงพร้อมเพรียงกันราวกับแม่ครัว ที่กำลังแข่งขันครัวนรก Hell Kitchen.ตบเท้าโรมรันตั้งศอกจัดระยะ ระหว่างนั้นผู้ช่วยโค้ชก็ได้นำกรวยยางขนาดเล็กไปตั้งเป็นระยะ เพื่อให้นักกีฬาได้ทดสอบการเลี้ยงบอลภายในเวลาที่กำหนด ทิศทางการเลี้ยงมีทั้งเลี้ยงไปตรง ๆ และการเลี้ยงสลับฟันปลาซิกแซ็ก เรียกได้ว่ามีแค่สปีดต้นคงไม่พอ งานนี้ผู้เข้าทดสอบจะต้องมีความพริ้วไหวจากระดับบั้นเอวลงไปด้วย ใครเป็นสายกระเด้าคงได้เปรียบ สะโพกที่ปลิดปลิวจะทำให้พวกเขาผ่านด่านนี้ได้โดยปริยาย ในขณะที่หลายคนก็ตกม้าตายเพราะดันวิ่งเร็วกว่าลูกบอลก็มี.ทั้งจางอี้เฟิงและรุ่นพ
เหลือบมองนาฬิกาหน้าปัดชี้ไปที่ตัวเลข 16.30 น. เขากินความสายเป็นอาหารเช้า ความป่วยหรือไม่สบายก็กัดกินร่างกายของนักฟุตบอลหนุ่มอนาคตไกลอย่างเขาไม่ได้ จางอี้เฟิงมาถึงห้องแต่งตัวก่อนสมาชิกคนอื่นเหมือนเช่นทุกครั้ง เขาไวสมดังชื่อ ตู้ล็อคเกอร์ประจำตัวถูกเปิดออกและจัดแจงหยิบเครื่องแบบนักเลงเพลงแข้งมาสวมใส่ ราวกับผ้ายืดพวกนี้เกิดจากเซลล์รูขุมขนเดียวกับหนังกำพร้าบนเรือนร่างของเขา.ชั่วเคี้ยวหมากแหลกทุกอย่างก็เรียบร้อย ยูนิฟอร์มพร้อมสนับแข้งบรรจุเข้าประจำที่ เปิดก่อนได้เปรียบจางอี้เฟิงแทบจะเดินลงสนามและเริ่มวอร์มอัพก่อนใคร ๆ ซึ่งกว่าเพื่อนร่วมทีมคนอื่นจะทยอยมา เขาก็น่าจะเครื่องร้อนจนนำหน้าทุกคนไปหลายพลวัต ด้วยความสัตย์จริงว่าสถานการณ์ ณ ปัจจุบันทีมฟุตบอลของสำนักลี่ฮือหลวงนั้น ยังหาผู้เล่น 11 ตัวจริงไม่ได้ มีเด็กในโรงเรียนให้เลือกมากมายแต่คนที่ใช่นี่สิ ที่จำเป็นจะต้องได้รับการเคี่ยวเข็ญจนแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจซะก่อน."เอาล่ะ! ตามกำหนดการที่โค้ชบอกวันนี้คือวันคัดตัวจริง 11 คนแรกสินะ!""เราจะพลาดไม่ได้โอกาสมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น! , สู้โว๊ยยย!""เฮ๊ยยยย!!!"."โครมมมม!"ต่อยประตูล็อคเกอร์เข้าไปเ







