LOGINบุรุษวัยกำดัดต้องได้รับการปลดปล่อยอย่างเหมาะสม มิให้เลือดลมที่ร้อนรุ่มแตกซ่านจนธาตุไฟเข้าแทรก
กับสตรีวัยแรกแย้มที่ชีวิตพลิกผันผ่านสูงลงต่ำจนลำเข็ญจำต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรมว่าเป็นได้แค่สาวงามเคียงหมอนของบุรุษที่นางเผลอใจรักเพียงแรกเห็น
ยามที่ทั้งสองเจอกันจึงกระทำตามแต่ใจไร้ใครทัดทาน
จากวันนั้นถึงวันนี้ เป็นเวลาหนึ่งปีเต็มแล้ว
ตัวนางวันนี้คือหญิงสาววัยสิบหกย่างสิบเจ็ดคล้ายบุปผาที่ผลิบานเต็มที่เพื่อเขา ส่วนเขา ชายหนุ่มวัยสิบแปดย่างสิบเก้าปี ซึ่งใกล้วันสวมหมวก[1]เต็มที ไม่นานเขาจะกลายเป็นหินผาสูงชันที่แกร่งกล้ากว่าเดิม เพื่อแคว้นจิน
ตามกฎมณเฑียรบาลแคว้นจินมีการกำหนดให้บุรุษแต่งงานเมื่ออายุยี่สิบปีขึ้นไป ดังนั้น อีกไม่นาน จ้าวฉีเสวียนย่อมแต่งงานกับสตรีที่เหมาะสมคู่ควร
หวงลี่ฟางนึกอยากขอบคุณจ้าวฉีเสวียนที่มอบความสุข ความอบอุ่นให้ในห้วงเวลาหนึ่ง ทุกอ้อมกอดของเขาจะกลายเป็นความทรงจำที่ดีงามล้ำค่าสำหรับนางตลอดไป
หลังจากผลัดกันเรียกร้องสัมผัสรัญจวนอันร้อนแรงทั้งราตรี เช้านี้หวงลี่ฟางจึงลุกขึ้นเช็ดเนื้อตัวแล้วยืนสำรวจร่องรอยฝากรักตรงหน้าคันฉ่อง
จ้าวฉีเสวียนเป็นบุรุษที่มิใช่มีเพียงดวงตาที่คมกริบร้ายกาจ ทว่าริมฝีปากที่บางเฉียบได้รูปของเขาก็คมกริบหนักหน่วงเช่นกัน ริ้วรอยกดจูบและขบเม้มจึงมักเด่นชัดเสมอหลังการร่วมรักกัน
หวงลี่ฟางที่แม้จะยอมรับสถานะอันด้อยค่ายามนี้ของตน แต่กลับไม่อาจเผยริ้วรอยใดๆ ยามเดินออกนอกเรือนนอนเด็ดขาด
ขณะหยิบแป้งชาดขึ้นมาหมายทากลบริ้วรอยก่อนใส่เสื้อผ้า ฝ่ามือหนาของบุรุษพลันปรากฏที่รอบเอว พร้อมวงแขนกว้างที่กระชับกอดแน่น ตามด้วยปลายคางคมสันวางเกยที่ไหล่บาง
“เจ้าจะรีบใส่ผ้าไปไย วันนี้ข้าไม่ได้รีบกลับเสียหน่อย”
หวงลี่ฟางเลิกคิ้ว นึกดีใจไม่น้อย “ซื่อจื่อได้หยุดพักผ่อนหรือเจ้าคะ”
จ้าวฉีเสวียนพยักหน้าเอื่อยเฉื่อยกับซอกคอหอม “ข้าได้พักหลายวัน คิดไว้ว่าจะใช้เวลาให้คุ้มค่าด้วยการท่องเที่ยวจึงจะดี”
คนฟังพลันตาโต
เช่นนี้ เขาจะพานางไปเที่ยวด้วยหรือไม่
ช่วยมิได้ที่หวงลี่ฟางตอนเป็นสตรีชั้นสูงคล้ายถูกจับขังกลายร่างเป็นนกน้อยในกรงทองมาโดยตลอด
ยามนี้แม้มีฐานะต้อยต่ำแต่การเจอจ้าวฉีเสวียนที่ใจกว้าง กลับทำให้นางเสมือนนักโทษที่ถูกปลดปล่อยโซ่ตรวนจากการจองจำในคุกหลวง
คนย่อมชมชอบการออกเที่ยวบ้างตามประสา
หญิงสาวปรารถนาป่าวประกาศว่าตัวเองคือสตรีหนึ่งเดียวที่ยามนี้ได้เดินเคียงข้างซื่อจื่อจ้าวฉีเสวียน การได้ท่องหล้ากับเขา ย่อมทำให้ฝันนางเป็นจริง
ความคิดฝันอันเตลิดเพ้อพกของหวงลี่ฟางถูกมองเห็นจนทะลุปรุโปร่ง จ้าวฉีเสวียนเหยียดยิ้ม พูดดับฝันนางอย่างไม่ไยดี
“ข้างกายข้ามิใช่อยากเดินเคียงก็เดินได้ ควรอยู่ในที่ของเจ้า เมืองผิงโจวขึ้นชื่อว่าปลอดภัยไร้อันตรายต่อเด็กและสตรีทุกคน หากเจ้าอยากออกเที่ยวย่อมไปคนเดียวได้ ข้าเติมเงินใส่หีบให้แล้ว หน้าที่เจ้าเพียงรอปรนนิบัติข้าที่นี่ อย่าได้เรียกร้องอะไรมากกว่านี้”
หวงลี่ฟางที่ฝันสลายยังจะกล่าวสิ่งใดได้อีก เพียงหลุบตาพยักหน้าเท่านั้น
“เจ้าค่ะ”
จ้าวฉีเสวียนปล่อยอ้อมแขนจากร่างนิ่มนวลบอบบาง นำทางความอุ่นซ่านให้หายไปกับร่างหวงลี่ฟาง
“ข้าหิวข้าวแล้ว เข้าครัวกันเถอะ”
บุรุษผู้หนึ่งแม้สูงศักดิ์แต่กลับชอบการเข้าครัว เรื่องนี้นอกจากจวนชินอ๋องก็มีเพียงหวงลี่ฟางในคฤหาสน์หนิงเทียนที่ได้รับสิทธิ์ล่วงรู้
นางพยักหน้าอีกครั้ง แต่รอยยิ้มที่เลือนหายไปกับฝันสลายเมื่อครู่พลันกลับมาประดับบนใบหน้าอ่อนหวาน
“เจ้าค่ะ”
ในครัว
คนที่บอกหิวข้าวแล้วกลับเลือกที่จะไล่สาวใช้ทุกคนออกไป จากนั้นก็ปิดประตูหน้าต่าง ช้อนร่างนุ่มนิ่มของหวงลี่ฟางขึ้นวางบนโต๊ะใหญ่กลางห้องครัว เครื่องเทศทั้งหลายถูกมือหนากวาดลงไปจนเกลี้ยง
“ซื่อจื่อ!” หวงลี่ฟางเบิกตาโต รีบชี้นิ้วไปทางโต๊ะอีกฝั่ง “ข้าวอยู่ทางนั้นเจ้าค่ะ มิใช่ทางนี้เสียหน่อย”
แม้เคยเกิดขึ้นมาแล้วแต่นางไม่เคยชินเสียที
ใบหน้างามบัดนี้จึงแดงฉานด้วยความเขินอาย ทว่ากลับอ่อนหวานหยาดเยิ้มดั่งจะคั้นออกมาเป็นน้ำผึ้งเดือนห้าได้กระนั้น
ดวงตาคมกริบสีดำจัดทอประกายเข้มลึก “แต่ข้าอยากกินเนื้อนุ่มๆ หอมๆ ก่อนได้หรือไม่?”
ว่าพลางก้มหน้าขบเม้มแก้มนวลสุกปลั่งเสียหนึ่งที สตรีผู้นี้กินเท่าไรก็ไม่เคยอิ่มไม่เคยพอ
ริมฝีปากอิ่มสวยเม้มเบาๆ ด้วยมิอาจตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะมันมิใช่คำถามแต่คือคำสั่งต่างหาก
จ้าวฉีเสวียนยกยิ้มมุมปาก ใบหน้าคมเผยรอยยิ้มร้ายกาจ แต่การกระทำอันร้อนแรงกลับอบอุ่นอ่อนโยนอย่างที่สุด
[1] “พิธีบรรลุนิติภาวะ” จะจัดเมื่อชายจีนมีอายุครบ 20 ปีเต็ม และจะมีการสวม”กวาน ” (冠) หรือสิ่งที่ชนชั้นสูงชาวจีนในสมัยโบราณใช้สวมครอบบนศีรษะเพื่อเป็นเครื่องบอกระดับยศและสถานะ
จวนชินอ๋องทางฝั่งจ้าวฉีเสวียน เขาไม่รู้ว่าช่วงนี้ตนเองเป็นอะไรไป เหตุใดถึงรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจตลอดเวลาครั้นหันไปมองหน้าอันงดงามเปล่งปลั่งของสตรีที่ตัวติดกันตลอดหลายวันมานี้ก็ยิ่งไม่เข้าใจ ไฉนไม่เคยปฏิเสธนางสักครา“น้องเฟยเฟยจะติดตามไปด้วยกันทุกที่ก็ได้”หลิงเฟยแย้มยิ้มเบิกบานราวบุปผา “พี่เสวียนไปที่ใดหรือ?”ชายหนุ่มตอบนิ่งๆ “ข้าจะเข้าไปที่คฤหาสน์หนิงเทียน”“คฤหาสน์หนิงเทียน?” หลิงเฟยให้รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง ที่นั่นมีสาวงามหยาดเยิ้มซึ่งนางเทียบไม่ติดอยู่ผู้หนึ่ง “เหตุใดท่านต้องไปที่นั่นอีก เราสองคนกำลังจะหมั้นหมายกันแล้วนะเจ้าคะ”นั่นสิ เหตุใดต้องไปที่นั่น จ้าวฉีเสวียนเองก็ไม่เข้าใจ ในอกพลันร้อนรุ่มแปลกๆ เขารู้สึกเหมือนลืมใครไปสักคนหนึ่งจ้าวฉีเสวียนให้รู้สึกปวดหัว เขาพยายามนึกภาพสตรีผู้นั้น ทว่าในความเลือนรางไม่ชัดเจน กลับเห็นเป็นหลิงเฟยที่ยื่นหน้ามา ภาพที่เพียรนึกถึงพลันอันตรธานหายไป คล้ายถูกมนต์มารล่อลวงและปิดตาบิดเบือนในคราวเดียวกันหลิงเฟยยื่นหน้ามองจ้าวฉีเสวียนอย่างกดดัน สุ้มเสียงที่เคยหวานใสระรื่นหูบัดนี้เปลี่ยนไปเป็นหวานแหลมเฉียบคม“ข้าไม่ให้พี่เสวียนไปเจ
สตรีทั้งสองพากันเดินไปนั่งจิบชาในศาลารับลมริมบึงบัวฟางซินที่ไม่ตามไปจึงได้โอกาสหันมาหาสามีอย่างรักใคร่“พี่เหอ เหนื่อยหรือไม่?”จิ้นเหอหันไปเห็นภรรยาคนงามมีหรือยังกล้าแข็งแรงอยู่อีก เขาบ่นอย่างเหน็ดเหนื่อย“ข้ารู้สึกอ่อนเพลียยิ่งนัก”“โอ...ข้าจะพาท่านพี่ไปพักเจ้าค่ะ”เวลานี้ยังต้องยืนเวรตามหน้าที่ ฟางซินจึงดึงจิ้นเหอให้ไปนั่งลงบนขั้นบันไดหน้าห้องหนังสือไม่ไกลจากตำแหน่งยืนยาม ก่อนลงมือบีบนวดให้อย่างเอาอกเอาใจนางถามเสียงหวาน “ปวดเมื่อยตรงนี้หรือไม่ ข้านวดให้”จิ้นเหอเสียงอ่อน “ปวดมาก เมื่อยยิ่ง ตรงนี้ด้วย”ฟางซินเริ่มตาโต “ท่านพี่ปวดเมื่อยถึงเพียงนี้ ข้าอยากให้ท่านลางานสักคืนเหลือเกิน” นางรีบกระซิบข้างหูน้ำเสียงกระเส่า “แล้วข้าจะนวดให้ท่านทั้งตัว ไร้เสื้อผ้ากางกั้น ดีหรือไม่เจ้าคะ”ดวงตาจิ้นเหอพลันสว่างวาบ ใจเหลวไปหมด“ข้าจะลางานคืนนี้เลย”จิ้นอันที่ยืนอยู่เพียงกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างหมั่นไส้เวลาล่วงเลยผ่านไปหนึ่งชั่วยามนับเป็นเวลาที่ไม่นานเลยสำหรับทุกคน ทว่ากลับยาวนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึกของหวงลี่ฟางเหตุเพราะจ้าวฉีเสวียนอยู่ในห้องกับหลิงเฟยตลอดเวลา หลังจากนั้น พอเขาออกมาจากห
ระเบียงทางเดินระหว่างเรือนรับรองที่ทอดยาวเชื่อมต่อกับเรือนตำราหวงลี่ฟางยืนถือถาดน้ำชารสล้ำหอมกรุ่นยืนนิ่งเงียบงัน มิอาจขยับเขยื้อนไปข้างหน้าได้อีกแม้ครึ่งก้าวเมื่อครู่ จ้าวฉีเสวียนสั่งให้นางรอปรนนิบัติชงชาให้ในห้อง แต่เขาไม่ชอบชาเก่าที่อยู่ในห้องหนังสือ นางจึงออกมาชงชากาใหม่ ทว่าพอกลับมาคนกลับไม่รอชิมชาฝีมือนางอีกต่อไปด้านข้างนางคือฟางซินที่ยืนกระซิบกระซาบอยู่ไม่ห่าง “ซื่อจื่อมีท่านหญิงหลิงคอยดูแลชงชาให้แล้ว เจ้าอย่าเข้าไปเลย”พอพูดจบ ฟางซินลอบกลืนน้ำลายอึกหนึ่งอย่างยากลำบากด้วยหน้าที่ต้องรับผิดชอบ งานต้องทำให้ลุล่วง นางจึงต้องทำอย่างจำใจ ทว่าส่วนลึกกลับรู้สึกผิดเหลือเกินหญิงสาวกลั้นใจเอ่ยอีกว่า “ท่านหญิงหลิงเฟยผู้นี้คือคู่หมั้นของซื่อจื่อเชียวนะ เจ้าควรรู้เอาไว้”คู่หมั้น...ร่างอรชรนิ่งงันราวถูกสาปในที่สุดวันนี้ก็มาถึง...แคว้นจิน นิยมให้ชายแต่งงานอายุยี่สิบ หญิงแต่งสิบห้า ปีหน้าจ้าวฉีเสวียนก็อายุครบยี่สิบปีแล้วคงสมควรแก่เวลาสินะส่วนนางหากไม่เกิดเหตุพลิกผันก่อนอายุสิบห้าปีก็คงไม่แคล้วกลายเป็นชายารัชทายาทอย่างขมขื่น ไหนเลยจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดจ้าวฉีเ
พี่น้องสกุลจ้าวล้วนไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวกันและกัน ทุกคนมีสิทธิ์ทำอะไรตามอำเภอใจเต็มที่ ขอแค่ไม่หลงผิดคิดทำชั่ว เรื่องที่ทำต้องยึดมั่นถือมั่นในคุณธรรมเป็นที่ตั้งอ้อ...แต่อาจมีบ้างในเรื่องคู่ครองที่ออกจะเอาแต่ใจไปบ้างความคิดของจ้าวเล่อเสียล่องลอย ขณะที่หลิงเฟยยังคงพูดถึงจ้าวฉีเสวียน “พี่เสวียนซื้อคฤหาสน์ไว้พักผ่อนจริงดังเจ้าว่า...”และยิ่งเล่า สีหน้าหลิงเฟยยิ่งเผยความนัยคล้ายไม่ยินดี“ที่นั่นน่ะ มิใช่คฤหาสน์ธรรมดา แต่เป็นเรือนทองซ่อนสตรี พี่เสวียนซ่อนสาวงามเอาไว้ถึงสองคน แม่นางฟางซินก็คือหนึ่งในสาวงามของพี่เสวียนที่ยกให้จิ้นเหอ”จ้าวเล่อเสียพยักหน้าเอื่อยๆ แม้จะแปลกใจเพราะนี่มิใช่นิสัยของพี่ชาย แต่นางก็พอทำความเข้าใจได้ว่า“เรื่องนี้หาใช่เรื่องแปลกนี่นา พี่รองอาจได้รับมาเพราะเป็นเครื่องบรรณาการจากขุนนาง เขารับไว้แล้วส่งต่อให้ลูกน้องอีกที บุรุษสกุลจ้าวทำเช่นนี้ตั้งแต่รุ่นท่านพ่อแล้วล่ะ”หลิงเฟยรีบพูดอีกว่า “แต่ก่อนหน้าฟางซิน พี่เสวียนเลี้ยงดูหญิงงามไว้คนหนึ่ง นางผู้นี้อยู่กับพี่เสวียนเต็มหนึ่งปีแล้ว”จ้าวเล่อเสียเริ่มมีปฏิกิริยา “จริงหรือ?”หลิงเฟยถอนหายใจ “ผู้คนเล่าลือกันทั
ธรรมชาติของหวงลี่ฟางดื้อรั้น ยึดมั่นถือมั่น ต้องถูกกระตุ้นด้วยวิธีที่รุนแรงต่อจิตใจระดับนี้เท่านั้นรุ่ยเยียนเหลือบตามองหลันฮวาแวบหนึ่งแล้วนิ่งสนิท พยายามระงับโทสะที่เจียนระเบิดในที่สุดเพลิงพิโรธในอกก็สงบลง นางหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด ก่อนเผยยิ้มเย็นยะเยือก“ดี!” ว่าพลางหันไปหยิบตลับหยกใหม่ในลิ้นชักใต้โต๊ะขึ้นมายื่นให้หลันฮวา“นี่คือผีเสื้อ ‘วสันต์พร่ำรัก’ ละอองเรณูจากปีกผีเสื้อนี้มีฤทธิ์เดชกล้าแกร่งยิ่งกว่าครั้งก่อน มันมิใช่แค่ควบคุมจิตวิญญาณแต่จะทำหน้าที่สร้างปฏิสัมพันธ์ให้จิตวิญญาณผสานเกิดเป็นพันธนาการรัดรึงยากฉุดรั้งให้กลับคืน หากใช้กับคนสองคนที่มีใจผูกพันแต่เดิมไม่ว่าด้วยฐานะใด จะรักกันแน่นแฟ้นมากขึ้น”นั่นหมายความว่า ต่อให้จ้าวฉีเสวียนไม่ได้มีใจให้หลิงเฟย ทว่าแค่รู้จักมักคุ้นกันตั้งแต่เด็กก็จะแปรเปลี่ยนเป็นรักปักใจทันทีหลันฮวาเก็บตลับหยกอันใหม่ใส่แขนเสื้ออย่างระมัดระวัง“รับทราบเจ้าค่ะ”ด้วยไม่แน่ชัดถึงความรู้สึกนึกคิดของจ้าวฉีเสวียนการที่เขาแอบเลี้ยงดูสาวงามไว้ที่คฤหาสน์หนิงเทียนจึงมิใช่เรื่องที่ควรค่าแก่การรายงานบุรุษอายุสิบแปดสิบเก้าปีผู้หนึ่งจะมีสตรีเอาไว้ปล
จิ้นเหอไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร รู้เพียงว่าเมื่อเกิดขึ้นแล้ว มีเพียงต้องไปต่อเท่านั้น เขาไม่มีทางพอแค่นี้เป็นที่แน่นอนเสื้อผ้าพลันปลดเปลื้อง สตรีแยกขา บุรุษแทรกกลาง การสอดใส่เกิดขึ้นตามด้วยเสียงครางครวญอย่างสุขสมไม่มีหรอกการเล้าโลมคลอเคลีย ชายหญิงคู่หนึ่งคล้ายน้ำมันไหลหลากปะทะเปลวไฟ ร้อนแรงยิ่งกว่ากองเพลิงสีน้ำเงิน[1] ในหุบเขาบรรลัยกัลป์คนสองคนคล้ายลอยล่องหลุดพ้นจากแดนดินสู่แดนสรวงทว่าเสี้ยวสติหนึ่งของบุรุษพลันชะงัก เมื่อสัมผัสและรับรู้ได้ถึงเยื่อบางๆ ที่ขาดสะบั้นกับหยาดเลือดพรหมจรรย์ที่หลั่งรินเบาๆ จากช่องทางเร้นลับคับแคบซึ่งกำลังบีบรัดตัวตนของเขาเอาไว้แน่นจิ้นเหอที่ขบกรามก้มหน้าซุกซบซอกคอหอมถึงกับเบิกตาอย่างตระหนกและงงงัน กระนั้นยามนี้ต่อให้เอาอาชาศึกมาฉุดรั้ง คนย่อมมิอาจหยุดยั้งแม้ลมหายใจเดียว ยิ่งมองเห็นดวงตาฉ่ำน้ำที่หวานหยด หยดเหงื่อที่หยาดเยิ้ม ริมฝีปากชุ่มฉ่ำที่กำลังเม้มน้อยๆ อย่างทรมานสุขสมเช่นนั้นยอมตายอนาถบนยอดถันสาวงาม นับเป็นผู้กล้าโดยแท้...ห้องรับรองส่วนตัวของโรงน้ำชาฝูหมิงบนชั้นสอง สตรีสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากันนิ่งงัน มีเพียงโต๊ะเตี้ยกั้น ห







