Mag-log inเมื่อครั้งกาลก่อนตอนที่นางยังเป็นองค์หญิงของแคว้นเฉินแห่งนี้ นางถูกฮ่องเต้แคว้นเฉินที่เป็นพี่ชายของนางแต่งตั้งให้นางเป็นองค์หญิงบรรณาการ หมายให้นางแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับต่างแคว้น ซึ่งนางก็ได้สร้างเรื่องเอาไว้จนถูกถอดยศเป็นผลสำเร็จโดยไม่ต้องเดินทางไปแต่งงานกับองค์ชายแปลกหน้าแต่อย่างใด ในยามนั้นนางจึงตั้งใจเอาไว้แล้วว่า นางจะเป็นเพียงหมอหญิงให้กับทหาร ให้กับชาวบ้าน ตลอดไป
แล้ว...
แล้วเมื่อคืน...
เมื่อคืนนี้
นางตั้งใจจะนำเอาโถกำยานที่ผสมยาสูตรพิเศษสำหรับคู่สามีภรรยาที่เป็นสหายรักของนางคืนมา เพื่อที่จะได้นำเอาไปให้สหายของนางด้วยตนเองที่ห้องพักห้องหนึ่งของโรงเตี๊ยม เพื่อใช้เป็นตัวช่วยสำหรับกิจกรรมเสพสมให้เกิดขึ้นอย่างสุดแสนจะรัญจวนและสุดแสนจะวิเศษมากๆ ยิ่งๆ ขึ้นไป
หลงจู๊ประจำโรงเตี๊ยมนามว่าอาเป่าที่สนิทมักคุ้นกับนางบังเอิญมีธุระติดพันกับลูกค้าหลังจากที่นำกำยานอันนั้นไปวางเอาไว้ผิดห้อง นางจึงต้องเข้าไปเอากำยานอันนั้นออกมาด้วยตัวเอง แต่ทว่า...
เจ้าอาเป่านั่นกลับจุดกำยานเอาไว้เรียบร้อยอย่างดิบดีแล้วซ่อนกำยานเอาไว้ตรงมุมใดของห้องก็มิทราบได้
นางเดินเข้ามาภายในห้องตรงมุมหนึ่งด้านในที่มีกำยานกำลังส่งกลิ่นตลบอบอวลอยู่
เพียงครู่นางจึงเริ่มรู้สึกแปลกประหลาด
และเพียงอึดใจ
เจ้าอาเป่าหลงจู๊ผู้น่าตาย
กลับนำพาเอาแขกต่างบ้านต่างเมืองผู้หนึ่งให้เข้ามาพักภายในห้องที่นางกำลังยืนกอดต้นเสาต้นหนึ่งอยู่ด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านมากมายมหาศาล
และเพียงอึดใจอีกเช่นเดียวกัน
บุรุษแปลกหน้าท่านนั้นก็เกิดอาการไม่ต่างกันกับนาง
และ...
เรื่องราวอันหฤโหดหรรษา
ไม่สิ
หฤโหดอย่างเดียว
มิได้หรรษา
เรื่องราวอันแสนจะหฤโหดพลันเกิดขึ้นระหว่างนางกับบุรุษผู้นั้น จนตลอด....
เกือบทั้งคืน….
และนั่นจึงทำให้นางต้องรีบหนีออกมาเพื่อที่จะมาต้มยาห้ามครรภ์นี่ และ...
เพื่อหนีหน้าบุรุษผู้นั้น
นางอับอายจนมิรู้ได้ว่าจะแทรกแผ่นดินหนีไปทางใดดี
กับบุรุษแปลกหน้า กับกิจกรรมกามารมณ์เสพสม นางควรทำอย่างไรดี
เรื่องนี้จะให้ผู้ใดล่วงรู้ไม่ได้
ไม่ได้เด็ดขาด
มันช่างน่าอัปยศอดสูสิ้นดี
ในขณะที่เฉินเจียวเหมยกำลังนั่งจมปลักอยู่กับตนเองด้วยใบหน้าแดงก่ำดวงตาบวมปูดน้ำตาเปื้อนเปรอะอยู่นั้น
เสียงเปิดประตูหน้าโรงหมอของนางพลันดังขึ้นมา ก่อนจะปรากฏร่างสูงโปร่งงามสง่าของบุรุษผู้หนึ่งเดินอาดๆ เข้ามาอย่างถือวิสาสะ
เจ้าของเรือนร่างงามสง่าผู้นั้นคือจ้าวจิ่นหลงนั่นเอง
เขาสอบถามเอากับหลงจู๊แล้วว่า สตรีนางใดกันที่บังอาจเข้ามาอยู่ในห้องพักของเขาเมื่อคืน หลงจู๊ผู้นั้นบอกกล่าวแก่เขาว่านางเป็นถึงหมอหญิงประจำหมู่บ้าน ซึ่งก็คือหมอหญิงของโรงหมอแห่งนี้
ฮึ! นางต้องรับผิดชอบ
นางต้องรับผิดชอบตัวเขา มิใช่หนีออกมาอย่างนั้น
มันช่างหยามเกียรติของเขาสิ้นดี
เขายอมไม่ได้
ไม่ได้เด็ดขาด
เสียงประตูที่ถูกเปิดออกอย่างกะทันหันพร้อมด้วยร่างปราดเปรียวของบุรุษผู้หนึ่งเดินอาดๆ เข้ามานั้น ทำเอาเฉินเจียวเหมยถึงกับสะดุ้งสุดตัวก่อนจะรีบคลานเข้าใต้โต๊ะที่อยู่ไม่ไกลด้วยสัญชาตญาณของนางในยามนี้
ยามที่โลกทั้งโลกคล้ายกับไม่มีที่ให้นางได้ยืนอีกต่อไป
หญิงสาวเพียงนั่งคุดคู้อยู่ใต้โต๊ะอย่างระแวงพร้อมๆ กับรีบไตร่ตรองถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้นทั้งหมดของเมื่อคืนที่ผ่านมา
ภายในห้วงแห่งความคิดของนางนั้น ภาพของนางกับบุรุษผู้หนึ่งนั้น ใบหน้าของเขานั้น เป็นอย่างไร
อา...ขอแอบมองก่อน
คิดได้แล้วก็โผล่หัวออกมาจากใต้โต๊ะเพียงนิดเพื่อมองไปยังใบหน้าของบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังเดินเข้ามา
ใช่จริงๆ
เป็นเขาจริงๆ
อา...
ดวงตาคมกริบเรียวยาว ดั้งจมูกเป็นสันตั้งตรง ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ริมฝีปากได้รูปสีแดงสด
อืม...ริมฝีปากอย่างนี้ล่ะที่ละเลียดชิมนางทั้งคืน เอ๊ะ...ไยอยู่ใกล้กันเยี่ยงนี้ ทำไมใบหน้าของเขาถึงเห็นได้ชัดเจนถนัดถนี่ยิ่งนัก
จ้าวจิ่นหลงที่เห็นสตรีนางหนึ่งรีบมุดเข้าใต้โต๊ะในทันทีเมื่อหันหน้ามาเห็นเขา เขาจึงไม่รอช้ารีบเดินเข้ามาแล้วมุดใต้โต๊ะตัวเดียวกันกับนางในทันที
เขาเห็นดวงตาสดใสของนางถึงแม้ว่าจะกำลังเปรอะเปื้อนไปด้วยม่านน้ำตา
เขาเห็นริมฝีปากของนาง
ริมฝีปากนี้ล่ะที่เขาจูบนางเมื่อคืน ทั้งคืน...
ชายหนุ่มหญิงสาวเพียงจ้องมองใบหน้าของกันและกันนิ่งงันอยู่ภายใต้โต๊ะตัวเดียวกันนั้นอยู่อึดใจ
เฉินเจียวเหมยกะพริบตาปริบๆ เพียงสองทีก่อนจะมีสติขึ้นมาในฉับพลันรีบออกจากใต้โต๊ะตัวเดียวกันอย่างฉับไว
จ้าวจิ่นหลงไม่รอช้า รีบตามออกมาในทันที
“ท่านเป็นใคร” หญิงสาวถามขึ้นอย่างตระหนกตกใจ
เสียงนี้ล่ะ ใช่เลย จ้าวจิ่นหลงพลันคิดแล้วรีบเอ่ย “ข้าคือ”
“หยุด!” เสียงห้ามปรามพลันดัง “หยุดเลย”
เฉินเจียวเหมยไม่ปล่อยให้เขาได้เอ่ยสิ่งใด ด้วยเพราะแน่ใจว่าเขาจะเอ่ยสิ่งใด
“ท่านกำลังป่วยใช่หรือไม่ นำยาไปแล้วกินเสีย” จบคำก็รีบหมุนตัวไปหยิบยาที่อยู่ใกล้มือแล้วส่งให้บุรุษตรงหน้าก่อนจะหมุนตัววิ่งหนีไปอย่างไว
จ้าวจิ่นหลงถึงกับยืนอึ้งไป
ฮึ่ม! นาง...นาง...
น่าตายนัก!
และเพียงไม่นาน เนื้อตัวที่เย็นเยียบของเฉินเจียวเหมยพลันเปลี่ยนไปเป็นอุ่นร้อนขึ้นมาเนื่องจากว่าถูกเรือนร่างหนาแน่นและร้อนระอุของจ้าวจิ่นหลงบดเบียดเข้าแนบชิดจนสนิทแนบแน่นไร้ช่องว่างใดๆ ระหว่างกัน“อุ่นขึ้นหรือไม่” จ้าวจิ่นหลงกระซิบเสียงแหบต่ำตรงใบหูของเฉินเจียวเหมย“อ่ะ...อืม...” นางตอบด้วยน้ำเสียงเริ่มกระเส่า“เจ้าชอบ...” จ้าวจิ่นหลงก้มหน้าถามแนบชิด“ข้าชอบ...” เฉินเจียวเหมยครางตอบเสียงเบาจ้าวจิ่นหลงเพียงหัวเราะอยู่ในลำคออย่างถูกใจก่อนจะก้มหน้าลงฝังจมูกและริมฝีปากอุ่นชื้นกับลำคอระหงของนางและเริ่มต้นบทเพลงบรรเลงบทรักเพื่อเอาใจชายารักอย่างไม่มีขาดตกบกพร่องในหน้าที่ของสวามีที่ดีเขาเติบโตมาท่ามกลางบิดาที่มีหลายภรรยา ตัวของเขาเป็นบุตรชายที่เกิดจากหนึ่งในภรรยาของบิดา จากภรรยาหลายๆ คนนั่นความรักที่ได้มาจึงมักจะถูกแบ่งสันปันส่วนจากพี่น้องต่างมารดา ถึงแม้ว่ามารดาของเขาจะเป็นถึงฮองเฮา แต่ก็เป็นที่แน่นอนว่ามารดาของเขาก็ไม่เคยที่จะได้รับความรักจากสามีได้อย่างเต็มที่ เขาเคยเห็นมารดาของเขาแอบร่ำไห้น้อยใจอยู่หลายครั้ง จนถึงขั้นที่เคยคิดจะพาเขาหนีออกจากวัง จนเขาต้องเลือกที่จะทำงานหนัก เพื่อให้มา
“เจ้าไม่ควรทำอย่างนี้ อาเหมย มีอะไรเจ้าก็ควรบอกกล่าวแก่ข้า ข้ายอมเจ้าทุกอย่าง” จ้าวจิ่นหลงเอ่ยออกมาอย่างนั้น พลางเอื้อมมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าที่ทั้งเย็นเยียบทั้งแดงชาดของนางเบาๆ ตั้งแต่เจอกันเขายังไม่เคยเห็นสภาพอย่างนี้ของนางนางทำเขาใจสั่นไม่เบาเขาไม่อยากเสียนางไป เขารักนางถึงเพียงนี้ นางไม่สิทธ์ไปจากเขา ไม่ว่าด้วยวิธีใด โดยเฉพาะการทำร้ายตัวเองเฉินเจียวเหมยเหม่อมองใบหน้าของเจ้าจิ่นหลงในระยะประชิดใบหน้าของเขา ฝ่ามือของเขา สัมผัสของเขา กลิ่นอายของเขา อา...นางทำใจไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ นางหลงใหลเขาถึงเพียงนี้ นางทำใจไม่ได้แน่ๆ หากเขาจะต้องเข้าหอกับสตรีนางอื่น หากนางได้เห็นอย่างนั้นแล้วทำใจไม่ได้ สู้ไม่ต้องอยู่ไม่ต้องเห็นยังจะดีเสียกว่า“ข้ามิใช่สตรีที่ดี ข้าจะกลายร่างเป็นสตรีร้ายกาจเพียงใด หากต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในวังหลังของท่าน คอยดูแลมวลบุบผาให้ท่าน อาหลง หากเป็นอย่างนั้น ข้าขอไปอยู่ดูแลผู้ยากไร้ในถิ่นฐานทุรกันดารยังดีเสียกว่า” เฉินเจียวเหมยเลือกที่จะเอ่ยออกมาตามตรงอย่างไม่คิดที่จะยินยอมใดๆ นางมักจะมีจุดยืนของนางจ้าวจิ่นหลงได้ฟังถึงกับนิ่งอึ้งไปแน่นอนว่านางคงคิดจะทำจริงๆ หากวันนั้นมาถ
ตามทางเดินทอดยาวระหว่างโรงน้ำชากับบ้านของเฟยเทียน เฉินเจียวเหมยกำลังเดินอย่างเร็วด้วยอาการเมามายคล้ายกับวิญญาณล่องลอยนางกำลังต้องการหนีมาทำใจเสียหน่อย นางต้องทำใจให้ได้ ภาพของอาหลงกำลังรื่นเริงบันเทิงยิ่งกับสตรีคนอื่นที่มิใช่ตัวนาง ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่านยากแก่การจัดการความเห็นแก่ตัวของตนอา...แย่แล้ว...ยามนี้นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดพี่สะใภ้ของนางที่เป็นฮองเฮาถึงได้ใจร้ายยิ่งนักนางกำลังจะกลายร่างเป็นอย่างนั้นหากนางต้องไปแต่งงานกับอาหลงที่เป็นถึงรัชทายาทจริงๆ แล้วในภายภาคหน้าเขาได้ขึ้นครองราชย์แล้วต้องมีสนมหลายคนจริงๆ นางคงจะใจร้ายไม่แตกต่างจากพี่สะใภ้แน่ๆอา...หรืออาจจะร้ายยิ่งกว่าอย่างไม่ต้องสงสัยแย่แล้ว แย่แล้วเมื่อเข้ามายังห้องพักของเรือนรับรองได้แล้ว เฉินเจียวเหมยที่กำลังฟุ้งซ่านอย่างร้อนรุ่มเต็มขั้น จึงรีบเดินเข้าห้องอาบน้ำเพื่อที่หวังจะใช้การอาบน้ำช่วยให้ดับอารมณ์กรุ่นร้อนคล้ายดั่งลูกไฟที่กำลังปะทุอยู่ภายในอกให้มอดดับไปแต่เหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลภายในจิตใจของนางยังคงรุ่มร้อนคล้ายกับเปลวไฟเผาผลาญ อยากจะแพ้วพานใส่เหล่าสตรีทุกนางให้ตายตกตามกันไปทุกคนอยากฆ่าพวกนางยิ่งนักเฉินเจี
เวลาแห่งการร่ำสุราผ่านไปอย่างเชื่องช้าเป็นชั่วยามผ่านไป เฉินเจียวเหมยพาร่างกายและสติที่เริ่มจะไม่อยู่กับร่องกับรอยด้วยอาการเมามายอย่างที่ไม่เคยเป็นเดินออกไปจากห้องแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่มิทราบได้ คงเหลือเอาไว้เพียงซูเซียว ซูฮวา และหย่าหลินยังคงนั่งดื่มกินอยู่ด้วยกันและเพียงไม่นานซูเซียวจึงตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินไปหาเฟยเทียนที่กำลังนั่งร่ำสุราตามประสาบุรุษอยู่อีกห้องหนึ่งกับอาหลงและสหายอีกหนึ่งคนเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่พี่สาวคุยกับหย่าหลินจนเป็นเหตุให้อาเหมยคล้ายกับเปลี่ยนพฤติกรรมไปจนน่าเป็นห่วง “อาเหมยไปที่ใด” เสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจของจ้าวจิ่นหลงถามขึ้นไปทางซูเซียวเมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่เป็นหัวข้อสนทนากันระหว่างซูฮวากับหย่าหลิน “ข้าไม่รู้ นางบอกแค่ว่าขอหนีไปทำใจ” ซูเซียวตอบตามจริงและเนื่องจากนางยังไม่รู้ว่าอาหลงมีฐานะใดนางจึงเอ่ยไปด้วยระโยคอย่างนั้น จ้าวจิ่นหลงพลันชะงักงันไป และเพียงอึดใจเขาจึงรีบลุกขึ้นแล้วก้าวเท้ายาวๆ ออกจากห้องแห่งนี้ไปในทันทีอย่างไม่รีรอ เฟยเทียนรีบลุกขึ้นมาประคองร่างบางของซูเซียวเอาไว้ พลางถามนางอย่างห่วงใย “เจ้าเหนื่อยหรือไม่ ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน”“ไ
เวลาแห่งการดื่มเหล้าหวังสานสัมพันธ์ไมตรีระหว่างกันผ่านไปอีกครู่ใหญ่ “นี่ๆ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าการแข่งขันของเมืองเราปีนี้ช่างสำคัญยิ่งนัก” หย่าหลินที่ดื่มเหล้าจนมึนเอ่ยออกมาอย่างเป็นกันเองไร้ความขุ่นเคืองใดๆ ไปเสียแล้ว “อันใด” ซูฮวานั่งท้าวคางถามออกไปอย่างมึนๆ เช่นเดียวกัน “การแข่งขันปีนี้หาใช่แค่การแข่งขันเพื่อแสดงออกถึงความสามารถประกาศศักดาเพื่อให้มีบุรุษมาหมายตาไม่แต่...” หย่าหลินอธิบายยาวเหยียดเว้นคำเพียงนิดเพื่อดื่มน้ำเมา แล้วเอ่ยต่อ “มันเป็นการคัดเลือกสาวงามผู้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมเพื่อส่งตัวเข้าวัง” “ไปเป็นสนมหรือ” ซูฮวายังคงนั่งเอามือท้าวคางถามออกไปอย่างมึนๆ “มิใช่ๆ” หย่าหลินยังคงเอ่ย “เป็นของขวัญของกำนัลแด่องค์รัชทายาทอายุครบยี่สิบห้าชันษาต่างหากเล่า” แกร๊ง! จอกเหล้าถึงกับหลุดมือใครบางคน ซูเซียวถึงกับหันไปมองเฉินเจียวเหมยผู้เป็นเจ้าของจอกเหล้าจอกนั้นก่อนจะช่วยเฉินเจียวเหมยหยิบจอกเหล้าขึ้นมาให้อย่างงุนงง สงสัยอาเหมยคงจะเมาแล้วกระมัง หย่าหลินยังคงเอ่ยต่อ “หากโชคดีในภายภาคหน้าเมื่อรัชทายาทได้ขึ้นครองราชย์สตรีที่ส่งเข้าไปถวายตัวให้พระองค์ก็อาจจะได้เลื่อนขั้นเป็นถึงพระสนม
“ในเมื่อผลการประลองยังไม่เป็นที่แน่ชัดและเจ้าไม่คิดที่จะยอมรับ เช่นนั้นแล้ว” เฉินเจียวเหมยที่ยังคงยืนท้าวสะเอวอยู่เอ่ยขึ้นไปทางซูฮวาและหย่าหลิน “ข้าเลี้ยงเหล้าพวกเจ้าดีหรือไม่ เรามานั่งคุยกันดีๆ มาเถอะ!” ถึงแม้ว่าจะเป็นประโยคคำถามแต่ก็หาได้รอคำตอบไม่ เฉินเจียวเหมยกล่าวเสร็จก็รวบข้อมือของซูฮวาและหย่าหลินให้เดินตามตนเองไป และเพียงไม่นานเสี่ยวเอ้อร์ผู้รู้ความก็สามารถจัดการห้องรับรองสำหรับแขกคนสำคัญได้อย่างรวดเร็ว อาหารเลิศรส สุราเลิศล้ำ ก็มีมาวางเอาไว้บนโต๊ะได้อย่างทันใจ สมกับเป็นโรงน้ำชาของผู้ยิ่งใหญ่อย่างเฟยเทียน ซูฮวากับหย่าหลินเพียงนั่งดื่มเหล้าและกินอาหารด้วยสายตาพิฆาตแวววาวใส่กันตลอดเวลา ซูเซียวเพียงนั่งจิบชาอยู่ใกล้ๆ กับเฉินเจียวเหมยด้วยท่าทางนุ่มนวลอ่อนโยนตามวิสัยแตกต่างจากสตรีอีกสองนาง เฉินเจียวเหมยเพียงกินอาหารอย่างสบายอารมณ์ตามวิสัยเช่นเดียวกัน ทั้งสี่สตรีกำลังนั่งร่ำสุราอยู่ด้วยกันตรงโต๊ะเล็กทรงเตี้ยขนาดพอเหมาะ โดยที่ทั้งสี่นางนั่งอยู่กับพื้นรอบโต๊ะบนผ้าบุนวมรอบทิศทาง “ข้าอยากรู้เสียจริงว่าพวกเจ้ามีความแค้นอันใดต่อกัน” เฉินเจียวเหมยถามออกไปทางซูฮวาและหย่าหลิ







