ตั้งแต่วันนั้นผมก็ได้ติดต่อกับดารันมากขึ้น ทั้งโทรคุยกันบ้างหรือไม่ก็ส่งข้อความคุยกันตลอดจนได้รู้ว่าน้องเขาอยู่ปีสอง คณะบริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยเดียวกันกับผม พอผมถามน้องเขาว่ารู้จักผมได้ยังไงน้องเขาก็จะชอบบ่ายเบี่ยงเสมอคงเป็นเพราะว่าความเขินอาย
นิสัยเธอค่อนข้างจะน่ารัก เป็นเด็กผู้หญิงเรียบร้อยและอ่อนโยนมาก ๆ และที่บ้านก็มีชาติตระกูลค่อนข้างดี ผมคิดว่าตัวเองควรจะลองเปิดใจดูบ้างเพราะถ้าหากอยู่แบบนี้ต่อไปผมได้โสดยันเรียนจบแน่ ๆ
“วันนี้ขากลับเราไปแวะกินร้านที่มึงเคยบอกดีปะ” กรเดินเข้ามาหาผมในขณะที่ผมกำลังก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อยู่ ผมค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามองมันก่อนจะกระชับสายกระเป๋าเป้ของตัวเองด้วยสายตาประหม่าเล็กน้อย
“มึงกลับบ้านก่อนเลย วันนี้กูไม่ว่างว่ะ” คนได้ฟังถึงกับขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย
“ไปไหนวะ ปกติเห็นเลิกปุ๊บก็กลับพร้อมไอ้กรตลอดนี่” ธิดาเป็นคนเอ่ยถามขึ้นมาระหว่างที่พวกเรากำลังเดินตรงไปที่ลานจอดรถของคณะเพื่อเตรียมจะแยกย้ายกัน
“กูมีนัดว่ะ” ผมตอบกลับก่อนสายตาจะหันไปเห็นน้องดารันที่ยืนรอผมอยู่ไม่ไกล ผมรีบโบกมือทักทายก่อนจะหันมาบอกเพื่อน ๆ เพื่อบอกลา “กูไปก่อนนะ”
“โหยย เดี๋ยวนี้มีสาวมารอด้วยเว้ย” ไอ้มิลเอ่ยแซวก่อนจะตบไหล่ผมเบา ๆ ผมเงยหน้าขึ้นไปมองกรที่เอาแต่มองแล้วไม่พูดไม่จา
“กูไปก่อนนะ มึงกลับบ้านดี ๆ ล่ะ” ผมว่าก่อนจะเดินออกไปจากกลุ่มเพื่อนแล้วเดินเข้ามาหาน้องดารันที่ยืนรออยู่ เธอยิ้มกว้างรับก่อนจะเริ่มเดินไปพร้อมกัน
“พี่ต้นเรียนหนักไหมคะ” เธอกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เท่าไรหรอก เดี๋ยวสัปดาห์หน้าก็ต้องไปฝึกงานแล้ว มารอพี่นานหรือยังเนี่ยร้อนแย่เลย” ผมหันมามองหญิงสาวใบหน้าขาวมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเล็กน้อย
“หนูเพิ่งมาค่ะ พวกเราไปทานอะไรกันดีคะ”
“แล้วแต่เธอเลย” ผมว่าเพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าสาวรุ่นน้องมีความชอบแบบไหน ส่วนผมยังไงก็ได้ ดารันรีบเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาดูก่อนจะเอื้อมโทรศัพท์มาให้ผมได้ดูด้วย
“ร้านนี้เป็นยังไงบ้างคะ”
“ดีนะครับ พวกเราไปกันเถอะ” ผมกล่าวยิ้ม ๆ แล้วก็หันไปโบกแท็กซี่ที่ขับผ่านมาพอดีพอรถจอดผมก็เปิดประตูเบาะหลังให้ดารันได้เข้าไปก่อนก่อนที่ผมจะเข้าไปนั่งตาม พวกเราไปร้านอาหารร้านนั้นแล้วนั่งทานอาหารกันไปพลางพูดคุยกันไปเรื่อย ๆ ผมรู้สึกว่าน้องก็เป็นคนที่คุยด้วยแล้วสนุกมาก พวกเราชอบอ่านหนังสือเหมือนกัน แถมยังฟังเพลงคลาสสิกคล้าย ๆ กันอีก ถือว่าพวกเราเข้ากันได้ดีเลยทีเดียว
นี่คงจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากกับการเดินออกมาแล้วเปิดใจสักที
...
ทั้งสัปดาห์นั้นผมไม่ได้กลับกับไอ้กรเลยเพราะต้องไปส่งน้องดารันขึ้นรถกลับบ้านแล้วก็ไปไหนมาไหนกับน้องดารันบ่อยขึ้น เดี๋ยวก็ไปร้านหนังสือบ้าง ไปพิพิธภัณฑ์บ้าง หรือไม่ก็หาที่นั่งคุยกันตามคาเฟ พวกเรามีเรื่องให้พูดคุยกันอยู่เสมอจนเวลาที่อยู่กับน้องผมแทบจะเป็นอีกคนไปเลย
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่พอผมส่งน้องกลับบ้านแล้วผมก็ขึ้นรถโดยสารกลับบ้านตัวเองตามลำพัง ในช่วงแรกผมก็ไม่ค่อยชินนักที่ต้องกลับบ้านเพียงคนเดียวเพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมามีไอ้กรคอยไปรับไปส่งเสมอ
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองค่อย ๆ ถอยห่างจากกรมาทีละนิด ทีละนิด จนบางทีผมอาจจะกลับไปคิดกับมันได้แค่เพื่อนได้ในสักวัน
“ไอ้กร?” สองเท้าของผมที่กำลังเดินมาที่หน้าบ้านหยุดนิ่งลงแล้วมองรถยนต์คันหรูที่คุ้นตาด้วยสายตาเพ่งพินิจ รถของกรไม่ผิดแน่แล้วมาจอดที่หน้าบ้านผมได้ไง ผมรีบก้าวมาที่ประตูรั้วหน้าบ้านแล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นไปอีกเมื่อเห็นว่าร่างสูงของมันกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ที่หน้าประตู “มึงมานั่งทำอะไรตรงนี้”
ใบหน้าหล่อของมันเงยหน้าขึ้นมาพลางมองผมด้วยดวงตาฉ่ำน้ำ ขอบตามันแดงระเรื่ออย่างกับกำลังกลั้นน้ำตาเอา ไว้จนผมตกตะลึง
“มึงเป็นอะไรวะ” ยังไม่ทันที่ผมจะได้คำตอบ ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นแล้วโผเข้ามาดึงผมเข้าไปกอดแนบอกจนผมไม่ทันได้ตั้งตัว
“กลับบ้านแล้วเหรอวะ” กลิ่นแอลกอฮอล์ฟุ้งเข้าจมูกจนผมต้องดันตัวมันออกจากผม
“นี่มึงเมาเหรอวะ” ผมเอ่ยถามพลางยกมือขึ้นมาปิดจมูก นอกจากขอบตาของมันจะแดงก่ำแล้ว ใบหน้าของมันยังแดงระเรื่อเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์อีกด้วย “ไปเข้าบ้านก่อน”
ผมรีบเดินไปเปิดประตูรั้วเพื่อที่จะเข้าบ้านไอ้กรเดินไปเปิดประตูรถก่อนจะหยิบถุงอะไรบางอย่างที่ข้างในมีขวดเบียร์สี่ห้าขวดออกมาจากเบาะหลังแล้วชูต่อหน้าผม
“กินเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ”
ผมถอนหายใจยาวอย่างเอือมระอาแต่สุดท้ายก็ต้องพามันขึ้นมานั่งบนห้องนอนเพราะกลัวว่าพ่อกับแม่จะกลับมาเห็น ผมนั่งมองมันเปิดขวดเบียร์ขวดที่สามแล้วยกขึ้นกระดกเข้าปากอย่างไม่ยับยั้ง ของเหลวสีเหลืองอำพันไหลออกมาจากขอบปากที่ปิดไม่สนิทจนผมต้องยกมือขึ้นไปดึงขวดเบียร์ออกจากปากมันแล้วใช้หลังมือเช็ดให้เพราะทนเห็นสภาพมันไม่ไหว
“มึงยังไม่บอกกูเลย มึงเมาแล้วขับมาหากูใช่ปะ” มันเบะปากราวกับเด็กน้อยก่อนจะหันมามองผมด้วยดวงตาวาววับจากม่านน้ำตา ตอนแรกก็ใจหายคิดว่าร้องไห้ที่ไหนได้แค่ตาเยิ้มเพราะเมาแค่นั้นอะ
“กูอกหักอะ มึงปลอบกูหน่อยดิ” กรว่าเสียงสั่นเคล้ากับเสียงสะอื้นก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดหน้า ไหล่กว้างของเพื่อนสนิทเริ่มสั่นเทาตามด้วยเสียงสะอื้นไห้เบา ๆ ในตอนนั้นเองที่ผมก็ตั้งตัวไม่ทันเหมือนกันว่าจะต้องปลอบมันยังไง
ผมพอจะได้ยินว่าน้องแพรแฟนเก่าของไอ้กรมันเพิ่งเปิดตัวแฟนใหม่ไปหยก ๆ คงจะอกหักเพราะเรื่องนั้น
“ไหนมึงบอกว่าน้องเขาไม่ใช่ไง แล้วมึงมาร้องไห้เสียดายน้องเขาทำไมวะ ในเมื่อมึงเป็นคนทิ้งน้องเขาเอง” มันไม่พูดอะไรเพียงแค่หันมาจ้องตาผมเขม็งราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง สงสัยคงจะด่าผมในใจที่ผมไม่เข้าใจความรู้สึกมันละมั้ง
มันรีบคว้าขวดเบียร์ขึ้นไปกระดกต่อดังเอื๊อก ๆ อย่างกับจะแดกเอาตายอย่างไรอย่างนั้น ผมรีบดึงขวดเบียร์ออกมาจากปากของมันอีกครั้งก่อนที่มันจะเริ่มพูดออกมาทั้งที่ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตา
“กูชอบเขามาก กูชอบเขามากจริง ๆ นะเว้ย แต่เขาไม่เข้าใจเลยว่ะ เขาไม่เคยรู้ด้วยซ้ำอะ” ผมกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะก้มหน้าลง ประโยคที่เหมือนมีดคมเข้าแทงลึกกลางใจดำของผมจนพูดอะไรไม่ออก “มึงเข้าใจกูไหมวะต้น”
“ทำไมกูจะไม่เข้าใจ” กูก็เป็นเหมือนกัน ประโยคหลังผมไม่กล้าที่จะเปล่งออกไปความรู้สึกอึดอัดเริ่มผุดขึ้นมาจนผมรู้สึกหายใจไม่ออกได้แต่กัดริมฝีปากอิ่มของตัวเองเอาไว้แน่นเพราะมันสั่นระริก
ความเจ็บปวดตลอดสามปีที่ผ่านมาของผม คือการที่ผมแอบชอบเพื่อนสนิทของตัวเองแต่ไม่สามารถบอกใครได้เลยได้แต่เก็บความรู้สึกนี้เอาไว้จนมันใกล้จะระเบิดออกมารอมร่อ มาวันนี้ผมต้องมานั่งฟังในพร่ำเพ้อถึงคนอื่นแถมสภาพก็อนาถเกินทน ยิ่งทำให้ผมเจ็บใจจนกลั่นออกมาเป็นคำพูดไม่ออกจนน้ำตามันต้องไหลรินออกมาแทน
ผมยกขวดเบียร์ที่ดึงออกมาจากปากของกรขึ้นมาดื่ม ความขมบาดคอยังไม่รู้สึกเท่าความรู้สึกที่จุกอยู่ในอกเวลานี้
“ไอ้ต้น” กรเอื้อมมือมาจับที่ข้อมือผมเบา ๆ ก่อนจะออกแรงดึงให้ผมเลิกดื่มเบียร์ขวดนั้น ผมวางขวดเปล่าลงบนพื้นอย่างแรง ความร้อนวูบวาบเริ่มแล่นไปทั่วร่างกาย ผมรู้สึกเหมือนตัวเบาหวิวแปลก ๆ จนต้องหรี่ตามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“มา กูแดกเป็นเพื่อนเอง เปิดอีกขวดดิ” ผมหันไปชี้เบียร์ขวดที่เหลือก่อนที่ได้กรมันจะเปิดให้แล้วส่งมาให้ผม ในคืนนี้ผมกับไอ้กรเลยนั่งดื่มกันจนหมด ร่างกายของผมมันเริ่มโงนเงนภาพตรงหน้าพร่าเบลอไปหมด ผมเลยลุกขึ้นมาหวังจะคลานขึ้นไปนอนบนเตียงเพราะในหัวมันหนักอึ้งจนแทบจะยกไม่ขึ้น
“จะไปไหน” น้ำเสียงอ้อยอิ่งของอีกคนลุกขึ้นมาฉุดรั้งข้อมือของผมเอาไว้จนผมเซล้มหงายหลังลงไปบนเตียงนอน
“โอ๊ย” ผมหลับตาปี๋เมื่อแผ่นหลังกระแทกกันบนฟูกนิ่ม ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรจนคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป
เปลือกตาขาวค่อย ๆ เปิดขึ้นจนใบหน้าของอีกฝ่ายเด่น ชัดอยู่ตรงหน้า ภาพรอบข้างฟุ้งเบลอไปหมด นี่ผมกำลังฝันอยู่นี่เอง
ผมยกมือขึ้นมาตบข้างแก้มของคนที่กำลังคร่อมอยู่บนตัวผมเบา ๆ ก่อนจะยกยิ้มกว้างอย่างพอใจ
“ทำไมขนาดไหนฝันกูมึงยังหล่ออยู่เลยวะ น่าหมั่นไส้ฉิบหาย” ผมอดใจไม่ไหวต้องยกมือทั้งสองข้างบีบแก้มมันไปมาเพื่อใบหน้าของมันบิดเบี้ยวที่สุดก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
กรเบี่ยงหน้าหลบก่อนจะจับข้อมือของผมทั้งสองข้างเอาไว้ด้วยมือข้างเดียวก่อนจะกดลงบนเตียงนอน
“พอใจมึงยัง” มันเอ่ยถาม
“น่าหมั่นไส้ฉิบหาย มึงแม่ง ทำไมต้องเล่นกับหัวใจกูขนาดนี้วะ” ผมเริ่มพูดพร่ำออกมาอย่างไม่มีสติพูดพลางน้ำตาไหลไปพลางจนภาพตรงหน้าถูกบดบังไปด้วยม่านน้ำตา “กูอยากเกลียดมึงว่ะ”
เพียงพูดจบริมฝีปากอิ่มก็ถูกจู่โจมจนผมต้องดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตกใจ คนบนร่างดูดดึงริมฝีปากอย่างดูดดื่มราวกับกำลังสูบเอาวิญญาณของผมให้ออกจากร่าง มือของผมที่ถูกตึงไว้เหนือหัวกำแน่น รสชาติขมร้อนของแอลกอฮอล์ยังคงคลุ้งอยู่ในริมฝีปาก
ไอ้กรขบกัดริมฝีปากของผมเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือข้างหนึ่งมาถอดแว่นของผมออกจนภาพยิ่งมัวเบลอเข้าไปใหญ่ ผมจึงได้แค่หลับตาแล้วสัมผัสความรู้สึกวูบวาบนี้ เสียงหอบหายใจของไอ้กรยังคงดังและรินรดอยู่ที่บริเวณใบหูจนผมรู้สึกจั๊กจี้แปลก ๆ
ถ้านี่เป็นความฝันจริง ๆ ก็คงเป็นฝันที่ผมไม่อยากตื่นขึ้น มาเลย
“เป็นไงบ้าง” ไอ้กรเดินเข้ามาถามผมหลังจากที่ผมเดินออกมาจากบริษัทหนึ่งหลังจากที่เขานัดมาสัมภาษณ์งานในตำแหน่งผู้จัดการ ผมช้อนสายตามองมันก่อนจะถอนลมหายใจออกมายังไม่ทันได้พูดอะไรไอ้กรก็พูดแทรกขึ้นก่อน “ถ้าเขาไม่รับหรือพูดจาไม่ดีมึงก็ไม่ต้องทนนะคนอย่างมึงไม่จำเป็นต้องของานใครทำด้วยซ้ำขอเงินกูก็พอแต่ถ้าอยากทำงานมาทำงานกับกูก็ได้” “กร ใจเย็น” ผมรีบยกมือห้าม “กูอยากทำงานที่บริษัทนี้มากมึงก็รู้” ผมบอกกรหลายครั้งแล้วว่าผมอยากทำงานที่นี่เพราะเป็นเกี่ยวกับบริษัทวิจัยเครื่องมือทางการแพทย์ซึ่งผมก็สนใจเอามาก ๆ เพราะถือว่าเป็นงานที่มีน้อยมากและเป็นรายใหญ่ในประเทศ หลังจากที่เรียนจบมาผมเลยรีบร่อนใบสมัครมาในทันที “กูรู้ แต่ถ้าเขาไม่อยากร่วมงานกับเรา เราก็ไม่จำเป็นต้องร่วมงานกับเขา” “แล้วใครเขาไม่อยากร่วมงานกับกู” ผมเลิกคิ้วมองแฟนหนุ่มที่แสดงสีหน้ากังวลออกมา กรขมวดคิ้วแน่นด้วยความสงสัย “สรุปคือมึงได้งาน” “เออดิ” “...” มันอึ้งจนแทบพูดไม่ออกไม่แสดงสีหน้าอะไรนอกจากอ้าปากค้าง “ไม่ดีใจกับกูหน่อยเ
“ขับรถเล่น ค่ำไหนนอนนั่นสามวันสองคืน” มิลทวนประโยคหลังจากที่ธิดามาเล่าไอเดียบรรเจิดให้พวกเราฟังว่าอยากให้พวกเราพากันขับรถเล่นไปเรื่อย ๆ เที่ยวแถวชายหาด นอนดูดาวหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนาน “ต้อนรับต้นกลับมาไง พวกมึงไม่ดีใจกันเหรอ” ธิดาว่า “ไปกันแค่พวกเราห้าคนไง” “มึงแน่ใจนะว่าแฟนมึงจะไม่ว่า” ผมเอ่ยถามเพราะต่อให้พี่คุณแฟนธิดาจะสนิทกับพวกเรามากก็จริงแต่การที่แฟนจะไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนผู้ชายทั้งกลุ่มไม่รู้ว่าจะเหมาะสมหรือเปล่า” “สามีจ้ะ แต่งแล้วเรียกสามีได้เนอะ” เพื่อนสาวชูโชว์นิ้วนางข้างซ้ายที่มีแหวนเพชรสะท้อนแสงเข้าตาจนต้องหรี่ตามอง “พี่คุณไม่ว่าอะไรหรอกมีกูไปด้วยแถมให้เงินค่าเปิดโรงแรมมาอีก” คิณอธิบาย “ก็น่าสนใจดีเหมือนกันนะ ต้นไปอยู่ต่างประเทศนานให้มาเที่ยวเมืองไทยบ้างก็ดีเหมือน กันมึงว่าปะ” กรหันมาถามความคิดเห็นจากผม ซึ่งถ้าจะให้ผมตอบผมก็คงจะยินดีที่ได้ไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ แต่ว่าช่วงนี้ผมค่อนข้างจะสับสนกับเวลาหลังจากที่ไปอยู่คนละไทม์โซนมาทำเอาผมสามารถหลับได้ทุกที่เลย “กูเจ็ตแล็กว่ะกลัวไปเที่ยวไม่สนุกจะ
หนึ่งปีต่อมา และแล้ววันที่ผมรอคอยก็มาถึง วันที่ผมจะได้กลับไทยสักทีถึงแม้จะกลับไปชั่วคราวเพราะงานรับปริญญาแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้กลับเลยล่ะวะ ไอ้กรมันบ่นทุกวันว่าพยายามจะเคลียร์ตารางงานมาหาผมให้ได้แต่มันก็ยุ่งเสียเหลือเกิน การจะลามาต่างประเทศแค่สองสามวันมันไม่พอจริง ๆ ผมเลยบอกมันว่าไม่เป็นไรยิ่งมันได้ขึ้นมาเป็นรองประธานคณะกรรมการฝ่ายบริหารด้วยแล้วยิ่งปลีกตัวไม่ได้เข้าไปใหญ่ บทบาทหน้าที่สูงขึ้น ความรับผิดชอบก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา หลังจากที่ผมนั่งเครื่องมาเกือบครึ่งวันในที่สุดผมก็มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิเสียที ผมก้าวเดินออกมาตามทางเดินด้วยหัวใจที่ฟูฟ่องเตรียมที่จะได้พบหน้ากับคนรัก กรมันบอกว่ามันจะเป็นคนมารับผมเอง ผมเลยตั้งหน้าตั้งตารอเป็นพิเศษ “กร” ผมเรียกชื่อของอีกฝ่ายเบา ๆ จากด้านหลัง เจ้าของชื่อค่อย ๆ หันมาช้า ๆ ก่อนจะเผยรอยยิ้มกว้างเมื่อสบตาเข้ากับผม “ต้นคิด” มันเข้ามาสวมกอดผมเอาไว้อย่างแนบแน่นแต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดอยากกอดมันแน่นยิ่งกว่านี้เสียอีก “กูคิดถึงมึงมากเลย” มั
แค่ถูกมันสัมผัสผมก็อารมณ์กระฉูดจนเกินจะต้านแล้ว “มองค้างขนาดนี้ อิจฉากูหรืออยากได้กู” ผมช้อนสายตาขึ้นไปมองมันด้วยดวงตาที่ฉ่ำไปด้วยม่านน้ำตา ไม่รู้ว่ามันดูเย้ายวนหรือเปล่าแต่ความรู้สึกของผมตอนนี้ ผมเหมือนผู้ชนะที่ได้มันมาครองเลยแฮะ “มึงมากกว่ามั้งที่อยากได้กู” ผมถอดเสื้อของตัวเองออกก่อนจะโยนไปกองไว้ข้าง ๆ โซฟาจากนั้นก็รั้งท้ายทอยของมันให้ลงมาจูบกับผมอีกครั้ง รสจูบในครั้งงนี้ร้อนแรงราวกับลาดน้ำมันลงบนกองเพลิงที่โหมกระหน่ำจนไม่มีสิ่งใดมายับยั้งได้ ไอ้กรไม่รอช้าอีกต่อไปมันลูบไล้ตามลำตัวของผมอย่างหลงใหล บีบหน้าอกบ้าง บีบสะโพกบ้าง แล้วก็ใช้นิ้วเขี่ยเม็ดบัวจนผมเผลอกระตุกแล้วปล่อยเสียงครางออกมา “คืนนี้กูจะกินมึงทั้งคืนเลย เตรียมตัวไว้เถอะ” มันว่าก่อนจะรีบกระชากกางเกงขาสั้นของผมออกโดยไม่รีรออะไรอีกต่อไป ราวกับประโยคเมื่อกี้มันแค่แจ้งให้ทราบไม่ได้ให้ผมร่วมตัดสินใจด้วยเลย มันลุกขึ้นไปถอดกางเกงของมันออกเหมือนกันก่อนจะหยิบกล่องถุงยางขึ้นมาแกะ ผมเอื้อมมือไปแย่งซองถุงยางของมันมาก่อนจะดันให้มันนั่งลงบนโซฟาอย่างเคย
“น้องแพรเขาทำคลิปขอโทษแล้วนะเว้ย” ไอ้กรยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้ผมดูคลิปแพรที่ยกมือไหว้ขอโทษแล้วก็สารภาพความผิดทุกอย่างออกมาด้วยปากของตัวเอง ถึงแม้มันจะเป็นภาพที่ผมคิดเอาไว้อยู่แล้วแต่พอได้เห็นจริง ๆ ก็รู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อย “มึงยังเสียใจเรื่องเด็กอยู่อีกเหรอวะ” “กูพยายามคิดในแง่ดีแล้วนะ แต่ไม่รู้ทำไมกูถึงยังรู้สึกผิดอีก” ผมว่าไปตามตรง ในเมื่อแม่เด็กไม่ต้องการอยู่แล้วมันก็คงเป็นทางที่ดีที่สุดที่เด็กจะได้ไม่ต้องเกิดมาลำบากในโลกใบนี้ แต่พอคิดว่าผมมีส่วนด้วยต่อให้จะไม่ได้ตั้งใจมันก็เหมือนตราบาปว่าครั้งหนึ่งผมทำให้เด็กคนนั้นไม่ได้มีโอกาสเกิดมา “เด็กยังตัวเท่านิ้วโป้งอยู่เลยนะเว้ย เขาไม่โกรธมึงหรอก ไม่มีใครโทษมึงเลย เพราะงั้นเลิกโทษตัวเองได้แล้ว” ผมรู้ว่ามันต้องการจะปลอบผมก็เหลือแต่ผมแล้วล่ะที่ต้องปล่อยวาง “เรามาภาวนาให้เด็กไปเกิดในครอบครัวที่ดีกว่านี้กันเถอะนะ” “อือ” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองมันก่อนจะระบายยิ้มออกมาช้า ๆ “ขอบคุณนะที่อยู่ข้าง ๆ กูมาตลอด” “ไม่ให้อยู่ข้างแฟนแล้วจะอยู่ข้างใครเล่า” มันว่าก่อนจะเอื้อมมือมาจิ้มแก้มผมเบ
“พี่ต้นนัดแพรมาทำไมเหรอคะ” หญิงสาวรุ่นน้องเดินเข้ามาหาผมในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เธอดูมีท่าทีหวาดระแวงผมเล็กน้อยไม่ปากดีเหมือนตอนที่คุยโทรศัพท์กัน “พี่อยากเคลียร์เรื่องโพสต์น่ะ” ผมยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้ววางไว้บนโต๊ะ หน้าจอมีหน้าโพสต์นั้นอยู่แต่แพรกลับยกยิ้มบาง “โพสต์นี้มันไม่ได้เอ่ยชื่อใครนี่คะ ไม่ได้หมายถึงพวกเราสักหน่อยพี่ต้นจะไปกลัวอะไร พี่ก็รู้นี่ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง เอ๊ะ หรือที่กลัวเพราะว่ามันเป็นเรื่องจริงคะ” ผมคงประเมินเธอต่ำไปหน่อย ที่แท้เพียงแค่รอจังหวะที่จะสู้กลับเหมือนกัน “อย่าลืมสิว่าพี่เรียนวิศวะคอมพิวเตอร์ เว็บบอร์ดมหา’ลัยก็ต้องลงทะเบียนก่อนจะใช้งานได้ คิดว่าข้อมูลแค่นี้พี่จะเจาะไม่ได้เชียวเหรอว่าใครเป็นคนโพสต์” แพรเริ่มหน้าเสียหลังจากที่ผมพูดจบ “แพรก็แค่อยากได้ความยุติธรรมให้ลูกในท้องแพร ยังไงเด็กในท้องแพรก็ต้องมีพ่อ” แพรเริ่มขึ้นเสียงดังจนคนในร้านเริ่มหันมามองเป็นตาเดียวกัน “พี่ต้นคืนพ่อของลูกแพรมาเถอะนะคะ เห็นแก่เด็กที่กำลังจะลืมตาขึ้นมาดูลูกนะคะพี่ต้น” ผมปรายตามองหน้าท้องแบนราบของหญิงสาวที่ยืนอย