หลังจากที่เมิ่งฮวากินข้าวแล้วก็จัดการเก็บจานออกไปล้างคว่ำเก็บทันที รวมถึงนำขวดน้ำที่นางดื่มหมดแล้วออกไปทิ้งถังขยะด้วย
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้วนางก็มานั่งจ๋องอยู่ตรงโซฟา รอให้ข้าวที่กินไปย่อยพร้อมกับขบคิดว่าจะไปทำอันใดต่อดีเพราะนี่ก็เพิ่งยามเว่ย (13:00-14:59 น.) เอง
[หากเจ้าเบื่อ เจ้าก็ไปบ้านตระกูลลี่สิ ตั้งแต่บ้านเสร็จเจ้าก็ไม่ค่อยได้ไปนั่งคุยเล่นกับทั้งสองคนเลยนะ] เสี่ยวเปาเอ่ยออกมาเมื่อเห็นว่านางทำท่าทีเบื่อๆ
เมิ่งฮวาที่คิดตามคำพูดของเสี่ยวเปาก็พยักหน้าออกมา
“จริงด้วย ที่เจ้าพูดออกมาก็จริงนะ ข้าไม่ค่อยได้ไปที่บ้านที่บ้านท่านลุงท่านป้าจริงๆ นั่นแหละ หากไปก็ไปแค่นำของไปให้แล้วก็กลับ”
เสี่ยวเปาที่ฟังเมิ่งฮวาพูดเจื้อยแจ้วแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาอีก ทำเพียงรับฟังเมิ่งฮวา
“อืม… ตกลงว่าวันนี้ข้าไปบ้านท่านลุงท่านป้าดีกว่า” เมิ่งฮวานางพูดออกมาพร้อมกับตกลงกับตัวเอง เมื่อคิดได้แล้วนางก็จัดการออกจากมิติทันทีเพื่อที่จะไปบ้านท่านลุงท่านป้า …เมื่อออกจากมิติแล้วนางก็ออกจากบ้านพร้อมกับจัดการล็อกประตูบ้านให้เรียบร้อย แล้วเดินมุ่งไปยังบ้านตระกูลลี่ทันที แต่ในขณะเดินไปก็พบเจอชาวบ้านบ้างประปรายเป็นระยะๆ บางคนก็เอ่ยทักทายเมิ่งฮวานางก็ออกมาอย่างอัธยาศัยดี แต่บางคนก็เอ่ยทักทายแต่ก็ไม่วายเอ่ยแซะออกมาด้วยความอิจฉา และบางคนก็เลือกที่จะมองเมินใส่นางหรือไม่ก็เดินเชิดหน้าใส่นางเหมือนไม่อยากจะสนทนาด้วย ซึ่งนางเองก็ไม่ได้เก็บคนพวกนี้มาใส่ใจให้ปวดสมองนัก ทำเพียงยิ้มตอบรับ หรือเลือกพูดคุยดีๆ กับคนที่ดีด้วยก็พอ ส่วนคนที่ไม่ดีนางก็ไม่ไปยุ่งด้วยแต่หากยังขืนมายุ่งกับนางอีกนางก็ไม่มีข้อยกเว้นที่จะไม่โต้ตอบเช่นกัน
.
.
หลังจากเดินมาไม่นานก็เดินมาถึงบ้านของท่านลุงกับท่านป้าทันที
ตระกูลลี่
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“ท่านลุง ท่านป้าเจ้าคะ ข้าอาเมิ่งเองเจ้าค่ะ!” นางเคาะประตู พร้อมตะโกนเอ่ย
เมิ่งฮวาที่ยืนรออยู่ก็ได้ยินเสียงกุกกักๆ ภายด้านในบ้าน ก็รับรู้ได้ทันทีว่ากำลังมีคนเดินออกมาเปิดประตูให้ …ไม่นานประตูด้านหน้านางก็ถูกเปิดออกจริงๆ
“อาเมิ่งมาเร็ว เข้ามาๆ ด้านในก่อน” ท่านป้าเปิดประตูให้พร้อมกับเอ่ยบอกนาง
“ได้เจ้าค่ะท่านป้า” เมิ่งฮวาตอบพร้อมกับเดินเข้าตัวบ้านไปทันที ส่วนท่านป้าที่ปิดประตูเรียบร้อยแล้วก็เดินตามนางเข้ามา
“แล้วนี่ท่านลุงกับท่านป้ากำลังทำอันใดกันอยู่หรือเจ้าคะ? ”
“ลุงกับป้ากำลังช่วยกันเย็บผ้าห่มอยู่น่ะ อีกไม่กี่เดือนก็จะถึงหน้าหนาว ป้ากับลุงได้ข่าวมาว่าปีนี้หน้าหนาวที่จะถึงนี้จะหนาวกว่าทุกๆ ปี เห้อ…” ท่านป้ากล่าวตอบเมิ่งฮวาพร้อมกับทำหน้าสลดๆ
“เอ่อ… ท่านป้าเป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ? หน้าหนาวที่จะถึงมันร้ายแรงมากหรือเจ้าคะ” เมิ่งฮวาเอายถามออกไปด้วยความสงสัย
“ใช่แล้วล่ะอาเมิ่ง หน้าหนาวที่จะถึง หรือปีที่ผ่านๆ มานั้นล้วนแต่ลำบากกันนัก หากบ้านใดหรือครอบครัวใดที่มีเสบียงอาหารไม่เพียงพอก็อาจจะตายตกเหมือนปีที่ผ่านๆ มากันเป็นแน่ แต่ถึงจะรู้ว่าอาจจะต้องตายหากมีเสบียงไม่พอแต่จะให้ทำอย่างไรกันได้เล่าก็ในเมื่อร้านรวงต่างๆ ก็ต่างพากันตักตวงเพิ่มราคาเอาเปรียบชาวบ้านตาดำๆ กันเช่นนี้…” ท่านป้าเอ่ยออกมาพร้อมกับทำท่าทีหดหู่ออกมาด้วยความสลดใจ
“ท่านลุงท่านป้าเจ้าขา ข้าว่าหน้าหนาวปีนี้พวกท่านไปอาศัยอยู่กับข้าที่บ้านเถิดเจ้าค่ะ เพราะที่นี่ก็เก่ามากแล้วไม่รู้ว่าหน้าหนาวที่จะถึงนี้หิมะจะทับถมจนบ้านพวกท่านพังหรือไม่ แล้วพวกเราก็ช่วยกันทำพวกผักดอง อาหารแห้งเก็บสะสมไว้แจกเป็นเสบียงช่วยเหลือชาวบ้านตอนหน้าหนาวที่จะถึงนี้กันเถิดเจ้าค่ะ” เมิ่งฮวาเอ่ยอย่างออกความคิดเห็น
“อาหารแห้ง ผักดองอย่างนั้นหรือ? ที่เจ้าพูดมามันคือสิ่งใดกันเล่า ป้ากับลุงอยู่มาจนอายุปูนนี้แล้วยังไม่เคยได้ยินเลยนะอาเมิ่ง” ท่านป้ากล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย
“อ่า… พวกท่านไม่รู้จักหรือเจ้าคะ พวกของแห้งก็คือการนำเนื้อสัตว์ต่างๆ มาแร่ให้บางๆ แล้วนำไปตากแดดเจ้าค่ะ หากตากแดดจนแห้งแล้วก็จะสามารถนำมาเก็บไว้กินได้นานเลยทีเดียว ส่วนผักดอง ก็คือการนำพวกผักต่างๆ มาดองน้ำเกลือแล้วนำมาเก็บใส่ไหไว้หรือใส่อันใดก็ได้ที่สามารถใส่แล้วสามารถหาที่ปิดที่ลมจะไม่สามารถเข้าไปได้น่ะเจ้าค่ะ ของดองพวกนี้จะสามารถเก็บไว้ได้นานอีกเช่นเดียวกัน หากกินกับข้าวต้มจะอร่อยมากเจ้าค่ะ อืม… หากจะกินกับไข่ต้มให้อร่อยก็คงจะต้องมีไข่เค็มด้วย ส่วนวิธีการทำไข่เค็มที่ข้ากำลังพูดถึงก็คือการนำไข่เป็ดมาดองในน้ำเกลืออีกเช่นเดียวกันเจ้าค่ะ นำมาทำอาหารได้หลายอย่างเลยนะเจ้าค่ะแถมยังอร่อยมากอีกด้วย เอาไว้ข้าจะทำให้ท่านลุงกับท่านป้าได้ลองชิมนะเจ้าคะ”
ท่านลุงท่านป้าที่พากันนั่งฟังก็รู้สึกว่าตัวเองได้เปิดหูเปิดตาเสียแล้ว เพราะพวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าสามารถทำเช่นนี้ได้ด้วย
“เอาเป็นว่าท่านลุงกับท่านป้ามาอยู่กับข้าที่บ้านนะเจ้าคะ จะได้ช่วยกันทำเสบียงอาหารเก็บไว้เยอะๆ ”
ท่านลุงท่านป้าที่ได้ยินก็ได้แต่ทำท่าทางขบคิด ก่อนที่ท่านป้าจะเอ่ยตอบตกลง
“ได้ ลุงกับป้าคงต้องขอรบกวนเจ้าแล้วนะอาเมิ่ง”
“ไม่รบกวนเลยเจ้าค่ะ แต่ว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้หลังจากที่ข้าเข้าเมืองเสร็จเรียบร้อยแล้วข้าจะมาช่วยท่านลุงกับท่านป้าขนของที่จำเป็นไปบ้านข้านะเจ้าคะ” เมิ่งฮวาเอ่ยบอกออกมา
“เร็วถึงเพียงนั้นเลยหรือ? อีกหลายเดือนกว่าจะหน้าหนาว” ท่านลุงเอ่ยถามออกมาด้วยความตกใจ
“ยิ่งเร็วก็ยิ่งดีนะเจ้าคะ จะได้ช่วยกันทำพวกผักดองแล้วก็อาหารแห้งเก็บไว้ได้เยอะๆ ไงเจ้าคะ จะได้มีเพียงพอที่จะแจกจ่ายชาวบ้าน”
“ก็จริงของอาเมิ่งนะตาแก่ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ป้ากับลุงจะเก็บของที่จำเป็นรอเจ้ากลับมาจากเมืองเองก็แล้วกัน” ท่านป้าเอ่ย
“ได้เลยเจ้าค่ะท่านป้า”
“แล้วเจ้าเล่าอาเมิ่งมาหาลุงกับป้าของเจ้าที่บ้านมีอันใดหรือไม่? ” ท่านลุงกล่าวถามนาง
“ไม่มีอันใดหรอกเจ้าค่ะท่านลุง ข้าเพียงแค่มาอยากจะมานั่งเล่นที่นี่เท่านั้นน่ะเจ้าค่ะ ข้าอยู่บ้านคนเดียวเบื่อยิ่งนัก”
“โอ้… เป็นเช่นนี้ แต่เดี๋ยวต่อไปมียายแก่ไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าก็ไม่เหงาแล้วนะอาเมิ่ง ฮ่าๆ ” ท่านลุงพูดออกมาอย่างขบขัน
“แบบนั้นจะดีมากเลยเจ้าค่ะ ฮ่าๆ ”
“พวกเจ้านี่นะ” ท่านป้ากล่าวพูดออกมาพร้อมกับส่ายหัวระอา
เมิ่งฮวากับท่านลุงก็ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาเพราะมัวแต่หัวเราะขบขันกันอยู่
…
หลังจากนั้นทั้งสามก็พูดคุยกันอย่างสัพเพเหระ จนกระทั่งเมิ่งฮวาเอ่ยออกมาเพราะเห็นว่าเป็นเวลาเริ่มจะเย็นแล้ว
“วันนี้ข้าจะเป็นคนทำอาหารให้ท่านลุงกับท่านป้ากินเองนะเจ้าคะ พวกท่านทำผ้าห่มนวมกันต่อเถิดเจ้าค่ะ” เมิ่งฮวาเอ่ยอาสาออกมา
“ได้สิ ลุงกับป้าล่ะคิดถึงอาหารฝีมือเจ้าจะแย่แล้ว” ท่านลุงเอ่ยออกมา
“ก็ใช่น่ะสิ เจ้าไปทำอาหารเถิดอาเมิ่ง เพราะตาแก่น่ะเบื่ออาหารฝีมือยายแก่อย่างข้าจะแย่แล้ว” ท่านป้าไม่วานทร่จะเอ่ยกระแนะกระแหนท่านลุงออกมา
“นี่ยายแก่ เจ้าอย่ามาพูดจาหาเรื่องข้าสิ”
“เอ่อ… ท่านลุงกับท่านป้าอย่าทะเลาะกันเลยนะเจ้าคะ… เดี๋ยวข้าจะรีบเข้าครัวไปทำอาหารเดี๋ยวนี้แหละเจ้าค่ะ” เมิ่งฮวานั่งกล่าวตัดบทออกมา เพราะคิดว่าท่านลุงกับท่านป้าคงจะหิวเป็นแน่
“ได้/ได้” ท่านลุงที่เลิกทะเลาะกันแล้วก็หันมาตอบนางอย่างพร้อมเพรียงกัน
เมิ่งฮวาที่เห็นดังนั้นก็ไม่รอช้ารีบเดินเข้าครัวทันที…
หลังผ่านเหตุการณ์สั่นคลอนชะตาทั้งหลายที่ปราสาทอู่หวัง และผ่านช่วงเวลาพักรักษาตัวอยู่ในจวนใหญ่ของโจวจางเหว่ย ในที่สุดนางก็สามารถฟื้นตัวคืนกำลังได้เกือบเต็มร้อย พลังลี้ลับจากเลือดมังกรในกายไม่ปรากฏอาการร้อนผ่าวอีกแล้ว เธอสัมผัสได้ว่าบัดนี้ตนไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเช่นเดิมอีกต่อไปในเช้าวันแดดจัดที่มีเมฆลอยเรียงกันประปราย โจวจางเหว่ยได้จัดเตรียมรถม้าอย่างเรียบง่าย พาเมิ่งฮวาออกเดินทางกลับหมู่บ้านซานซี อันเป็นดินแดนเล็กๆที่เธอเคยใช้ชีวิตเรียบง่ายร่วมกับ ท่านลุงลี่คุน และท่านป้าลี่จูเสมอมาเมิ่งฮวามองเห็นทิวเขาคุ้นตาแต่ไกล ยิ่งใกล้ซานซีเท่าไรเธอยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นึกถึงวันที่ยังใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ไม่ต้องพัวพันกับเลือดมังกรหรือการเมืองใดๆ เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้านเธอเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของโจวจางเหว่ย และสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆที่พัดมาเหมือนยินดีต้อนรับการกลับมาของเธอเมื่อรถม้าวิ่งเข้าเขตบ้านลุงลี่คุน ท่านป้าลี่จูก็ปราดออกมาต้อนรับทันทีด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความห่วงใย“อาเมิ่ง! เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?” ท่านป้าลี่จูรีบเข้ามาจับมือเมิ่งฮวา ตรวจดูกันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับหล
เสียงก้องสะท้อนในห้องมังกรใหญ่ยังคงโหมกระพือ เสาหินรอบข้างสั่นไหวราวกับจะถล่มลงทุกเมื่อ อานุภาพมหาศาลจากแกนมังกรแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ทำให้อากาศสั่นระริกจนทุกคนที่อยู่ในห้องรู้สึกหายใจลำบากเมิ่งฮวายืนอยู่ตรงกลางวงแสงสีทองที่ปะทุจากจุดศูนย์กลางของแท่นบูชา เหงื่อและเลือดไหลอาบบนใบหน้าที่เธอไม่อาจรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อีก ในจิตใจเธอมีเสียงสองกระแสคอยก้องสลับไปมา‘หลอมรวม… เพื่อเป็นผู้ครองพลัง! หรือทำลาย… เพื่อยุติความวุ่นวาย!’เบื้องหน้าเธอคือรูปสลักมังกรที่ดูเหมือนมีชีวิต แผ่นโลหะหนาทึบบนอกรูปสลักเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆเผยให้เห็นแกนมังกรคล้ายลูกแก้วสีทองสะท้อนแสงในมือเมิ่งฮวา อำนาจโบราณจากยุคสมัยราชวงศ์เก่ากำลังตื่นขึ้นพร้อมแรงกดดันอันเกรี้ยวกราดขณะที่คลื่นพลังปกคลุมห้องมังกรอย่างหนักหน่วง เหล่ามือสังหารที่ยังมีสติอยู่ก็ต้องคุกเข่าหรือหมอบกับพื้น องครักษ์ของโจวจางเหว่ยที่ยังยืนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ บางคนถูกแรงอัดดีดกระเด็นไปยังซอกกำแพงโจวจางเหว่ยตะเกียกตะกายลุกขึ้น มือกำกระบี่ที่สั่นระริก พยายามฝ่าคลื่นพลังเข้ามาหาเมิ่งฮวา“ฮวาเออร์!” เขาเรียกสุดเสียง แต่ถูกแรงอัดบีบจนขยับได้ยากเต็มที
แสงสีทองแห่งแกนมังกรที่ซ่อนอยู่ภายในร่างโลหะของมังกรส่องสว่างออกมาจากกลางแท่นบูชาอย่างน่าพิศวง บรรยากาศในห้องใต้ดินอันกว้างใหญ่ชวนให้รู้สึกถึงความเก่าแก่และพลังลี้ลับที่สั่งสมมานับศตวรรษเมิ่งฮวายืนนิ่งหัวใจเต้นระรัวเมื่อตระหนักว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ‘หัวใจ’ของอู่หวังที่แท้จริง ต้นกำเนิดแห่งอำนาจซึ่งเหล่ากบฏกำลังตามหามาโดยตลอดขณะที่เมิ่งฮวากำลังไล่สายตาสำรวจรูปสลักมังกรขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีชิ้นส่วนโลหะพิเศษครอบอยู่เป็นเกล็ด การเต้นของเลือดในร่างกายเธอก็เร่งจังหวะไม่หยุดราวกับสายเลือดตอบสนองต่อบางสิ่งที่เปล่งพลังงานอยู่เบื้องหน้า“ฮวาเออร์…” โจวจางเหว่ยเรียกเธอเสียงเบา มือกำกระบี่ข้างกายแน่น เขามองสถานการณ์ด้วยความระแวดระวังเพราะอาจมีศัตรูโผล่มาได้ทุกเมื่อ “เจ้ารู้สึกไหมว่าพลังนี้กำลังเรียกหาเจ้า?”เมิ่งฮวาพยักหน้าเล็กน้อยสีหน้าสับสนแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ก้าวเข้าใกล้แท่นบูชามากขึ้นทีละนิดโดยมีโจวจางเหว่ยตามมาคุ้มกันไม่ห่างบริเวณโดยรอบแท่นบูชามีร่องรอยภาพสลักเก่าแก่บนกำแพงหินและพื้น บ้างเป็นรูปมนุษย์แต่งกายหรูหรายืนล้อมมังกร บ้างเป็นรูปผู้คนคุกเข่าบูชา
การต่อสู้ในโถงมังกรยังคงดุเดือด ดาบกระทบกันเสียงดังสนั่น เสียงเหล็กเสียดสีกันดังไปทั่วทุกมุมโถง บางครั้งสายตาของเมิ่งฮวาก็เหลือบไปเห็นบันไดลับที่เปิดลงไปยังส่วนลึกของปราสาท อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้รุนแรงทำให้ความคิดของเธอพร่าเบลอ แต่เธอรู้ดีว่าถ้าไม่รีบตัดสินใจตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาพลาดโอกาสสำคัญไปท่ามกลางการต่อสู้ที่รุนแรงนักฆ่าหลายคนเริ่มแยกตัวออกไป โดยมีท่าทางเหมือนจะเริ่มมีกลยุทธ์บางอย่าง การโจมตีของพวกมันแม่นยำและรวดเร็ว หลายครั้งที่เมิ่งฮวากับโจวจางเหว่ยต้องใช้กลยุทธ์หลบหลีกและโจมตีสวนกลับ หากพวกเขายังไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ กลุ่มของพวกเขาจะต้องถูกต้อนให้มุมในไม่ช้า“พวกมันกำลังพยายามล่อเราไปที่มุม!” เมิ่งฮวาตะโกนเตือน โจวจางเหว่ยหันไปมองเธอด้วยความเป็นห่วงแต่เขาก็ไม่มีเวลาพูดอะไร เพราะมือสังหารอีกคนพุ่งมาที่เขา โจวจางเหว่ยต้องหลบการโจมตีและสวนกลับด้วยกระบี่ในมือ“ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหลบหนีไปได้แน่!” เขาตะโกนสั่งองครักษ์ที่ยืนข้างๆ พลางฟันกระบี่ของตนอย่างแม่นยำเสียงของดาบกระทบกันดังตึงตังจนหลายคนสะดุ้ง แต่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงนั้น เมิ่งฮวามองเห็นช่องว่างระห
ความเงียบงันที่ปกคลุมอุโมงค์หินถูกแทนที่ด้วยเสียง ครืด… ครืด… ที่ดังสะท้อนก้องจนเสียดหู เมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ย ยืนประจันหน้ากับเงาดำขนาดใหญ่ที่ขวางอยู่ตรงส่วนปลายทางเดิน โดยมีองครักษ์อีกสองนายจับอาวุธเตรียมพร้อมในท่าทีตื่นตัวพอแสงคบไฟสาดส่องไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆก็ปรากฏให้เห็นเงาร่างเหมือน “รูปสลักมังกร” ขนาดใหญ่หินแกะสลักที่ลำตัวยาวเลื้อยไปตามผนัง มีส่วนหัวโผล่พ้นขึ้นจากพื้นหินชนิดที่เห็นฟันแหลมคมรางๆ ดวงตาของมันเป็นอัญมณีสีเขียวเข้มสะท้อนแสงไฟพราวระยับ จนดูราวกับมันกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่จริงๆเมิ่งฮวารู้สึกถึงเลือดในกายสูบฉีดเร็วขึ้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนว่าสิ่งนี้มิใช่เพียงรูปสลักธรรมดา เหมือนมีพลังลี้ลับแผ่ออกมาจากตัวมัน“นายท่าน… นี่มัน… เคลื่อนไหวได้หรือขอรับ?” องครักษ์คนหนึ่งถามเสียงเบาหวิว มือกำกระบี่ไว้จนข้อขาวโจวจางเหว่ยไม่ตอบ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยที่ยังไม่ลดกระบี่ เสียงหินเสียดสีกันดังครืดอีกครั้ง ขณะเดียวกันรูปสลักมังกรก็ขยับคอไปด้านข้างช้าๆก่อให้เกิดความรู้สึกขนลุกพิลึก“รูปสลักนี้มีกลไกด้านใน… หรืออาจเป็นกับดักที่ใช้แรงคนหมุน?” เขาพึมพำ แต่ความสงสัยกลับเร้าใจขึ
ท่ามกลางกลิ่นอับชื้นและความเยียบเย็นของห้องหิน ขบวนของเมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ยตัดสินใจหยุดพักชั่วคราวเพื่อฟื้นแรงและประเมินสถานการณ์ โดยมีองครักษ์สองนายผลัดกันออกไปยืนเฝ้าที่ปากอุโมงค์เพื่อป้องกันมือสังหารศัตรูที่อาจกลับมาได้ทุกเมื่อเมิ่งฮวานั่งพิงกำแพงที่ขรุขระ หายใจผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยหลังจากผ่านการต่อสู้อันบีบคั้น เหลือบมองสมาชิกในขบวนที่ได้รับบาดเจ็บก็กำลังนั่งพักผ่อนเช่นกัน บางคนก็หลับตาปลดปล่อยความตรึงเครียดโดยมีอาวุธวางข้างตัวไม่ห่าง“ทุกคนเหนื่อยกันมาก…” โจวจางเหว่ยเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเข้มทอแววห่วงใย “แต่เรายังต้องก้าวต่อไป หากพ้นคืนนี้แล้วเดินไปอีกไม่ไกลก็อาจถึงใจกลางอู่หวัง”เมิ่งฮวาพยักหน้ารับ เธอเองก็รับรู้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่ลึกลงไปในภูเขานี้ คล้ายกับว่ามันรอให้เธอมาค้นพบมานานแสนนาน“นายท่าน!” องครักษ์คนหนึ่งที่เดินตรวจลึกเข้าไปในอุโมงค์ร้องเรียกเบาๆ สะท้อนเสียงมาไกล ราวกับค้นพบอะไรบางอย่างโจวจางเหว่ยและเมิ่งฮวาลุกขึ้นทันที นำองครักษ์บางส่วนถือคบไฟตามเข้าไปยังโพรงแคบภายในห้องต่อไปในโพรงนั้น… พื้นหินเรียบแต่ผนังสองข้างกลับคดเคี้ยวด้วยลวดลายสลักเป็นรูปคนและสัตว์ในท่าทางแป