สีหน้าของนางตอนนี้สะท้อนให้เห็นถึงความอับอายและความขุ่นเคือง
“ข้าจะกลับแล้ว ขอตัวนะเจ้าคะ!” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา พยายามห้ามไม่ให้ตัวเองเผลอระเบิดความโกรธเคืองออกมา เขาเป็นบ้าอะไนกันแน่… กล้าทำแบบนี้กับเธอได้ยังไง เขาชอบเธอหรือไง เฮอะ! จะบ้าหรือไง คนอย่างเขาจะมาชอบเธอได้ยังไง?
“เดี๋ยวข้าไปส่ง” เขาพยายามรั้งมือเรียวเอาไว้ แต่กับโดนสะบัดออกอย่างไม่ใยดี
“ไม่ต้อง!” เมื่อรู้ว่าตัวเองเผลอทำกิริยาไม่ดีออกไปเสียแล้ว “อ่า ไม่ต้องเจ้าค่ะ ข้ากลับเองได้” เธอหันหลังกลับแล้วรีบเดินหนีออกมาเลยทันที ไม่รอให้บุรุษผู้นัันได้พูดอะไรต่อ
เธอเดินหนีออกมาทั้งที่ในตอนนี้ข้อเท้าของเธอนั้นรู้สึกเจ็บระบมไม่น้อย
‘เสี่ยวเปาข้าต้องเดินไปทางไหนต่อล่ะเนี่ย?’ เธอนึกถามเสี่ยวเปาออกมาทางความคิด เพราะตอนนี้เธอคิดว่าจนเองกำลังหลงทางแล้วล่ะ
[เจ้านี่จริงๆเลย ทางแค่นี้ก็จำไม่ได้] เสี่ยวเปาตำหนิให้เธออย่างไม่จริงจัง [เดินเลี้ยวขวาไป แล้วเลี้ยวซ้ายด้านหน้า]
เธอมองเส้นทางก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ ‘อ่า อื้ม!’
และเมื่อเดินตามทางที่เสี่ยวเปาบอกไม่นานก็ถึงทางออกเสียแล้ว ช่างดีจริงๆเลยที่ชีวิตเธอมีเสี่ยวเปา… เธอกลับไปที่ร้านบะหมี่เพื่อที่จะกลับไปเอาม้า แล้วกลับหมู่บ้าน
ณ หมู่บ้านซานซี เมืองเสียนหยาง
“กลับมาแล้วเหรออาเมิ่ง? เรื่องร้านบะหมี่เป็นอย่างไรบ้างเล่า” ลี่คุนเอ่ยถามออกมาทันทีที่เห็นเมิ่งฮวา
“ตอนนี้ร้านซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะเจ้าค่ะ เหลือตกแต่งแล้วก็เก็บงานอีกนิดหน่อยเท่านั้น ว่าแต่ท่านลุงเถิดเรื่องที่เราเคยคุยกันท่านลุง กับท่านป้าคิดว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
“อืม ลุงก็ลองไปคุยๆกับยายแก่แล้วล่ะ นางก็ไม่ได้ติดอะไรหรอกนะ แต่เรื่องเงินไม่จำเป็นต้องให้พวกเรามากมายหรอก อย่างไรก็แค่ไปช่วยดูแลร้านบะหมี่แทนเจ้าเอง” ลี่คุนเอ่ยบอกตามที่ได้คุยกับภรรยา พวกเขาไม่ได้เห็นแก่เรื่องเงินๆทองๆนักหรอก เพียงแค่อยากช่วยแบ่งเบาภาระของอาเมิ่งก็เท่านั้น
“อย่างไรท่านลุงกับท่านป้าก็ต้องใช้เงินนะเจ้าคะ แล้วแบบนี้ข้าจะคิดเอาเปรียบพวกท่านทั้งสองคนได้อย่างไร” เธอรีบส่ายหัวตอบอย่างจริงจัง “ท่านลุงกับท่านป้าอย่าได้นึกเกรงใจข้านักเลย อย่างไรเรื่องเงินก็ต้องจัดการให้ถูกต้อง เดี๋ยวเมื่อไหร่ที่ร้านบะหมี่เปิดแล้วท่านลุงท่านป้าก็ค่อยเข้าไปดูร้านนานๆครั้งก็ได้เจ้าค่ะ”
ลี่คุนที่เห็นว่าไม่ว่าตนเองจะพูดอย่างไรออกไปก็คงจะเถียงสู้หญิงสาวตรงหน้าได้แล้ว จึงได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ แล้วค่อยนำไปบอกแก่ภรรยา
“ได้ได้ เจ้ารีบเข้าบ้านไปพักผ่อนเถอะเดินทางมาเหนื่อยๆ”
“เจ้าค่ะท่านลุง” เธอตอบรับพลางหันหลังเดินกลับเข้าบ้านเพื่อจะไปอาบน้ำพักผ่อนเสียหน่อย แต่ทว่ากำลังจะเดินขึ้นบรรไดกลับห้องนอนเสียงของท่านป้าก็ดังขึ้นมาซะก่อน
และแม้ว่าจะรู้สึกว่ายังเจ็บข้อเท้าอยู่แค่ไหน เธอก็แสร้งทำเหมือนว่าไม่เป็นอะไรเพราะไม่อยากให้ท่านลุงกับท่านป้าต้องเป็นห่วง
“อาเมิ่งกลับมาแล้วงั้นหรือ กินอะไรมาหรือยัง?” เธอหันกลับไปมองก็เห็นว่าท่านป้ากำลังยกแก้วน้ำส้มคั้นและจานผลไม้ออกมาจากห้องครัวพอดี “มานี่สิ มากินผลไม้กับน้ำส้มคั้นที่ป้าทำสักหน่อย แล้วค่อยขึ้นไปอาบน้ำพักผ่อน”
เธอไม่ได้เอ่ยปฏิเสธอะไรออกมา แต่ค่อยๆเดินลงจากบรรไดแล้วหันกลับไปหาท่านป้าที่โต๊ะอาหาร
“ป้าเห็นว่าในห้องครัวมีผลไม้อยู่เยอะน่ะก็เลยลองปอก แล้วก็ลองคั้นน้ำส้มให้เจ้ากินดู เป็นอย่างไรบ้าง?”
“อืม อร่อยมากเลยเจ้าค่ะท่านป้า!” เธอแย้มยิ้ม พลางเอ่ยชมอย่างจริงใจ “ท่านป้าไม่ลองทำไปให้ท่านลุงกินดูบ้างล่ะเจ้าคะ ท่านลุงน่าจะต้องชอบมากแน่ๆ”
“จริงด้วยสิ เอาไว้ป้าค่อยเข้าไปทำเพิ่มให้ตาแก่ลองชิมสักหน่อย เจ้าก็กินเยอะๆหน่อยสิ” นางลี่จูเอ่ยอย่างยิ้มๆ ก่อนจะหันกลับมาเร่งเร้าให้เธอกินเยอะๆ
และเมื่อเห็นว่าเธอกินเข้าไปได้ไม่น้อยแล้วจึงขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ “เจ้ากินไปก่อนนะอาเมิ่ง ป้าจะเข้าไปคั้นน้ำส้มกับปอกผลไม้ให้ตาแก่เพิ่มสักหน่อย อ้อ ถ้าหากอิ่มแล้วก็วางเอาไว้ตรงนี้แหละเดี๋ยวป้ามาเก็บเอง เจ้ารีบขึ้นไปพักผ่อนได้เลย”
เธอพยักหน้ารับคำท่านป้าอย่างไม่อิดออด “เจ้าค่าท่านป้า!” ท่านป้าเห็นแบบนั้นก็ยกยิ้มก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องครัว
เธอกินผลไม้กับน้ำส้มคั้นต่อไปได้สักพักก็เริ่มจะรู้สึกอิ่มเสียแล้ว “ท่านป้า! ข้าขึ้นไปพักผ่อนก่อนนะเจ้าคะ!” เธอส่งเสียงตะโกนบอกหญิงชราที่อยู่ภายในห้องครัว
“ได้ได้ เจ้าวางแก้วน้ำกับจานผลไม้ไว้ตรงนั้นแหละ รีบขึ้นไปพักผ่อนเถอะ” เสียงท่านป้าตะโกนตอบดังออกมาจากภายในห้องครัว
“รับทราบเจ้าค่ะท่านป้า!” เธอเดินขึ้นบรรไดเพื่อจะกลับไปที่ห้องนอน เพื่ออาบน้ำพักผ่อน เพราะขี่ม้าเดินทางทั้งวันเหงื่อไคล ไหนจะฝุ่นสกปรกนั่นอีก
“อ่า เหนื่อยจริงๆ อยากรีบนอนแล้ว… รีบไปอาบน้ำมานอนพักดีกว่า” เธอไม่รอช้ารีบแก้ผ้าเดินเข้าห้องน้ำทันที และแม้เธอจะมีเรื่องราวในหัวมากมายแค่ไหนเธอก็ได้แต่ส่ายหัวเพื่อขับไล่ความคิดอันแสนเพ้อเจ้อในหัวออก
“บ้าชะมัด! บุรุษหน้าตายเอ๊ย!”
หลังผ่านเหตุการณ์สั่นคลอนชะตาทั้งหลายที่ปราสาทอู่หวัง และผ่านช่วงเวลาพักรักษาตัวอยู่ในจวนใหญ่ของโจวจางเหว่ย ในที่สุดนางก็สามารถฟื้นตัวคืนกำลังได้เกือบเต็มร้อย พลังลี้ลับจากเลือดมังกรในกายไม่ปรากฏอาการร้อนผ่าวอีกแล้ว เธอสัมผัสได้ว่าบัดนี้ตนไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเช่นเดิมอีกต่อไปในเช้าวันแดดจัดที่มีเมฆลอยเรียงกันประปราย โจวจางเหว่ยได้จัดเตรียมรถม้าอย่างเรียบง่าย พาเมิ่งฮวาออกเดินทางกลับหมู่บ้านซานซี อันเป็นดินแดนเล็กๆที่เธอเคยใช้ชีวิตเรียบง่ายร่วมกับ ท่านลุงลี่คุน และท่านป้าลี่จูเสมอมาเมิ่งฮวามองเห็นทิวเขาคุ้นตาแต่ไกล ยิ่งใกล้ซานซีเท่าไรเธอยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นึกถึงวันที่ยังใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ไม่ต้องพัวพันกับเลือดมังกรหรือการเมืองใดๆ เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้านเธอเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของโจวจางเหว่ย และสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆที่พัดมาเหมือนยินดีต้อนรับการกลับมาของเธอเมื่อรถม้าวิ่งเข้าเขตบ้านลุงลี่คุน ท่านป้าลี่จูก็ปราดออกมาต้อนรับทันทีด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความห่วงใย“อาเมิ่ง! เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?” ท่านป้าลี่จูรีบเข้ามาจับมือเมิ่งฮวา ตรวจดูกันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับหล
เสียงก้องสะท้อนในห้องมังกรใหญ่ยังคงโหมกระพือ เสาหินรอบข้างสั่นไหวราวกับจะถล่มลงทุกเมื่อ อานุภาพมหาศาลจากแกนมังกรแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ทำให้อากาศสั่นระริกจนทุกคนที่อยู่ในห้องรู้สึกหายใจลำบากเมิ่งฮวายืนอยู่ตรงกลางวงแสงสีทองที่ปะทุจากจุดศูนย์กลางของแท่นบูชา เหงื่อและเลือดไหลอาบบนใบหน้าที่เธอไม่อาจรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อีก ในจิตใจเธอมีเสียงสองกระแสคอยก้องสลับไปมา‘หลอมรวม… เพื่อเป็นผู้ครองพลัง! หรือทำลาย… เพื่อยุติความวุ่นวาย!’เบื้องหน้าเธอคือรูปสลักมังกรที่ดูเหมือนมีชีวิต แผ่นโลหะหนาทึบบนอกรูปสลักเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆเผยให้เห็นแกนมังกรคล้ายลูกแก้วสีทองสะท้อนแสงในมือเมิ่งฮวา อำนาจโบราณจากยุคสมัยราชวงศ์เก่ากำลังตื่นขึ้นพร้อมแรงกดดันอันเกรี้ยวกราดขณะที่คลื่นพลังปกคลุมห้องมังกรอย่างหนักหน่วง เหล่ามือสังหารที่ยังมีสติอยู่ก็ต้องคุกเข่าหรือหมอบกับพื้น องครักษ์ของโจวจางเหว่ยที่ยังยืนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ บางคนถูกแรงอัดดีดกระเด็นไปยังซอกกำแพงโจวจางเหว่ยตะเกียกตะกายลุกขึ้น มือกำกระบี่ที่สั่นระริก พยายามฝ่าคลื่นพลังเข้ามาหาเมิ่งฮวา“ฮวาเออร์!” เขาเรียกสุดเสียง แต่ถูกแรงอัดบีบจนขยับได้ยากเต็มที
แสงสีทองแห่งแกนมังกรที่ซ่อนอยู่ภายในร่างโลหะของมังกรส่องสว่างออกมาจากกลางแท่นบูชาอย่างน่าพิศวง บรรยากาศในห้องใต้ดินอันกว้างใหญ่ชวนให้รู้สึกถึงความเก่าแก่และพลังลี้ลับที่สั่งสมมานับศตวรรษเมิ่งฮวายืนนิ่งหัวใจเต้นระรัวเมื่อตระหนักว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ‘หัวใจ’ของอู่หวังที่แท้จริง ต้นกำเนิดแห่งอำนาจซึ่งเหล่ากบฏกำลังตามหามาโดยตลอดขณะที่เมิ่งฮวากำลังไล่สายตาสำรวจรูปสลักมังกรขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีชิ้นส่วนโลหะพิเศษครอบอยู่เป็นเกล็ด การเต้นของเลือดในร่างกายเธอก็เร่งจังหวะไม่หยุดราวกับสายเลือดตอบสนองต่อบางสิ่งที่เปล่งพลังงานอยู่เบื้องหน้า“ฮวาเออร์…” โจวจางเหว่ยเรียกเธอเสียงเบา มือกำกระบี่ข้างกายแน่น เขามองสถานการณ์ด้วยความระแวดระวังเพราะอาจมีศัตรูโผล่มาได้ทุกเมื่อ “เจ้ารู้สึกไหมว่าพลังนี้กำลังเรียกหาเจ้า?”เมิ่งฮวาพยักหน้าเล็กน้อยสีหน้าสับสนแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ก้าวเข้าใกล้แท่นบูชามากขึ้นทีละนิดโดยมีโจวจางเหว่ยตามมาคุ้มกันไม่ห่างบริเวณโดยรอบแท่นบูชามีร่องรอยภาพสลักเก่าแก่บนกำแพงหินและพื้น บ้างเป็นรูปมนุษย์แต่งกายหรูหรายืนล้อมมังกร บ้างเป็นรูปผู้คนคุกเข่าบูชา
การต่อสู้ในโถงมังกรยังคงดุเดือด ดาบกระทบกันเสียงดังสนั่น เสียงเหล็กเสียดสีกันดังไปทั่วทุกมุมโถง บางครั้งสายตาของเมิ่งฮวาก็เหลือบไปเห็นบันไดลับที่เปิดลงไปยังส่วนลึกของปราสาท อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้รุนแรงทำให้ความคิดของเธอพร่าเบลอ แต่เธอรู้ดีว่าถ้าไม่รีบตัดสินใจตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาพลาดโอกาสสำคัญไปท่ามกลางการต่อสู้ที่รุนแรงนักฆ่าหลายคนเริ่มแยกตัวออกไป โดยมีท่าทางเหมือนจะเริ่มมีกลยุทธ์บางอย่าง การโจมตีของพวกมันแม่นยำและรวดเร็ว หลายครั้งที่เมิ่งฮวากับโจวจางเหว่ยต้องใช้กลยุทธ์หลบหลีกและโจมตีสวนกลับ หากพวกเขายังไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ กลุ่มของพวกเขาจะต้องถูกต้อนให้มุมในไม่ช้า“พวกมันกำลังพยายามล่อเราไปที่มุม!” เมิ่งฮวาตะโกนเตือน โจวจางเหว่ยหันไปมองเธอด้วยความเป็นห่วงแต่เขาก็ไม่มีเวลาพูดอะไร เพราะมือสังหารอีกคนพุ่งมาที่เขา โจวจางเหว่ยต้องหลบการโจมตีและสวนกลับด้วยกระบี่ในมือ“ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหลบหนีไปได้แน่!” เขาตะโกนสั่งองครักษ์ที่ยืนข้างๆ พลางฟันกระบี่ของตนอย่างแม่นยำเสียงของดาบกระทบกันดังตึงตังจนหลายคนสะดุ้ง แต่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงนั้น เมิ่งฮวามองเห็นช่องว่างระห
ความเงียบงันที่ปกคลุมอุโมงค์หินถูกแทนที่ด้วยเสียง ครืด… ครืด… ที่ดังสะท้อนก้องจนเสียดหู เมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ย ยืนประจันหน้ากับเงาดำขนาดใหญ่ที่ขวางอยู่ตรงส่วนปลายทางเดิน โดยมีองครักษ์อีกสองนายจับอาวุธเตรียมพร้อมในท่าทีตื่นตัวพอแสงคบไฟสาดส่องไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆก็ปรากฏให้เห็นเงาร่างเหมือน “รูปสลักมังกร” ขนาดใหญ่หินแกะสลักที่ลำตัวยาวเลื้อยไปตามผนัง มีส่วนหัวโผล่พ้นขึ้นจากพื้นหินชนิดที่เห็นฟันแหลมคมรางๆ ดวงตาของมันเป็นอัญมณีสีเขียวเข้มสะท้อนแสงไฟพราวระยับ จนดูราวกับมันกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่จริงๆเมิ่งฮวารู้สึกถึงเลือดในกายสูบฉีดเร็วขึ้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนว่าสิ่งนี้มิใช่เพียงรูปสลักธรรมดา เหมือนมีพลังลี้ลับแผ่ออกมาจากตัวมัน“นายท่าน… นี่มัน… เคลื่อนไหวได้หรือขอรับ?” องครักษ์คนหนึ่งถามเสียงเบาหวิว มือกำกระบี่ไว้จนข้อขาวโจวจางเหว่ยไม่ตอบ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยที่ยังไม่ลดกระบี่ เสียงหินเสียดสีกันดังครืดอีกครั้ง ขณะเดียวกันรูปสลักมังกรก็ขยับคอไปด้านข้างช้าๆก่อให้เกิดความรู้สึกขนลุกพิลึก“รูปสลักนี้มีกลไกด้านใน… หรืออาจเป็นกับดักที่ใช้แรงคนหมุน?” เขาพึมพำ แต่ความสงสัยกลับเร้าใจขึ
ท่ามกลางกลิ่นอับชื้นและความเยียบเย็นของห้องหิน ขบวนของเมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ยตัดสินใจหยุดพักชั่วคราวเพื่อฟื้นแรงและประเมินสถานการณ์ โดยมีองครักษ์สองนายผลัดกันออกไปยืนเฝ้าที่ปากอุโมงค์เพื่อป้องกันมือสังหารศัตรูที่อาจกลับมาได้ทุกเมื่อเมิ่งฮวานั่งพิงกำแพงที่ขรุขระ หายใจผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยหลังจากผ่านการต่อสู้อันบีบคั้น เหลือบมองสมาชิกในขบวนที่ได้รับบาดเจ็บก็กำลังนั่งพักผ่อนเช่นกัน บางคนก็หลับตาปลดปล่อยความตรึงเครียดโดยมีอาวุธวางข้างตัวไม่ห่าง“ทุกคนเหนื่อยกันมาก…” โจวจางเหว่ยเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเข้มทอแววห่วงใย “แต่เรายังต้องก้าวต่อไป หากพ้นคืนนี้แล้วเดินไปอีกไม่ไกลก็อาจถึงใจกลางอู่หวัง”เมิ่งฮวาพยักหน้ารับ เธอเองก็รับรู้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่ลึกลงไปในภูเขานี้ คล้ายกับว่ามันรอให้เธอมาค้นพบมานานแสนนาน“นายท่าน!” องครักษ์คนหนึ่งที่เดินตรวจลึกเข้าไปในอุโมงค์ร้องเรียกเบาๆ สะท้อนเสียงมาไกล ราวกับค้นพบอะไรบางอย่างโจวจางเหว่ยและเมิ่งฮวาลุกขึ้นทันที นำองครักษ์บางส่วนถือคบไฟตามเข้าไปยังโพรงแคบภายในห้องต่อไปในโพรงนั้น… พื้นหินเรียบแต่ผนังสองข้างกลับคดเคี้ยวด้วยลวดลายสลักเป็นรูปคนและสัตว์ในท่าทางแป