หญิงสาวหน้าแดงวาบรีบเบนสายตาไปทางอื่น “อ่า ละ… แล้วนี่ตกลงว่าเจ้าเข้ามาที่นี่มีอะไรงั้นหรือเจ้าคะ?” เธอเลี่ยงไปเรื่องอื่นเพื่อที่จะได้รีบหาเรื่องไล่เขาให้กลับไปสักที
“ก็ไม่มีอะไรหรอก ข้าก็แค่อยากมาหาเจ้า…” แววตาร้อนแรงของเขาจ้องมองใบหน้าหวานที่หลับตาลงด้วยความเขินอาย
“งะ งั้นเหรอ?” เธอส่งเสียงพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก ทว่ายังคงมีท่าทีแสร้งโมโหเบาๆ “ถ้าได้เจอแล้วก็รีบกลับไปสักทีสิเจ้าคะ!”
เขาไม่ได้ตอบนาง ทว่าเขากับยื่นมือหนาออกมาลูบพวงแก้มแดงระเรื่อของเธออย่างนุ่มนวล
“ทำอะไรของเจ้า?!” เธอผละตัวถอยหนีเขาออกมาด้วยความแตกตื่น ตกใจ และอับอาย
“เรื่องนั้นเจ้ายังไม่ได้ตอบข้าเลย… เจ้าคิดว่าเรื่องที่ข้าเคยขอกับเจ้าเป็นยังไง?” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ ทว่าอ่อนโยน
“…”
“เจ้าเงียบแบบนี้ทำข้าใจไม่ดีเลยรู้ไหม?”
“อะ… อื้ม!” เธอกระแอมเบาๆ ก่อนจะค่อยๆเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เรื่องนั้น… ถ้าเจ้าไม่ได้คิดจริงจัง ก็อย่าเอ่ยประโยคพวกนั้นออกมาเลยจะดีกว่านะ ข้าไม่อยาก…”
“ไม่… ข้าไม่ได้แค่พูดออกมาเฉยๆนะ ข้าจริงจังกับเจ้ามากจริงๆ” สายตาที่เคยปรากฏมาก่อนของเขาทำให้นางไม่เป็นตัวของตัวขึ้นมาแทบจะทันที
นางไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีกับความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ คนอย่างเขาน่ะหรือจะมารู้สึกรักหรือชอบเธอจริงๆ มันจะไม่น่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อยหรือไง?
แต่ถึงยังไงตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาก็ทำดีกับเธอมากจริงๆ ทำดีมากจนทำให้เธอเผลอไปรู้สึกกับเขาจริงๆ… เธอควรจะเสี่ยงยอมรับความรู้สึกของตัวเองไปเลยดีไหมนะ?
“ข้า…” เมื่อเธอเห็นว่าร่างสูงยังคงมองเธออย่างสงบนิ่ง เธอก็แทบจะทำตัวไม่ถูก “อืม… มาลองดูกันเถอะเจ้าค่ะ” เธอตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างตกลงปลงใจ
ดวงตาเขาแฝงไปด้วยรอยยิ้มอย่างชัดเจน ก่อนจะหันไปจดจ้องใบหน้าหวานด้วยความหลงใหล “เจ้าช่างงดงามยิ่งนัก…” เขาค่อยๆก้มตัวลงยื่นใบหน้าหล่อเหลาเข้าไปใกล้เธอ พลางกระซิบข้างหูเธออย่างแสนสุขใจ
ริมฝีปากเขาประกบเธออย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลืนกินเธออย่างบ้าคลั่ง “อะ อื้อ!” เขาใช้ลิ้นอุ่นๆเลียริมฝีปากสีแดงอย่างหวานล้ำ อีกทั้งมือทั้งสองข้างยังโอบเอวบางของเธออย่างซุกซน
กระแสพลังจากร่างเขาคล้ายหินแม่เหล็กที่ดึงดูดเธอไว้แนบกายนางอย่างแน่นหนา จนร่างบางแทบจะแนบชิดไปกับแผ่นอกกว้างของเขา “แฮ่กๆ อืม…” เธอหายใจถี่กระชั้น ร้องครางออกมาอย่างสุดกลั้น
เขายึดครองปากเล็กไว้คล้ายเป็นการลงโทษและตักตวง
“ตุบๆ” เธอทุบอกหนาของเขาเมื่อรู้สึกว่าเกือบจะหมดลมหายใจเสียแล้ว “แฮ่กๆๆ” เธอสูดลมหายใจเข้าปอดด้วยความเหนื่อยหอบ ทว่าเขาผลักเธอให้ล้มนอนไปบนโซฟาก่อนจะค่อยๆก้มตัวลงยื่นใบหน้าลงมาจุมพิตประทับบนขนตาและเปลือกตา พลางลูบไล้กลีบปากงามที่ดื้อรั้นอย่างเนิบนาบ “จุ๊บ… จ๊วบ…”
เขาใช้ลิ้นอุ่นๆเลียใบหูแดงก่ำของเธอ “อื้อ! อะ อ๊ะ!” เสียงครางอย่างเย้ายวนของเธอยิ่งกระตุ้นแรงปรารถนาในกายเขา
ปลายลิ้นหยอกเย้าความนุ่มละมุนของเธอ ก่อนที่มือหนาของเขาจะค่อยๆเค้นคลึงสะโพกบางเบาๆ “อืม… พะ พอแล้ว!”
ร่างสูงผละกายหนาออกจากร่างบางอย่างแผ่วเบา พลางเลียริมฝีปากหนาด้วยความหักห้ามใจ
หลังจากที่ร่างสูงผละร่างหนาออกไป หญิงสาวก็ได้แต่เม้มปากอย่างเก้อกระดาก ก่อนจะค่อยๆเบนสายตาหนีไปทางอื่น
“…” บรรยากาศรอบกายตอนนี้ของเธอกับร่างสูงตอนนี้มันช่างแปลกพิลึกไปไม่น้อย ทว่าเธอกับไม่รู้ว่าควรจะที่จะต้องทำตัวอย่างไรกับสถานการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไปดี?
ทันทีที่ได้สติเขาก็รู้ตัวแล้วว่าตนเองทำผิดพลาดอะไรลงไป “ข้าขอโทษ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นข้าตั้งใจ…”
เมื่อได้ฟังคำพูดที่แสดงถึงความรู้สึกที่แท้จริงในใจ ก็ยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงเหมือนกลองรัว
ก่อนจะค่อยๆปลับลมหายใจและการเต้นของหัวใจที่สับสนไปหมดแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา “…”
และไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว กว่าจะรู้ตัวก็ได้ยินเสียงประตูรั้วเปิดออกเสียแล้ว “อาเมิ่ง… ลุงกับป้ากลับมาแล้ว!”
เธอตกใจจนทำตัวไม่ถูก ก่อนจะหันกลับไปมองร่างสูงที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ตอนนี้ท่านลุงกับท่านป้ากลับมาแล้ว…” เธอรู้ดีว่าควรจะบอกเรื่องที่เธอคบหากับเขาให้แก่ท่านลุงท่านป้าได้รู้ แต่ตอนนี้เธอก็ยังไม่พร้อมเลยจริงๆ
และโจวจางเหว่ยที่เห็นแบบนั้นก็พอจะรับรู้ได้ และไม่ได้อยากจะบีบบังคับนางจนเกินไปนัก จึงทำได้เพียงยอมรับคำพูดของนางและตอบออกมาอย่างจริงใจ
หลังผ่านเหตุการณ์สั่นคลอนชะตาทั้งหลายที่ปราสาทอู่หวัง และผ่านช่วงเวลาพักรักษาตัวอยู่ในจวนใหญ่ของโจวจางเหว่ย ในที่สุดนางก็สามารถฟื้นตัวคืนกำลังได้เกือบเต็มร้อย พลังลี้ลับจากเลือดมังกรในกายไม่ปรากฏอาการร้อนผ่าวอีกแล้ว เธอสัมผัสได้ว่าบัดนี้ตนไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเช่นเดิมอีกต่อไปในเช้าวันแดดจัดที่มีเมฆลอยเรียงกันประปราย โจวจางเหว่ยได้จัดเตรียมรถม้าอย่างเรียบง่าย พาเมิ่งฮวาออกเดินทางกลับหมู่บ้านซานซี อันเป็นดินแดนเล็กๆที่เธอเคยใช้ชีวิตเรียบง่ายร่วมกับ ท่านลุงลี่คุน และท่านป้าลี่จูเสมอมาเมิ่งฮวามองเห็นทิวเขาคุ้นตาแต่ไกล ยิ่งใกล้ซานซีเท่าไรเธอยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นึกถึงวันที่ยังใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ไม่ต้องพัวพันกับเลือดมังกรหรือการเมืองใดๆ เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้านเธอเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของโจวจางเหว่ย และสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆที่พัดมาเหมือนยินดีต้อนรับการกลับมาของเธอเมื่อรถม้าวิ่งเข้าเขตบ้านลุงลี่คุน ท่านป้าลี่จูก็ปราดออกมาต้อนรับทันทีด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความห่วงใย“อาเมิ่ง! เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?” ท่านป้าลี่จูรีบเข้ามาจับมือเมิ่งฮวา ตรวจดูกันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับหล
เสียงก้องสะท้อนในห้องมังกรใหญ่ยังคงโหมกระพือ เสาหินรอบข้างสั่นไหวราวกับจะถล่มลงทุกเมื่อ อานุภาพมหาศาลจากแกนมังกรแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ทำให้อากาศสั่นระริกจนทุกคนที่อยู่ในห้องรู้สึกหายใจลำบากเมิ่งฮวายืนอยู่ตรงกลางวงแสงสีทองที่ปะทุจากจุดศูนย์กลางของแท่นบูชา เหงื่อและเลือดไหลอาบบนใบหน้าที่เธอไม่อาจรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อีก ในจิตใจเธอมีเสียงสองกระแสคอยก้องสลับไปมา‘หลอมรวม… เพื่อเป็นผู้ครองพลัง! หรือทำลาย… เพื่อยุติความวุ่นวาย!’เบื้องหน้าเธอคือรูปสลักมังกรที่ดูเหมือนมีชีวิต แผ่นโลหะหนาทึบบนอกรูปสลักเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆเผยให้เห็นแกนมังกรคล้ายลูกแก้วสีทองสะท้อนแสงในมือเมิ่งฮวา อำนาจโบราณจากยุคสมัยราชวงศ์เก่ากำลังตื่นขึ้นพร้อมแรงกดดันอันเกรี้ยวกราดขณะที่คลื่นพลังปกคลุมห้องมังกรอย่างหนักหน่วง เหล่ามือสังหารที่ยังมีสติอยู่ก็ต้องคุกเข่าหรือหมอบกับพื้น องครักษ์ของโจวจางเหว่ยที่ยังยืนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ บางคนถูกแรงอัดดีดกระเด็นไปยังซอกกำแพงโจวจางเหว่ยตะเกียกตะกายลุกขึ้น มือกำกระบี่ที่สั่นระริก พยายามฝ่าคลื่นพลังเข้ามาหาเมิ่งฮวา“ฮวาเออร์!” เขาเรียกสุดเสียง แต่ถูกแรงอัดบีบจนขยับได้ยากเต็มที
แสงสีทองแห่งแกนมังกรที่ซ่อนอยู่ภายในร่างโลหะของมังกรส่องสว่างออกมาจากกลางแท่นบูชาอย่างน่าพิศวง บรรยากาศในห้องใต้ดินอันกว้างใหญ่ชวนให้รู้สึกถึงความเก่าแก่และพลังลี้ลับที่สั่งสมมานับศตวรรษเมิ่งฮวายืนนิ่งหัวใจเต้นระรัวเมื่อตระหนักว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ‘หัวใจ’ของอู่หวังที่แท้จริง ต้นกำเนิดแห่งอำนาจซึ่งเหล่ากบฏกำลังตามหามาโดยตลอดขณะที่เมิ่งฮวากำลังไล่สายตาสำรวจรูปสลักมังกรขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีชิ้นส่วนโลหะพิเศษครอบอยู่เป็นเกล็ด การเต้นของเลือดในร่างกายเธอก็เร่งจังหวะไม่หยุดราวกับสายเลือดตอบสนองต่อบางสิ่งที่เปล่งพลังงานอยู่เบื้องหน้า“ฮวาเออร์…” โจวจางเหว่ยเรียกเธอเสียงเบา มือกำกระบี่ข้างกายแน่น เขามองสถานการณ์ด้วยความระแวดระวังเพราะอาจมีศัตรูโผล่มาได้ทุกเมื่อ “เจ้ารู้สึกไหมว่าพลังนี้กำลังเรียกหาเจ้า?”เมิ่งฮวาพยักหน้าเล็กน้อยสีหน้าสับสนแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ก้าวเข้าใกล้แท่นบูชามากขึ้นทีละนิดโดยมีโจวจางเหว่ยตามมาคุ้มกันไม่ห่างบริเวณโดยรอบแท่นบูชามีร่องรอยภาพสลักเก่าแก่บนกำแพงหินและพื้น บ้างเป็นรูปมนุษย์แต่งกายหรูหรายืนล้อมมังกร บ้างเป็นรูปผู้คนคุกเข่าบูชา
การต่อสู้ในโถงมังกรยังคงดุเดือด ดาบกระทบกันเสียงดังสนั่น เสียงเหล็กเสียดสีกันดังไปทั่วทุกมุมโถง บางครั้งสายตาของเมิ่งฮวาก็เหลือบไปเห็นบันไดลับที่เปิดลงไปยังส่วนลึกของปราสาท อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้รุนแรงทำให้ความคิดของเธอพร่าเบลอ แต่เธอรู้ดีว่าถ้าไม่รีบตัดสินใจตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาพลาดโอกาสสำคัญไปท่ามกลางการต่อสู้ที่รุนแรงนักฆ่าหลายคนเริ่มแยกตัวออกไป โดยมีท่าทางเหมือนจะเริ่มมีกลยุทธ์บางอย่าง การโจมตีของพวกมันแม่นยำและรวดเร็ว หลายครั้งที่เมิ่งฮวากับโจวจางเหว่ยต้องใช้กลยุทธ์หลบหลีกและโจมตีสวนกลับ หากพวกเขายังไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ กลุ่มของพวกเขาจะต้องถูกต้อนให้มุมในไม่ช้า“พวกมันกำลังพยายามล่อเราไปที่มุม!” เมิ่งฮวาตะโกนเตือน โจวจางเหว่ยหันไปมองเธอด้วยความเป็นห่วงแต่เขาก็ไม่มีเวลาพูดอะไร เพราะมือสังหารอีกคนพุ่งมาที่เขา โจวจางเหว่ยต้องหลบการโจมตีและสวนกลับด้วยกระบี่ในมือ“ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหลบหนีไปได้แน่!” เขาตะโกนสั่งองครักษ์ที่ยืนข้างๆ พลางฟันกระบี่ของตนอย่างแม่นยำเสียงของดาบกระทบกันดังตึงตังจนหลายคนสะดุ้ง แต่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงนั้น เมิ่งฮวามองเห็นช่องว่างระห
ความเงียบงันที่ปกคลุมอุโมงค์หินถูกแทนที่ด้วยเสียง ครืด… ครืด… ที่ดังสะท้อนก้องจนเสียดหู เมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ย ยืนประจันหน้ากับเงาดำขนาดใหญ่ที่ขวางอยู่ตรงส่วนปลายทางเดิน โดยมีองครักษ์อีกสองนายจับอาวุธเตรียมพร้อมในท่าทีตื่นตัวพอแสงคบไฟสาดส่องไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆก็ปรากฏให้เห็นเงาร่างเหมือน “รูปสลักมังกร” ขนาดใหญ่หินแกะสลักที่ลำตัวยาวเลื้อยไปตามผนัง มีส่วนหัวโผล่พ้นขึ้นจากพื้นหินชนิดที่เห็นฟันแหลมคมรางๆ ดวงตาของมันเป็นอัญมณีสีเขียวเข้มสะท้อนแสงไฟพราวระยับ จนดูราวกับมันกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่จริงๆเมิ่งฮวารู้สึกถึงเลือดในกายสูบฉีดเร็วขึ้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนว่าสิ่งนี้มิใช่เพียงรูปสลักธรรมดา เหมือนมีพลังลี้ลับแผ่ออกมาจากตัวมัน“นายท่าน… นี่มัน… เคลื่อนไหวได้หรือขอรับ?” องครักษ์คนหนึ่งถามเสียงเบาหวิว มือกำกระบี่ไว้จนข้อขาวโจวจางเหว่ยไม่ตอบ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยที่ยังไม่ลดกระบี่ เสียงหินเสียดสีกันดังครืดอีกครั้ง ขณะเดียวกันรูปสลักมังกรก็ขยับคอไปด้านข้างช้าๆก่อให้เกิดความรู้สึกขนลุกพิลึก“รูปสลักนี้มีกลไกด้านใน… หรืออาจเป็นกับดักที่ใช้แรงคนหมุน?” เขาพึมพำ แต่ความสงสัยกลับเร้าใจขึ
ท่ามกลางกลิ่นอับชื้นและความเยียบเย็นของห้องหิน ขบวนของเมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ยตัดสินใจหยุดพักชั่วคราวเพื่อฟื้นแรงและประเมินสถานการณ์ โดยมีองครักษ์สองนายผลัดกันออกไปยืนเฝ้าที่ปากอุโมงค์เพื่อป้องกันมือสังหารศัตรูที่อาจกลับมาได้ทุกเมื่อเมิ่งฮวานั่งพิงกำแพงที่ขรุขระ หายใจผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยหลังจากผ่านการต่อสู้อันบีบคั้น เหลือบมองสมาชิกในขบวนที่ได้รับบาดเจ็บก็กำลังนั่งพักผ่อนเช่นกัน บางคนก็หลับตาปลดปล่อยความตรึงเครียดโดยมีอาวุธวางข้างตัวไม่ห่าง“ทุกคนเหนื่อยกันมาก…” โจวจางเหว่ยเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเข้มทอแววห่วงใย “แต่เรายังต้องก้าวต่อไป หากพ้นคืนนี้แล้วเดินไปอีกไม่ไกลก็อาจถึงใจกลางอู่หวัง”เมิ่งฮวาพยักหน้ารับ เธอเองก็รับรู้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่ลึกลงไปในภูเขานี้ คล้ายกับว่ามันรอให้เธอมาค้นพบมานานแสนนาน“นายท่าน!” องครักษ์คนหนึ่งที่เดินตรวจลึกเข้าไปในอุโมงค์ร้องเรียกเบาๆ สะท้อนเสียงมาไกล ราวกับค้นพบอะไรบางอย่างโจวจางเหว่ยและเมิ่งฮวาลุกขึ้นทันที นำองครักษ์บางส่วนถือคบไฟตามเข้าไปยังโพรงแคบภายในห้องต่อไปในโพรงนั้น… พื้นหินเรียบแต่ผนังสองข้างกลับคดเคี้ยวด้วยลวดลายสลักเป็นรูปคนและสัตว์ในท่าทางแป