หลังจากกลับออกมาจากห้องน้ำพร้อมปราณต์ นัสรินก็เกิดอาการหน้าร้อนซ่านขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าตอนนี้ที่หน้าตู้มีเสื้อผ้าที่ซักรีดอย่างเรียบร้อยแขวนอยู่สองชุด ชุดหนึ่งเป็นชุดของปราณต์ อีกชุดหนึ่งคงเป็นชุดของเธอที่ปราณต์เตรียมมาให้ เธอจำได้ว่าก่อน หน้านี้ ตู้เสื้อผ้าตู้นั้นยังไม่มีอะไรแขวนอยู่แน่ๆ นั่นแสดงว่าคนที่เอาชุดนี้เข้ามาให้ คงเข้ามาตอนที่เธอกับปราณต์อยู่ในห้องน้ำ และคงได้ยินอะไรๆ ที่ดังอยู่ในนั้นหมดแล้ว
นัสรินส่งค้อนอย่างเคืองๆ ไปให้คนที่ขยันทำให้เธออับอาย แต่ปราณต์ก็กลับยิ้มใส่ตาและหัวเราะเบาๆ อย่างรื่นรมย์ เธอจึงทำได้แค่ขยับไปหยิบเอาเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วหลบเข้าไปแต่งตัวหลังฉากไม้ไผ่ที่กั้นเอาไว้เป็นส่วนแต่งตัว กลับออกมาอีกทีก็พบว่าปราณต์แต่งตัวเกือบเสร็จแล้ว เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อน ยัดชายเข้าไปในกางเกงสแล็กเนื้อดีสีกรมท่า คาดเข็มขัดราคาแพงอย่างเรียบร้อย แต่ในมือกลับถือเนกไทและยืนรอเธออยู่
“มาผูกเนกไทให้หน่อย ตั้งแต่เป็นเมียผมมา คุณยังไม่เคยทำหน้าที่นี้เลยไม่ใช่เหรอ” เขาออกคำสั่งทันทีที่เธอทำท่าว่าจะเดินผ่านหน้าไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง นัสรินจึงต้องหยุดชะงักและหันหน้ามามองคนพูด พร้อมกับพูดยอกย้อนเขาอย่างอดหมั่นไส้ไม่ได้ ตอนแต่งงานกันเขาไม่เคยยินยอมหรือยินดีให้เธอทำหน้าที่ภรรยาเลยสักอย่าง แต่มาตอนนี้เหมือนจะมาเรียกร้องและตำหนิเธอกลายๆ
“ก็คุณปราณต์ไม่เคยขอให้ทำนี่คะ อีกอย่างเมื่อก่อนคุณกับนัสก็อยู่คนละห้อง คุณอาบน้ำ แต่งตัว กินข้าว หรือออกไปทำงานตอนไหน นัสยังไม่รู้เลยค่ะ”
“แต่ตอนนี้เราอยู่ในห้องเดียวกัน เพิ่งจะอาบน้ำด้วยกัน ทำอะไรด้วยกัน แต่งตัวพร้อมกัน กำลังจะลงไปกินข้าวและออกไปทำงานพร้อมกัน”
คำพูดของเขาทำให้นัสรินนึกถึงคำว่าบ้านและชีวิตการแต่งงานของสามีภรรยาที่อยู่กินกันด้วยความรักความเข้าใจ แต่นั่นไม่ใช่ระหว่างเขาและเธอแล้ว ต่อไปปราณต์ก็ต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่เขาเลือก และคนที่จะได้ทำหน้าที่เหล่านั้นก็คือภรรยาตัวจริงของเขา คนที่เป็นแค่เมียเก็บชั่วคราวอย่างเธอ คงมีหน้าที่แค่ทำให้เขาเบื่อไวๆ จะได้ไม่ต้องเกี่ยวข้องกันอีก
มือเรียวบางรับเนกไทจากมือเขามาและจัดการผูกให้อย่างคล่องแคล่ว โดยตลอดเวลามีสายตาของปราณต์จับจ้องอยู่ทุกอิริยาบถ
“เสร็จแล้วค่ะ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นหลังจากผูกเนกไทให้เขาเรียบร้อยแล้ว
“ผูกได้เรียบร้อยดีนี่ เคยผูกให้ใครมาก่อนหรือเปล่า” ปราณต์เอ่ยชมพร้อมกับถามคำถามต่อท้าย
“เคยค่ะ”
“ใคร?” น้ำเสียงยามที่ถามนั้นห้วนกระด้างขึ้นมาทันที
“คุณพ่อค่ะ” นัสรินตอบกลับไปอย่างกระแทกกระทั้น จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นร้องอุ๊ยเมื่อปราณต์ก้มลงหอมแก้มของเธออย่างรวดเร็วหลังจากได้ยินคำตอบ
“รางวัลสำหรับการทำตัวน่ารัก”
“คุณนี่! ชอบฉวยโอกาสอยู่เรื่อย” นัสรินค้อนขวับพลางยกมือขึ้นลูบแก้มของตัวเอง และรีบดิ้นขลุกขลักทันทีเมื่อปราณต์ตวัดแขนมากอดและรั้งร่างบางของเธอเข้าไปหา
“จะหวงตัวอะไรกับผัวนักหนา ได้กันมากี่ครั้งแล้วยังไม่ชินอีกหรือไง”
“คนปากจัด! หยาบคาย!”
“แค่พูดตรงไปตรงมา ผัวเมียก็พูดกันแบบนี้แหละ”
“คุณคงจะพูดแบบนี้เฉพาะกับเมียเก็บที่ไม่มีค่าอะไรอย่างนัส ส่วนเมียตัวจริงของคุณคุณก็คงจะให้เกียรติไปเสียทุกอย่าง”
“น้ำเสียงของคุณฟังดูเหมือนจะน้อยใจและอิจฉาคนคนนั้นนะ”
“ไม่อิจฉาหรอกค่ะ นัสอยากให้คุณมีเมียเป็นตัวเป็นตนเร็วๆ ด้วยซ้ำ คุณจะได้เลิกตอแยนัสเสียที”
“แน่เหรอนัสรินว่าจะไม่อิจฉา ไม่เสียใจ ถ้าหากผมคิดจะแต่งงานใหม่ หรือจริงจังกับใครสักคนขึ้นมาจริงๆ”
เป็นอีกครั้งที่คำถามของเขาทำให้นัสรินต้องเงยหน้าขึ้นมองสำรวจอย่างค้นคว้า แววตาสีสนิมเหล็กคู่นั้นฉายชัดว่า เขาไม่แค่ยั่วเย้า แต่ถามอย่างจริงจัง และต้องการคำตอบที่ตรงไปตรงมาเช่นกัน หากแต่ทิฐิในใจกับความคิดที่ว่า ต่อให้เธอตอบอย่างไรมันก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำให้นัสรินเลือกจะตอบไม่ตรงกับความจริงออกไป
“นัสไม่มีสิทธิ์เสียใจหรอกค่ะ ในเมื่อนัสรู้ฐานะของตัวเองดี”
“แล้วถ้าตัดเรื่องอื่นๆ ออกไป เราจะเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม” ปราณต์ถามเสียงนุ่มและจริงจังเสียจนนัสรินเกือบน้ำตาคลอกับคำถามนั้น เธอแทบจะโผเข้าไปกอดเขา นานแค่ไหนแล้วที่รอฟังประโยคนี้ เธอรอตั้งแต่ยังแต่งงานกับเขา กระทั่งหย่ากับเขาแล้ว ก็ยังรอว่าสักวันปราณต์อาจจะคิดถึงเธอ จะหวนกลับมาหาเธอ แต่การรอคอยที่ผ่านมาก็ว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง จนเธอคิดว่าตัวเองคงหมดหวังไปแล้ว ทว่าจู่ๆ ตอนนี้เขากลับเอ่ยมัน ทั้งที่เขามีภาระผูกพันและลึกซึ้งกับเพื่อนของเธอไปแล้ว ซึ่งพินทุสรไม่ได้ผิดอะไร พินทุสรถามเธอแล้ว ว่าเธอยังรักปราณต์อยู่หรือเปล่า แต่เธอผิดเอง เธอเป็นฝ่ายปฏิเสธเองว่าไม่ได้รักเขาแล้ว แล้วจะให้เธอเห็นแก่ตัวกับเพื่อนรักได้อย่างไร
“เรื่องระหว่างเรามันคงไม่มีวันเป็นไปได้อีกแล้วละค่ะคุณปราณต์” เสียงหวานตอบออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว ทั้งๆ ที่หัวใจกำลังร้องไห้ด้วยความทุกข์ระทม
“ใช่สินะ ผมลืมไปว่าคุณไม่ได้รักผมแล้ว” ปราณต์พูดเหมือนน้อยใจ ทำเอานัสรินเกือบจะหลุดปากออกไปว่าทำไมจะไม่รัก เธอไม่เคยรักใคร และไม่คิดจะรักใครอีก นอกจากผู้ชายใจร้ายอย่างเขาเพียงคนเดียว
“ค่ะ...นัสไม่ได้รักคุณแล้ว เช่นเดียวกับที่คุณเองก็ไม่เคยรักหรือสงสารนัสเหมือนกัน แต่ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอคะ นัสมันก็แค่ผู้หญิงไม่มีศักดิ์ศรีและทำเรื่องเลวร้ายกับคุณเอาไว้ตั้งมากมาย”
ปราณต์ยกมือขึ้นมาเชยคางมนตรึงเอาไว้ พร้อมกับก้มหน้าลงมาพูดประโยคที่ทำให้นัสรินรวดร้าวใจมากกว่าเดิม
“ผมเองก็ไม่เคยคิดว่าจะรู้สึกกับผู้หญิงที่ทำเรื่องเลวร้ายกับตัวเองได้แบบนี้”
“ความรู้สึกเดียวที่คุณมีให้นัส ก็คงเป็นความเกลียดใช่มั้ยคะ”
“ใช่...ผมยอมรับว่าตัวเองเคยโกรธเกลียดคุณ แต่ตอนนี้ผม...”
บทที่ 65นัสรินรีบยกมือขึ้นปิดปากเขาก่อนที่เขาจะพูดจบ เธอไม่ได้อยากได้ยินคำพูดต่อจากนั้น ทั้งที่เคยอยากได้ยิน แต่ตอนนี้เขาไม่มีสิทธิ์จะพูดมันกับเธอ และเธอก็ไม่มีสิทธิ์จะฟังคำนั้น หรือบางทีเขาก็แค่อยากจะพูดเพื่อให้เธอรู้สึกดี เขาอาจจะบอกรักกับผู้หญิงทุกคนที่เขามีอะไรด้วย มันอาจจะเป็นคำพูดง่ายๆ ที่หลุดออกจากปากโดยเขาไม่คิดอะไรก็ได้“นัสอยากกลับแล้วค่ะ พานัสกลับเถอะ นี่ก็สายมากแล้ว”“ไม่หิวใช่มั้ย”“ไม่หิวค่ะ”“โอเค...งั้นกลับก็กลับ”ปราณต์ไม่ได้ตอแยอะไรอีกเมื่อนัสรินยืนยันว่าอยากกลับไปทำงานและไม่หิว เขาขยับไปหิ้วกระเป๋าแล้วเดินนำหน้านัสรินลงไปชั้นล่าง ล่ำลาเจ้าของบ้านและภรรยา จากนั้นจึงพารถแลนด์โรเวอร์คู่ใจแล่นออกจากไร่เดชาธร พร้อมกับกระชากเอาความลึกซึ้งอบอุ่นที่เกิดขึ้นอย่างมากมายในไร่แห่งนี้ในชั่วเวลาหนึ่งคืนออกไปจากหัวใจของนัสรินด้วยนัสรินเดินเข้าออฟฟิศโดยไม่กล้าสบตากับแม่บ้านและรปภ. เพราะทั้งคู่ต่างก็เห็นว่าเมื่อวานปราณต์มารับเธอ และตอนเช้าเขาก็ขับรถมาส่ง คนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนย่อมรู้ดีว่า จะเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างชายหญิงที่หายไปด้วยกันทั้งคืนเที่ยงวันนั้นก็เป็นอีกวันที่นัสรินไม่ออ
บทที่ 66หญิงสาวพยายามตั้งสติ เรียกความเข้มแข็งและหาทางออกให้ตัวเอง เธอจะไม่ยอมให้เรื่องนี้เป็นปัญหาของใครเด็ดขาด อีกเดือนกว่าๆ ก็ครบกำหนดสามเดือน เธอก็จะได้กลับกรุงเทพฯ แล้ว ถ้าเธอนับไม่ผิดเดือนนี้น่าจะเป็นเดือนแรกที่เธอตั้งครรภ์ ซึ่งเวลาที่เหลืออยู่เดือนเศษคงไม่ทำให้ท้องของเธอโตจนผิดสังเกตนักแม้จะเป็นแค่แวบหนึ่งของความคิด แต่นัสรินก็หาทางออกให้กับตัวเองได้ในที่สุด หลังจากกลับกรุงเทพฯ เธอจะลาออกจากงาน และขอพ่อกับแม่ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศจนกว่าจะคลอด จากนั้นค่อยพาหลานกลับมาหาตากับยาย หากพ่อแม่ไม่ยอมให้อภัยในความใจง่ายจนท้องไม่มีพ่อของเธอ เธอก็จะเลี้ยงลูกเพียงลำพัง โดยความลับที่ว่าใครเป็นพ่อของเด็กจะตายไปพร้อมเธอมือเล็กยกขึ้นเช็ดน้ำตาจากสองแก้ม ก่อนจะล้างหน้าล้างตาและเติมเครื่องสำอางใหม่ เพื่อที่แม่บ้านจะได้ไม่ต้องสงสัยอะไรนัสรินนั่งทำงานจนกระทั่งถึงตอนเย็น เธอก็ขับรถไปยังคลินิกหมอสูตินรีเวชที่เธอเสิร์ชหาในอินเทอร์เน็ตตั้งแต่ตอนกลางวัน โดยนัสรินเลือกหมอที่ไม่ได้ทำงานโรงพยาบาลเดียวกับปราณต์ เธออยากมาให้หมอตรวจซ้ำเพื่อความแน่ใจอีกรอบ และผลตรวจออกมามันก็ไม่ได้ต่างไปจากที่เธอตรวจด้วยต
บทที่ 67เท้าเล็กๆ ก้าวไปยังรถที่จอดอยู่อย่างเร่งรีบ พลางก้มลงหยิบเอากุญแจรถในกระเป๋าสะพายออกมา แต่ชั่วขณะนั้นเองอาการหน้ามืดก็รุมเล่นงานเธอแบบไม่ทันได้ตั้งตัว มือที่ถือถุงยาอยู่อ่อนแรงอย่างกะทันหัน จนซองยาในถุงร่วงกระจายลงไปตามพื้นฟุตบาท ขณะที่ร่างบางยืนโงนเงนราวกับไม้ปักเลน แต่โชคดีที่ตอนใกล้จะล้มลงมีคนเข้ามาช่วยประคองพอดี “เป็นอะไรมากหรือเปล่านัส” เสียงคุ้นหูที่ดังขึ้นทำให้นัสรินต้องมองหน้าคนถาม ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อเห็นว่าเป็นใคร “พี่ปรัชญ์...” “เป็นอะไรจู่ๆ ก็ทำท่าเหมือนจะล้ม” “นัสเวียนหัวนิดหน่อยน่ะค่ะ” “พี่ว่าไม่หน่อยแล้วมั้ง เดี๋ยวพี่ไปส่งดีกว่า ขับรถเองทั้งที่ยังอยู่ในอาการแบบนี้มันอันตราย” ปรัชญ์ไม่รอให้อดีตคู่หมั้นและอดีตพี่สะใภ้ปฏิเสธ เขารีบประคองร่างบางไปยังรถของตัวเอง แล้วบอกว่าจะให้คนมาเอารถของนัสรินไปส่งให้ที่อพาร์ตเมนต์เอง แต่หญิงสาวยังทำท่าเหมือนลังเล “เดี๋ยวค่ะพี่ปรัชญ์” “มีอะไร” “ถุงยาของนัส นัสทำตกเมื่อกี้”
บทที่ 68“พี่ปรัชญ์ช่วยนัสด้วยค่ะ!”“ผมว่าพี่ปราณต์กลับไปก่อนดีกว่า รอให้ใจเย็นแล้วค่อยคุยกัน” ปรัชญ์เอ่ยขึ้นขณะยืนขวางอยู่ตรงกลางระหว่างพี่ชายและพี่สะใภ้“แกนั่นแหละหลีกไป แกมีสิทธิ์อะไรมายุ่งกับเมียชาวบ้าน”“เอ...ไม่ยักรู้ว่านัสแต่งงานใหม่ไปแล้ว” ปรัชญ์เล่นลิ้นอย่างนึกสนุกที่ได้ยั่วโมโหพี่ชาย“ไอ้ปรัชญ์!”“กลับไปก่อนเถอะพี่ปราณต์ รอให้ใจเย็นๆ ก่อน แล้วค่อยคุยกัน ผมขอร้อง” คราวนี้ปรัชญ์ทำเสียงจริงจัง แววตาเยือกเย็นกว่าเดิมปราณต์พยายามจะมองนัสริน แต่เธอก็เอาแต่หลบอยู่หลังน้องชายของเขา อารมณ์หึงหวงที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ยังคงคุกรุ่นแต่จางลงบ้างแล้ว ทว่าที่ทำให้เขาเป็นกังวลก็คือท่าทีของนัสรินที่ดูเปลี่ยนไปจนชวนให้ใจหายนั่นต่างหาก“นัส...”“ถ้าคุณไม่กลับ นัสจะตายให้ดู ถ้าอยากเห็นนัสตาย ก็ลองก้าวเข้ามาอีกสิคะ” นัสรินซึ่งหลบอยู่ด้านหลังปรัชญ์ ขยับออกมายืนเผชิญหน้ากับปราณต์อีกครั้ง แววตาของเธอดูเด็ดเดี่ยว จนปราณต์ไม่กล้าเสี่ยง“ก็ได้...ผมจะกลับ ถ้าเกลียดกันนักผมก็จะไม่มาตอแยหรือมาให้เห็นหน้าอีก แต่สัญญามาก่อนว่าคุณจะไม่คิดสั้น”“คุณไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากนัสอีกแล้ว เราขาดกันทุกทางนับตั
บทที่ 69เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้วที่เกิดเรื่องขึ้นในห้องของนัสรินวันนั้น แต่ไม่มีคืนไหนที่เธอจะไม่นอนร้องไห้ มือเล็กวาดไปยังที่นอนข้างๆ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีใครบางคนแอบเข้ามาหายามดึก พร้อมกับที่ภาพต่างๆ ของเขาหลั่งไหลเข้ามาในห้วงความคิด ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกจนกระทั่งหย่า แล้วได้มาเจอกันอีกครั้ง เขาใช้ช่วงเวลาทั้งหมดเพื่อความแค้น ส่วนเธอยอมทั้งหมดก็เพราะรัก จนสุดท้ายก็มีตัวแทนของเขาเกิดขึ้นในท้องของเธอ “ไม่ต้องห่วงนะลูก แม่จะเลี้ยงหนูให้ดีที่สุด” นัสรินขยับมือมาวางที่ท้องของตัวเอง ลูบเบาๆ พร้อมกับเอ่ยออกมาทั้งน้ำตา ความเหงาอ้างว้างเกิดขึ้นในหัวใจอย่างท่วมท้น เป็นคนไล่เขาไปแท้ๆ แต่พอเขาไม่มาจริงๆ ก็อดโหยหาไม่ได้ นัสรินไม่เข้าใจตัวเอง ว่าทำไมความคิดสองด้านถึงได้ตีกันวุ่นวายแบบนี้ หรือเป็นเพราะเธอกำลังตั้งครรภ์อารมณ์ถึงได้แปรปรวนไปหมด เธอยังจำเหตุการณ์วันสุดท้ายได้ดี วันที่ปราณต์เข้ามาเห็นปรัชญ์อุ้มเธอมาส่งในห้อง เธอรู้ดีว่าที่เขาทำไปทั้งหมดก็เพราะหวง หวงสมบัติที่ตัวเองยังไม่เบื่อ จนไม่อยากให้ใครแตะต้อง และที่เธอต้องเอ่ยตัดขาดกับเขาวันนั้นก็เพราะว่ามัน
บทที่ 70“เราว่านัสต่างหากเป็นคนที่น่าสงสารมากกว่า เพราะว่านัสเป็นผู้หญิง และอย่างที่นัสเคยบอก ว่าถ้าจะให้ผู้ชายคนไหนยอมรับได้ว่านัสเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วมันค่อนข้างยาก ในขณะที่หมอปราณต์คร้านจะมีแต่ผู้หญิงวิ่งเข้าใส่”“แต่เขาก็เลือกออยแล้ว เราขอร้องนะออยอย่าให้คุณปราณต์ต้องผิดหวังเลย แค่ที่เราเคยทำกับเขามันก็มากพอแล้ว”“นัสทำอะไรเขา”“เรื่องนี้เราไม่เคยเล่าให้ออยฟัง แต่เพื่อคุณปราณต์เราจะเล่าในเรื่องที่เราไม่อยากจะพูดถึงอีก”“ว่ามาสิ เผื่อเราจะเปลี่ยนใจ”“ตอนนั้นพ่อกับแม่เราจะให้เราหมั้นกับลูกชายเพื่อนคุณพ่อ เพื่อล้างหนี้สินและทำตามคำสัญญาที่เคยให้ต่อกันไว้ คนที่เราจะหมั้นด้วยคือพี่ปรัชญ์ แต่เรากลับตกหลุมรักผู้ชายอีกคนที่ไม่ควรจะรักในวันหมั้นของเรา เราได้แต่เก็บเขาไว้ในใจเงียบๆ และพยายามตัดใจเมื่อเรารู้ว่าเขาคือพี่ชายของพี่ปรัชญ์คู่หมั้นของเรา เพราะรู้ดีว่าระหว่างเรากับเขาไม่มีทางเป็นไปได้ ผู้ชายที่เราจะแต่งงานด้วยคือพี่ปรัชญ์เท่านั้น แต่แล้ววันหนึ่งพี่ปรัชญ์ก็มาคุยกับเราตรงๆ สารภาพว่าพี่ปรัชญ์รักผู้หญิงอื่นอยู่ก่อนแล้ว และคนคนนั้นก็คือน้องเล็ก น้องสาวบุญธรรมของคุณปราณต์กับพี่ปรัชญ์น
บทที่ 71“อะไรคะ” หรือว่าจะเป็นเรื่องระหว่างพินทุสรกับผู้ชายคนนั้น“มีคนบอกว่าคุณยังรักผมอยู่ จริงหรือเปล่า”“ใครบอกคุณคะ” นัสรินถามแบบโง่ๆ ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าน่าจะมาจากปากของพินทุสรในตอนที่เธอสารภาพความจริงออกไปจนหมดสิ้น“แล้วคุณพูดกับใครล่ะ”“คุณไปหาออยมา?”“อืม...”เขาไม่ตอบออกมาเป็นคำแต่แค่พยักหน้าและทำเสียงในลำคอเป็นเชิงยอมรับ นัสรินพยายามสังเกตสีหน้าและแววตาของเขาว่ามีความขึ้งเครียดอยู่หรือไม่ หากแววตานั้นก็ปกติมิหนำซ้ำยังดูพราวระยับ ผิดกับคนที่เพิ่งอกหักหรือถูกทำให้เสียใจ“ไปตอนไหนคะ แล้วคุณปราณต์เอ่อ...”นัสรินอึกอักไม่กล้าถามตรงๆ เพราะหากว่าปราณต์ยังไม่รู้เรื่อง จะกลายเป็นว่าตัวเธอเองที่ทำให้ปราณต์รู้“ผมเจอผู้ชายในห้องของคุณออยหรือเปล่า อย่างนั้นใช่มั้ยที่คุณอยากถาม”“คุณเห็นแล้ว!”“ใช่ผมเห็นแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเห็นนะ เห็นตั้งแต่วันที่สตีเวนมาเชียงใหม่ครั้งแรก ก่อนที่จะไปเที่ยวดอยด้วยกันอีก”“ไปเที่ยวดอยด้วยกัน? หมายความว่าคุณไม่ได้ไปกับออยแค่สองคน แต่มีคุณสตีเวนไปด้วยอย่างนั้นเหรอคะ”“ใช่...ผมไปแค่คืนเดียว ส่วนคืนต่อมาก็ปล่อยให้สองคนนั้นอยู่ด้วยกัน”นัสรินมุ่นคิ้วเข้าหากันด้วยควา
บทที่ 72เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ทั้งปราณต์และนัสรินต่างไม่มีใครสน สิ่งเดียวที่ปราณต์สนใจก็คือร่างเล็กๆ ที่กำลังซบอกตัวเองร้องไห้อยู่ตอนนี้ แรงสะอื้นของเธอคลายลงไปแล้ว เช่นเดียวกับน้ำตาที่ไม่ไหลออกมาเพิ่มเติม ปราณต์จึงเชยคางมนขึ้น พร้อมกับก้มลงจูบสองแก้มเบาๆ เพื่อซับน้ำตาให้“หายโกรธผมหรือยังคนดี” ปราณต์เอ่ยถามอย่างงอนง้อ เสียงของเขาทุ้มนุ่มและอ่อนโยนมากเหลือเกินในความรู้สึกของนัสริน“คุณทำเรื่องเลวร้ายกับนัสไว้ตั้งมากมาย นัสไม่ได้อยากยกโทษให้คุณสักนิด แต่นัสเองก็เคยทำไม่ดีกับคุณเอาไว้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นนัสจะถือว่าเราเลิกแล้วต่อกันค่ะ”“เลิกแล้วต่อกัน...แค่นั้นเหรอ”“แค่นั้นค่ะ” นัสรินตอบอย่างเล่นแง่ ถึงเวลาที่เธอต้องเอาคืนเขาบ้างแล้วนี่“ไม่รักผมแล้วเหรอ”“ก็บอกแล้วไงคะว่านัสไม่รักคนเจ้าเล่ห์คนร้ายกาจแล้ว”“โธ่...นัสจ๋า ไม่สงสารผัวเลยหรือไง” ปราณต์กระซิบออดอ้อนสายตาก็เต็มไปด้วยการเว้าวอน แต่นัสรินก็ไม่ยอมใจอ่อนง่ายๆ“ไม่ต้องมาทำเสียงแบบนั้นหรอกค่ะ คนอันธพาลมีแรงต่อยตีคนอื่นแบบนั้น นัสไม่สงสารเลยสักนิด” นัสรินพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับใจตัวเองอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ยังโกรธเขาอยู่หลายเรื่อง จึง
บทที่ 89เสียงกริ่งหน้าบ้านที่ดังขึ้นอย่างถี่รัว ทำให้ร่างสูงใหญ่ที่กำลังนอนกอดตระกองภรรยาสาวอยู่ในอ้อมแขนอย่างมีความสุขต้องยันกายลุกขึ้น พลางมุ่นคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ใครมากดกริ่งแบบนี้” นัสรินถามสามีอย่างพลอยตกใจไปด้วย เพราะตั้งแต่อยู่บ้านหลังนี้มาไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน “เดี๋ยวผมไปดูก่อน นัสรออยู่นี่นะ” ปราณต์เดินออกไปชะเง้อดูที่ระเบียง แสงที่สาดสะท้อนมาจากไฟหน้าบ้าน ทำให้เขาเห็นได้ชัดว่าคนกดเป็นใคร หนำซ้ำคนกดยังส่งเสียงร้องเรียกเขาราวกับกำลังมีเรื่องร้อนใจสุดๆ อีกต่างหาก“พี่ปราณต์! พี่ปราณต์!”ร่างสูงกลับเข้าห้อง แล้วบอกภรรยาที่นั่งรออยู่บนเตียง เพื่อให้เธอคลายความกังวลว่าคนที่กำลังกดกริ่งหน้าบ้านและส่งเสียงเรียกเขาอยู่นั้นเป็นใคร“ตะวันน่ะ”บอกเสร็จปราณต์ก็ออกจากห้อง โดยมีนัสรินก้าวตามลงไป ทั้งสองเดินออกไปยังหน้าบ้านด้วยกัน และปราณต์ก็กดกุญแจรีโมตเปิดประตูรั้วให้รังสิมันต์“มีอะไรตะวัน”“พี่ปราณต์ต้องช่วยผมนะ เด็กคนนั้นโดนแก้วบาดมือ เลือดไหลเยอะมาก ตอนนี้เด็กนั่นอยู่ในรถผม” รังสิมันต์ไม่ได้เอ่ยชื่อของจันทริกาออ
บทที่ 88แสงไฟสีเหลืองอมส้มที่ส่องสว่างทั่วอาณาบริเวณของบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังใหญ่ ยิ่งทำให้บ้านซึ่งถูกออกแบบและปลูกสร้างอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดูโดดเด่นสวยสะดุดตามากยิ่งขึ้นในยามค่ำคืนเช่นนี้ หากแต่ภายใต้ความสว่างไสวและสวยงามที่ห้อมล้อมบ้านหลังใหญ่ในยามนี้ คนเป็นเจ้าของกลับกำลังอยู่ในห้วงของอารมณ์ซึ่งสวนทางกับบรรยากาศอันแสนสวยงามของบ้านโดยสิ้นเชิง เพราะถูกครอบงำด้วยความโมโหต่อ ‘เด็กในปกครอง’ ที่หายตัวไปตั้งแต่ตอนบ่าย และป่านนี้แล้วก็ยังไม่กลับมาร่างสูงลุกขึ้นเดินไปมาสลับกับมาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ซึ่งความหนานุ่มสมราคาของมันกลับไม่ได้ทำให้ความเดือดพล่านในอารมณ์ของรังสิมันต์ลดลงเลยแม้แต่นิด มือใหญ่สมสัดส่วนกับรูปร่างเอื้อมไปหยิบขวดวิสกี้ราคาแพงระยับมาเทลงบนแก้ว ก่อนจะกระดกน้ำสีอำพันนั้นลงไปในลำคอพรวดเดียวหมด จากนั้นก็กระแทกแก้วลงกับโต๊ะเพื่อระบายอารมณ์ โดยมี ‘เมสซี่’ แมวพันธุ์แร็กดอลล์ตัวโปรดนั่งอยู่บนโซฟาข้างๆ บ่อยครั้งที่ตาสีฟ้าของมันเหลือบมองเจ้านายตัวเอง และลุกขึ้นมาคลอเคลีย ตามประสาแมวขี้เล่น แต่พอรู้ว่าเจ้านายกำลังอารมณ์ไม่ดี มันก็กลับไปนั่งที่ของมันแล้วหมอบลงเงียบๆ อย่างไม่กล้าก
บทที่ 87“นั่งด้วยกันมั้ย” ปราณต์เอ่ยชวน“ไม่ดีกว่าครับ ไม่อยากเป็นก้างขวางคอคนที่กำลังอยู่ข้าวใหม่ปลามัน” รังสิมันต์ปฏิเสธก่อนจะหันไปทางกวินภพเพื่อหาพวก “จริงมั้ยวะอิสร์”“แกมันก็ชอบหาเรื่องกวนตีนชาวบ้านไปทั่ว” กวินภพไม่ได้เออออแต่พูดขัดคอขึ้นมาซะงั้น“เฮ้ย...แกเป็นนักธุรกิจพันล้านนะเว้ยอิสร์ พูดคำหยาบกวนตงกวนตีนแบบนี้ได้ไง เสียภาพพจน์นักธุรกิจหนุ่มหล่อมาดเนี๊ยบหมด”“แกมันบ้าว่ะตะวัน” หนุ่มกรุงเทพฯ ส่ายหน้ายิ้มๆ กับความเจ้าคารมและช่างกวนอารมณ์ชาวบ้านของรังสิมันต์“พี่ก็ว่างั้นละอิสร์”“เฮ้อ...ตอนแรกว่าจะไม่อยู่เป็นก้างขวางคอ เปลี่ยนใจดีกว่านั่งกับพี่ปราณต์เลยแล้วกัน” รังสิมันต์แกล้งกวนอารมณ์พี่ชายต่อ ด้วยการจะขยับเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ แต่ยังไม่ทันได้นั่งนัสรินซึ่งไปเข้าห้องน้ำก็กลับมาเสียก่อน ทำให้ทั้งสองหนุ่มต้องหันไปทักทายกับหญิงสาวตามมารยาท“สวัสดีครับพี่สะใภ้” รังสิมันต์ทักทายขึ้นก่อนอย่างขี้เล่น ทำให้คนถูกทักเหวอแกมอายนิดๆ เพราะไม่ค่อยคุ้นกับคำเรียกแบบนั้นสักเท่าไหร่“สวัสดีค่ะ” เสียงหวานเอ่ยทักทายพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ เพราะประเมินว่าทั้งสองน่าจะอายุมากกว่าตน“ตะวั
บทที่ 86“แน่นอนสิที่รัก ถ้าไม่รู้ใจคุณแล้วผมจะเป็นผัวคุณได้ยังไง ว่าไงจะบอกหรือเปล่าว่าหมายถึงใคร”“นัสหมายถึงหมอเมย์ค่ะ” ในที่สุดนัสรินก็ยอมรับว่าเธอต้องการจะถามเขาว่าเคยพาเมธาวีมาที่นี่หรือไม่“ถ้าบอกว่าเคยล่ะ”“ก็ไม่แปลกใจค่ะ” ปากว่าไม่แปลกใจ หน้าก็ยังดูยิ้ม แต่แววตาและน้ำเสียงนั้นแปร่งไปจนฟังได้ชัด“คราวนี้จะยอมรับได้หรือยังหือว่าคุณหึงผมกับเมย์” คุณหมอผู้ลองใจเมียเริ่มต้อนให้เธอยอมรับความจริงกับเขาเสียที“ยอมรับก็ได้”“ทำไมถึงจำเพาะเจาะจงว่าเป็นเมย์”“ไม่รู้สิคะ อาจเป็นเพราะว่านัสเคยเห็นกับตาว่าคุณกับหมอเมย์สนิทสนมกันแค่ไหนมั้ง”“ผมไม่ได้คิดอะไรกับเมย์เกินกว่าน้องสาว สาบานได้เลย แต่ผมก็ดีใจนะที่รู้ว่าทำให้คุณหึง”“วันที่นัสไปตรวจที่คลินิกว่าท้องหรือเปล่า นัสเจอหมอเมย์ด้วยค่ะ เธอบอกว่าเธอเลิกกับคุณปราณต์แล้ว”“หือ...เลิกกัน?” ปราณต์เลิกคิ้วเข้มขึ้น “ฟังอะไรผิดหรือเปล่านัส”“เธอบอกแบบนั้นจริงๆ นะคะ แต่มาบอกทีหลังว่าเลิกหวังในตัวคุณแล้ว เพราะคุณรักคนอื่นอยู่” นัสรินเล่าให้ฟังตามความจริง พลางคิดถึงเหตุการณ์และสีหน้าของเมธาวีในวันนั้นอย่างจำได้แม่น“ขนาดเมย์ยังรู้ว่าผมรักใคร แล้วทำไม
บทที่ 85ปราณต์เป็นฝ่ายขยับมาถือกระเป๋าสะพายของภรรยาที่วางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับโอบเอวเล็กที่ตอนนี้ขยายขึ้นเล็กน้อย ทำให้นัสรินซึ่งยังงงอยู่เล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าคนทั้งสองจะรู้จักกันต้องขยับตาม แต่ก็ไม่ลืมที่จะร่ำลาหมอพัทธระตามมารยาทอันดี “ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ เดี๋ยววันหลังนัสจะเตรียมสัญญามาให้เซ็น วันนี้นัสขอตัวก่อน” “ครับคุณนัสริน แล้วพบกันครับ” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ จากนั้นก็ก้าวตามสามีออกไปขึ้นรถ ปราณต์เดินเงียบๆ แต่ยิ้มในหน้า ซึ่งจากประสบการณ์ที่อยู่ด้วยกันมาพักหนึ่ง ทำให้นัสรินพอจะรู้ว่าเวลาที่ปราณต์เป็นแบบนี้นั่นคือเขากำลังอยู่ในภาวะอารมณ์ดีแบบสุดๆ “ยิ้มอะไรนักหนาคะ พอใจมากหรือไง” นัสรินถามคนที่ซ่อนยิ้มในหน้าอย่างอดไม่ได้ จากสายตาและวาจาที่ฟังดูนุ่มละมุนผิดปกติของหมอพัทธระเมื่อครู่นี้ เธอก็พอจะรู้ว่าเขาคิดยังไงกับสามีของตน “ก็พอใจสิ” “แล้วเป็นไงคะ หมอพัทธระหล่ออย่างที่นัสบอกหรือเปล่า” “หล่อ...แต่ที่ฟังดูน้ำเสียงของนัสเหมือนกำลังหึงผมอยู่นะ อย่าหึงเลยน่า ผมชอบผู้หญิง” คราวน
บทที่ 84วันนี้เป็นวันครบรอบสามเดือนที่บริษัทส่งตัวนัสรินมาทำงานที่เชียงใหม่พอดี ซึ่งตามกำหนดเดิมเธอจะต้องกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ และมีตัวแทนจากบริษัทคนใหม่มาทำงานแทนเธอ แต่จนป่านนี้ทางบริษัทก็ยังไม่ส่งใครมา แถมเธอยังต้องทำงานที่นี่ต่อ ซึ่งคราวนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ทำชั่วคราวแล้ว หากแต่ต้องประจำอยู่ที่นี่อย่างถาวรนัสรินยังจำวันที่ตัวเองโทร.ไปแจ้งข่าวกับกิตติ ว่าเธอประสงค์จะลาออกจากงาน ตอนนั้นหัวหน้าของเธอดูเป็นเดือดเป็นร้อนมาก เพราะยังหาคนที่ทำงานเก่งอย่างเธอมาแทนยังไม่ได้ แต่เมื่อรู้ว่านัสรินจะลาออกไปแต่งงาน และอยู่ที่เชียงใหม่กับสามี กิตติก็ขอร้องให้เธอทำงานให้ต่อ โดยเสนอจะเพิ่มเงินเดือนให้ สุดท้ายนัสรินก็จำต้องรับปาก โดยไม่ต้องเพิ่มเงินเดือนให้เธอ ความจริงเธอไม่ได้อยากลาออกเลยสักนิด แต่ที่ต้องบอกหัวหน้าไปเช่นนั้น ก็เพราะปราณต์ขอร้องแกมบังคับ และเมื่อเขาได้รู้ว่าเธอตัดสินใจจะทำงานต่อ หมอหน้าหล่อก็งอนไปหลายวันเหมือนกันนัสรินออกมาจากออฟฟิศก่อนเวลาเลิกเงิน เพราะมีนัดกับลูกค้าซึ่งเป็นหมอของโรงพยาบาลเอกชน เรียวปากอิ่มคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะเอ่ยปากขอตัวกับหมอหนุ่มที่ตัวเองกำลังคุยงานด้วยอย
บทที่ 83พระอาทิตย์ยามเย็นเริ่มเคลื่อนคล้อยลอยต่ำลงเรื่อยๆ บ่งบอกว่าอีกไม่นานตะวันจะลาลับขอบฟ้าไปแล้ว และความมืดมนของรัตติกาลก็จะมาเยือนในไม่ช้า หากแต่บรรยากาศทั่วคุ้มลักษิกาในยามนี้กลับเต็มไปด้วยความสว่างไสว อันเกิดจากความสุขและปีติยินดี เมื่อข่าวที่ว่าปราณต์กับนัสรินกำลังจะแต่งงานกันอีกครั้ง และตอนนี้ทั้งคู่ก็มีลูกด้วยกันแล้ว แพร่กระจายไปทั่วคุ้มลักษิกาอย่างรวดเร็วปราณต์ตัดสินใจปิดคลินิกอีกวันเพื่ออยู่ทานข้าวเย็นกับครอบครัวตามคำสั่งของมารดา ธรินดาเข้าครัวทำอาหารที่พี่สะใภ้ชอบให้อย่างเต็มใจ ขณะที่ปรัชญ์กับปราณต์นั่งคุยกันตามประสาพี่น้องในห้องนั่งเล่น ส่วนแม่เลี้ยงลักษิกาก็เล่นกับหลาน นัสรินจึงถือโอกาสเดินไปที่เนินเขาหลังคุ้มลักษิกา เพื่อดูแปลงกุหลาบและพระอาทิตย์ตกดินตาคู่สวยมองพระอาทิตย์ดวงโตที่กำลังทอดตัวลงหาเส้นขอบฟ้า พร้อมกับปล่อยความคิดของตัวเองให้ล่องลอยไป ลมหนาวเริ่มพัดพรายมากระทบกาย แต่ยามนี้หัวใจเธอกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น และมันก็อุ่นยิ่งขึ้นเมื่อมีอ้อมกอดของคนที่รักโอบล้อมเข้ามา“มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” นัสรินเอียงหน้ามาถามคนที่ยืนโอบกอดตัวเองอยู่ทางด้านหลังเบาๆ“คิดอะไรอยู
บทที่ 82“มันน่าโกรธมั้ยล่ะ ผมเป็นหมอแทนที่จะได้รู้เป็นคนแรกว่าเมียตัวเองท้อง แต่กลับเป็นหมอคนอื่นที่รู้ก่อน คุณก็รู้นี่นัสว่าผมอยากมีลูกกับคุณแค่ไหน” ปราณต์เอ่ยออกมาเสียงขรึมๆ“ก็ตอนนั้นคุณกับนัสยังไม่เข้าใจกันนี่คะ อีกอย่างคุณก็ทำให้นัสเข้าใจว่าคุณกับออยมีอะไรลึกซึ้งกันไปแล้ว นัสเลยไม่อยากให้ลูกกลายมาเป็นปัญหาของใคร”“ตอนนั้นผมเข้าใจ แต่เราเข้าใจและคืนดีกันมากี่วันแล้วนัส นัสคิดจะปิดผมไปอีกนานแค่ไหน และมีเหตุผลอะไรที่คุณไม่ยอมบอกผม”“โธ่...ก็นัสยังไม่กล้าบอกนี่คะ อย่าทำหน้าทำเสียงแบบนั้นใส่นัสสิคะ นัสใจไม่ดี”“ถูกต้องแล้วที่คุณจะใจคอไม่ดี เพราะตอนนี้ผมโกรธคุณอยู่ และโกรธมากด้วย” ปราณต์ทำเสียงเข้มใส่ ทำให้คนถูกโกรธยิ่งใจฝ่อ“แล้วทำยังไงคุณถึงจะหายโกรธคะ”“ก็ต้องง้อสิ ไม่ง้อจะให้หายโกรธได้ยังไง”นัสรินขยับตัวเข้าหาพร้อมกับยกแขนขึ้นโอบกอดที่ต้นคอของเขา ก่อนจะเขย่งเท้าขึ้นแล้วประกบปากตัวเองลงบนปากของเขา จากนั้นเธอก็เริ่มจูบและปราณต์ก็จูบตอบอย่างร้อนแรง กึ่งลงโทษกึ่งปรารถนาปนเปอยู่ในรสจุมพิตนั้น“หายโกรธนัสหรือยังคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างงอนง้ออีกครั้งหลังจากที่ปากของทั้งคู่ผละห่างจากกัน
บทที่ 81“ทำไมถึงซื้อไว้ล่ะคะ ที่จริงมีบ้านสวยๆ กว่าบ้านหลังนี้อีกเยอะแยะ หรือถ้าคุณจะสร้างใหม่ก็สร้างได้สบายๆ อยู่แล้ว”“ไม่รู้สิ คงเป็นเพราะว่ามีสิ่งเดียวที่ผู้ชายใจร้ายอย่างผมทำได้เพื่อระลึกถึงคุณมั้ง” ปราณต์พูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเขาไม่ได้โกหกแต่อย่างใด แววตายามเมื่อนึกถึงความหลังครั้งนั้น ฉายแววเคว้งคว้างสับสนออกมาจนนัสรินรู้สึกได้“นัสก็ผิดค่ะที่เห็นแก่ตัว ถ้าคุณจะเกลียดนัสก็ไม่แปลกหรอก”“แต่ถ้าผมใจกว้าง เปิดใจยอมรับว่าที่นัสทำลงไปก็เพราะรักผม ป่านนี้เราอาจจะมีลูกด้วยกันแล้วก็ได้” ปราณต์พูดถึงลูกอีกครั้ง นัสรินจึงเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนของเขา เพราะเธอยังปิดบังเรื่องที่ตัวเองท้องอยู่ แต่ปราณต์ไม่ยอมให้นัสรินหนีไปไหน เขาย่อตัวช้อนอุ้มร่างบางพาเดินไปนอนที่เตียงด้วยกัน“คุณปราณต์อุ้มนัสมาขึ้นเตียงทำไมคะ” นัสรินถามพลางหน้าแดงซ่าน เมื่อครู่ยังคุยกันดีๆ อยู่แท้ๆ แต่เผลอแป๊บเดียวเธอก็ขึ้นมานอนอยู่บนเตียงโดยมีร่างสูงใหญ่ของเขานอนอยู่แนบชิดเสียแล้ว“ก็พามาพิสูจน์ว่าเตียงเล็กไปหรือเปล่าสำหรับเราสองคน”“วันนั้นก็พิสูจน์ไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ”“วันนั้นผมเมา จำอะไรไม่ค่อยได้ ต้องทำตอนมีสติ” คน