ปราณต์เดินมาที่รถของเขาซึ่งอยู่ในลานจอดรถที่ล็อกไว้ให้สำหรับหมอและบุคลากรของโรงพยาบาลโดยเฉพาะ เขาเปิดประตูหน้ารอให้นัสรินก้าวเข้าไปนั่งข้างในก่อน จึงค่อยเดินอ้อมไปฝั่งคนขับ
มือเรียวเล็กเผลอจิกกระเป๋าตัวเองแน่น เมื่อถูกขังอยู่ในบรรยากาศอันเป็นส่วนตัวแบบสองต่อสองอีกครั้ง ผิดแต่เพียงในรถมันแคบกว่าห้องของหมอชัชวาล แถมปราณต์ก็ไม่ยอมเปิดเพลง จึงทำให้แทบจะได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน นัสรินจำได้ว่ารถคันนี้ตัวเองเคยนั่งคู่กับเขาไม่เกินห้าครั้งตลอดช่วงที่แต่งงานกัน และวันสุดท้ายที่ได้นั่งด้วยกันก็คือวันที่เขามารับไปหย่า จากนั้นเธอกับเขาต่างก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมองอย่างอดไม่ได้ ว่าที่นั่งที่เธอนั่งอยู่ตอนนี้มีใครมานั่งแทนหรือยัง หากเธอกล้ามากกว่านี้และปากจัดเหมือนปราณต์ เธอคงถามเขาไปตรงๆ เหมือนที่เขาถามเธอแล้ว ทว่าความกล้าของเธอห่างไกลกับเขาลิบลับ แต่ที่กลัวไปกว่านั้นก็คือความจริงอันน่าเจ็บปวด หากเขาบอกว่าเขามีคนใหม่แล้ว ดังนั้นนัสรินจึงเลือกจะไม่ยอมรับรู้อะไร ที่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของอดีตสามี
อีกสิบกว่านาทีต่อมา รถของปราณต์ซึ่งมีนัสรินนั่งมาด้วยก็แล่นเข้าจอดเทียบยังลานจอดรถของร้านอาหารบรรยากาศสไตล์ล้านนาร้านหนึ่ง ร่างบางเดินตามเขาเข้าไปในร้านเงียบๆ ปราณต์เป็นคนเลือกโต๊ะและสั่งอาหารเองทั้งหมดโดยไม่ได้ถามความคิดเห็นของเธอแต่อย่างใด ทว่าอาหารสี่เมนูที่เขาสั่งไปนั้นก็บอกอยู่ในทีว่าเขาสั่งเผื่อแล้ว
บรรยากาศในร้านช่วงเที่ยงๆ แบบนี้คนค่อนข้างจะคึกคัก ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็รอไม่นานนัก พนักงานก็เริ่มนำอาหารมาเสิร์ฟจนครบ ปราณต์พยักหน้าให้อดีตภรรยาเป็นเชิงว่าให้ลงมือรับประทานอาหารได้แล้ว นัสรินจึงต้องจับช้อนมาตักอาหารใส่จานตัวเองทั้งที่ไม่หิวเลยสักนิด ความรู้สึกมันตื้อตั้งแต่พบปราณต์แบบไม่คาดคิด ทำให้ไม่นึกอยากให้มีอะไรลงไปในท้องเลย
“นึกยังไงถึงมาทำงานขายยา” ปราณต์ถามขึ้นหลังจากปล่อยให้บรรยากาศระหว่างเขาและเธอเงียบอยู่นานพอสมควร
“เงินดีค่ะ” เสียงหวานที่ตอนนี้ไม่สั่นแล้วตอบออกไปเรียบๆ
“ยังเห็นแก่เงินเหมือนเดิม”
“ค่ะ ทำไงได้ล่ะคะในเมื่อเงินมันคือปัจจัยขับเคลื่อนชีวิตอย่างหนึ่งไปแล้ว” แม้จะหน้าชากับคำพูดของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่นัสรินก็ตอบโต้ไปตามที่ตัวเองพอจะคิดออก
“แล้วเข้ามาทำงานตำแหน่งนี้ได้ยังไง ใช้เส้นสายของพ่ออีกล่ะสิ”
“ค่ะ...” คนถูกถามตอบสั้นๆ จนคนฟังรู้สึกหงุดหงิด นัสรินคร้านจะอธิบาย ในเมื่อปราณต์เต็มไปด้วยอคติที่มีต่อเธอ พูดไปเขาก็คงไม่มีวันเชื่อ ว่าเธอเข้าทำงานในบริษัทยาชื่อดังนี้ได้ด้วยความสามารถของตัวเอง แม้ว่าเธอจะไม่ใช่ผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง และไม่ใช่คนที่เก่งมากมายอะไรหากจะเทียบกับสาวสมัยใหม่ ทว่าสิ่งที่เธอมีติดตัวก็คือความรู้ด้านภาษาอังกฤษในระดับดีเยี่ยม เพราะพ่อแม่ส่งให้เรียนโรงเรียนนานาชาติตั้งแต่ยังเด็ก นั่นจึงเป็นใบเบิกทางอย่างดีที่ทำให้เธอได้ทำงานที่บริษัทยาชื่อดังแห่งนี้ และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พ่อของเธอต้องไปกู้หนี้ยืมสินจากเพื่อนรักซึ่งเป็นพ่อของปราณต์มาส่งเสียเธอเรียน เพราะลำพังเงินเดือนทหารไม่พอสำหรับค่าเทอมที่แสนจะแพงมหาศาลของโรงเรียนนานาชาติ ดังนั้นเมื่อพ่อกับแม่บอกว่าอยากให้เธอแต่งงานกับปรัชญ์ เพื่อเป็นการชดใช้หนี้สินของครอบครัว เธอจึงไม่ปฏิเสธมาแต่ต้น
“เข้าใจเลือกงานนะ รายได้ดีไม่พอ เผื่อจะฟลุกได้ผัวเป็นหมออีกสักคนต่างหาก”
มือที่กำลังจะตักข้าวอีกคำเข้าปากต้องหยุดชะงัก ก่อนจะวางช้อนในมือลง รวบไปไว้ด้านหนึ่งของจาน แล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม เพราะเธออิ่มคำประชดแดกดันของเขาจนฝืนกินอะไรไม่ได้อีกต่อไป
“นัสอิ่มแล้วค่ะ”
“อิ่มก็นั่งรอไปก่อน ผมยังไม่อิ่ม”
ปราณต์บอกอย่างไม่คิดจะสนใจ ว่าเธอจะกินมากกินน้อย เขายังคงตักนั่นตักนี่ใส่จานแล้วค่อยๆ ละเลียดอย่างใจเย็น จนเวลาล่วงเลยจากเที่ยงไปใกล้บ่ายโมง
คนรอเริ่มกระวนกระวาย เพราะเธอจองตั๋วเครื่องบินกลับไว้ในไฟลท์บ่ายสาม แต่อย่างน้อยก็ต้องไปถึงสนามบินและเช็กอินก่อนสี่สิบห้านาที ดังนั้นตอนนี้เธอจึงเหลือเวลาแค่ประมาณหนึ่งชั่วโมงที่จะคุยรายละเอียดเกี่ยวกับยา ข้อตกลงซื้อขาย และรายละเอียดต่างๆ ในสัญญาที่จะเป็นภาระผูกพันกันต่อไป
“คุณปราณต์ไม่กลับไปทำงานหรือไงคะ” นัสรินพักเรื่องส่วนตัวของตัวเองลงชั่วขณะ เอ่ยถามเขาออกไปคล้ายกับเร่งอยู่ในที เพราะเธอต้องการปิดจ็อบนี้ให้ได้วันนี้
“ช่วงบ่ายผมไม่มีเคส และไม่ใช่เวรตรวจคนไข้ในด้วยเพราะฉะนั้นผมไม่รีบ”
“แต่นัสรีบค่ะ นัสจองตั๋วเครื่องบินไปกลับ ถ้าคุณปราณต์ไม่คุยตอนนี้นัสอาจตกเครื่อง”
“ผมจำเป็นต้องตกลงซื้อยาที่คุณมาเสนอให้แค่ไหน”
“นัสบอกไม่ได้หรอกนะคะว่าจำเป็นมากหรือน้อยแค่ไหน เพราะคุณปราณต์คือคนที่ต้องตัดสินใจ แต่สรรพคุณของยาตัวนี้ดีมาก ราคาก็ค่อนข้างถูกหากจะเทียบกับยานอกยี่ห้ออื่น อย่างน้อยก็เป็นการเปิดโอกาสในการเข้าถึงยาสำหรับคนไข้ที่มีรายได้น้อยนะคะ”
“เข้าใจพูดนะ”
คำพูดนั้นก็ยังไม่แคล้วจะแดกดัน แต่นัสรินเลือกที่จะไม่เก็บมาเป็นอารมณ์
“นัสแค่พูดตามความจริง”
“ผู้หญิงอย่างคุณรู้จักพูดความจริงด้วยเหรอ”
“นัสไม่เคยโกหกค่ะ นัสพูดความจริงมาตลอด”
“แล้วไอ้ที่ร่วมมือกับปรัชญ์ตลบหลังผมล่ะ นั่นเรียกว่าความจริงด้วยหรือเปล่า”
“เอ่อ...นัส...คือนัส...” นัสรินพูดไม่ออก ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะขอโทษเขาถึงเรื่องคราวนั้น นี่เองกระมังสาเหตุของความเย็นชาและใจร้ายของปราณต์ เพราะเขารู้ความจริงนี่เองว่าการแต่งงานระหว่างเธอกับเขาไม่ใช่เพราะสถานการณ์มันบังคับ แต่เป็นเพราะเธอกับปรัชญ์ร่วมมือกันวางแผน จนเขาต้องมาแต่งงานกับเธอแทนปรัชญ์ต่างหาก
“พูดไม่ออกเลยล่ะสิท่า แล้วผมล่ะนัสริน ตอนที่รู้ความจริงตอนที่ได้ยินกับหูตัวเองว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นแค่การจัดฉาก ผมจะรู้สึกยังไง ผมยอมแต่งงานกับคุณก็เพราะสงสาร กลัวว่าจะเป็นหม้ายขันหมาก กลัวจะอับอาย และที่สำคัญแม่ผมเครียดจนแทบจะเป็นลมที่จู่ๆ งานแต่งก็จะล่มเอาดื้อๆ แต่กลับกลายเป็นว่าคุณกับปรัชญ์ตกลงกันมาอย่างดีตั้งนานสองนานแล้ว”
บทที่ 89เสียงกริ่งหน้าบ้านที่ดังขึ้นอย่างถี่รัว ทำให้ร่างสูงใหญ่ที่กำลังนอนกอดตระกองภรรยาสาวอยู่ในอ้อมแขนอย่างมีความสุขต้องยันกายลุกขึ้น พลางมุ่นคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ใครมากดกริ่งแบบนี้” นัสรินถามสามีอย่างพลอยตกใจไปด้วย เพราะตั้งแต่อยู่บ้านหลังนี้มาไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน “เดี๋ยวผมไปดูก่อน นัสรออยู่นี่นะ” ปราณต์เดินออกไปชะเง้อดูที่ระเบียง แสงที่สาดสะท้อนมาจากไฟหน้าบ้าน ทำให้เขาเห็นได้ชัดว่าคนกดเป็นใคร หนำซ้ำคนกดยังส่งเสียงร้องเรียกเขาราวกับกำลังมีเรื่องร้อนใจสุดๆ อีกต่างหาก“พี่ปราณต์! พี่ปราณต์!”ร่างสูงกลับเข้าห้อง แล้วบอกภรรยาที่นั่งรออยู่บนเตียง เพื่อให้เธอคลายความกังวลว่าคนที่กำลังกดกริ่งหน้าบ้านและส่งเสียงเรียกเขาอยู่นั้นเป็นใคร“ตะวันน่ะ”บอกเสร็จปราณต์ก็ออกจากห้อง โดยมีนัสรินก้าวตามลงไป ทั้งสองเดินออกไปยังหน้าบ้านด้วยกัน และปราณต์ก็กดกุญแจรีโมตเปิดประตูรั้วให้รังสิมันต์“มีอะไรตะวัน”“พี่ปราณต์ต้องช่วยผมนะ เด็กคนนั้นโดนแก้วบาดมือ เลือดไหลเยอะมาก ตอนนี้เด็กนั่นอยู่ในรถผม” รังสิมันต์ไม่ได้เอ่ยชื่อของจันทริกาออ
บทที่ 88แสงไฟสีเหลืองอมส้มที่ส่องสว่างทั่วอาณาบริเวณของบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังใหญ่ ยิ่งทำให้บ้านซึ่งถูกออกแบบและปลูกสร้างอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดูโดดเด่นสวยสะดุดตามากยิ่งขึ้นในยามค่ำคืนเช่นนี้ หากแต่ภายใต้ความสว่างไสวและสวยงามที่ห้อมล้อมบ้านหลังใหญ่ในยามนี้ คนเป็นเจ้าของกลับกำลังอยู่ในห้วงของอารมณ์ซึ่งสวนทางกับบรรยากาศอันแสนสวยงามของบ้านโดยสิ้นเชิง เพราะถูกครอบงำด้วยความโมโหต่อ ‘เด็กในปกครอง’ ที่หายตัวไปตั้งแต่ตอนบ่าย และป่านนี้แล้วก็ยังไม่กลับมาร่างสูงลุกขึ้นเดินไปมาสลับกับมาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ซึ่งความหนานุ่มสมราคาของมันกลับไม่ได้ทำให้ความเดือดพล่านในอารมณ์ของรังสิมันต์ลดลงเลยแม้แต่นิด มือใหญ่สมสัดส่วนกับรูปร่างเอื้อมไปหยิบขวดวิสกี้ราคาแพงระยับมาเทลงบนแก้ว ก่อนจะกระดกน้ำสีอำพันนั้นลงไปในลำคอพรวดเดียวหมด จากนั้นก็กระแทกแก้วลงกับโต๊ะเพื่อระบายอารมณ์ โดยมี ‘เมสซี่’ แมวพันธุ์แร็กดอลล์ตัวโปรดนั่งอยู่บนโซฟาข้างๆ บ่อยครั้งที่ตาสีฟ้าของมันเหลือบมองเจ้านายตัวเอง และลุกขึ้นมาคลอเคลีย ตามประสาแมวขี้เล่น แต่พอรู้ว่าเจ้านายกำลังอารมณ์ไม่ดี มันก็กลับไปนั่งที่ของมันแล้วหมอบลงเงียบๆ อย่างไม่กล้าก
บทที่ 87“นั่งด้วยกันมั้ย” ปราณต์เอ่ยชวน“ไม่ดีกว่าครับ ไม่อยากเป็นก้างขวางคอคนที่กำลังอยู่ข้าวใหม่ปลามัน” รังสิมันต์ปฏิเสธก่อนจะหันไปทางกวินภพเพื่อหาพวก “จริงมั้ยวะอิสร์”“แกมันก็ชอบหาเรื่องกวนตีนชาวบ้านไปทั่ว” กวินภพไม่ได้เออออแต่พูดขัดคอขึ้นมาซะงั้น“เฮ้ย...แกเป็นนักธุรกิจพันล้านนะเว้ยอิสร์ พูดคำหยาบกวนตงกวนตีนแบบนี้ได้ไง เสียภาพพจน์นักธุรกิจหนุ่มหล่อมาดเนี๊ยบหมด”“แกมันบ้าว่ะตะวัน” หนุ่มกรุงเทพฯ ส่ายหน้ายิ้มๆ กับความเจ้าคารมและช่างกวนอารมณ์ชาวบ้านของรังสิมันต์“พี่ก็ว่างั้นละอิสร์”“เฮ้อ...ตอนแรกว่าจะไม่อยู่เป็นก้างขวางคอ เปลี่ยนใจดีกว่านั่งกับพี่ปราณต์เลยแล้วกัน” รังสิมันต์แกล้งกวนอารมณ์พี่ชายต่อ ด้วยการจะขยับเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ แต่ยังไม่ทันได้นั่งนัสรินซึ่งไปเข้าห้องน้ำก็กลับมาเสียก่อน ทำให้ทั้งสองหนุ่มต้องหันไปทักทายกับหญิงสาวตามมารยาท“สวัสดีครับพี่สะใภ้” รังสิมันต์ทักทายขึ้นก่อนอย่างขี้เล่น ทำให้คนถูกทักเหวอแกมอายนิดๆ เพราะไม่ค่อยคุ้นกับคำเรียกแบบนั้นสักเท่าไหร่“สวัสดีค่ะ” เสียงหวานเอ่ยทักทายพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ เพราะประเมินว่าทั้งสองน่าจะอายุมากกว่าตน“ตะวั
บทที่ 86“แน่นอนสิที่รัก ถ้าไม่รู้ใจคุณแล้วผมจะเป็นผัวคุณได้ยังไง ว่าไงจะบอกหรือเปล่าว่าหมายถึงใคร”“นัสหมายถึงหมอเมย์ค่ะ” ในที่สุดนัสรินก็ยอมรับว่าเธอต้องการจะถามเขาว่าเคยพาเมธาวีมาที่นี่หรือไม่“ถ้าบอกว่าเคยล่ะ”“ก็ไม่แปลกใจค่ะ” ปากว่าไม่แปลกใจ หน้าก็ยังดูยิ้ม แต่แววตาและน้ำเสียงนั้นแปร่งไปจนฟังได้ชัด“คราวนี้จะยอมรับได้หรือยังหือว่าคุณหึงผมกับเมย์” คุณหมอผู้ลองใจเมียเริ่มต้อนให้เธอยอมรับความจริงกับเขาเสียที“ยอมรับก็ได้”“ทำไมถึงจำเพาะเจาะจงว่าเป็นเมย์”“ไม่รู้สิคะ อาจเป็นเพราะว่านัสเคยเห็นกับตาว่าคุณกับหมอเมย์สนิทสนมกันแค่ไหนมั้ง”“ผมไม่ได้คิดอะไรกับเมย์เกินกว่าน้องสาว สาบานได้เลย แต่ผมก็ดีใจนะที่รู้ว่าทำให้คุณหึง”“วันที่นัสไปตรวจที่คลินิกว่าท้องหรือเปล่า นัสเจอหมอเมย์ด้วยค่ะ เธอบอกว่าเธอเลิกกับคุณปราณต์แล้ว”“หือ...เลิกกัน?” ปราณต์เลิกคิ้วเข้มขึ้น “ฟังอะไรผิดหรือเปล่านัส”“เธอบอกแบบนั้นจริงๆ นะคะ แต่มาบอกทีหลังว่าเลิกหวังในตัวคุณแล้ว เพราะคุณรักคนอื่นอยู่” นัสรินเล่าให้ฟังตามความจริง พลางคิดถึงเหตุการณ์และสีหน้าของเมธาวีในวันนั้นอย่างจำได้แม่น“ขนาดเมย์ยังรู้ว่าผมรักใคร แล้วทำไม
บทที่ 85ปราณต์เป็นฝ่ายขยับมาถือกระเป๋าสะพายของภรรยาที่วางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับโอบเอวเล็กที่ตอนนี้ขยายขึ้นเล็กน้อย ทำให้นัสรินซึ่งยังงงอยู่เล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าคนทั้งสองจะรู้จักกันต้องขยับตาม แต่ก็ไม่ลืมที่จะร่ำลาหมอพัทธระตามมารยาทอันดี “ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ เดี๋ยววันหลังนัสจะเตรียมสัญญามาให้เซ็น วันนี้นัสขอตัวก่อน” “ครับคุณนัสริน แล้วพบกันครับ” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ จากนั้นก็ก้าวตามสามีออกไปขึ้นรถ ปราณต์เดินเงียบๆ แต่ยิ้มในหน้า ซึ่งจากประสบการณ์ที่อยู่ด้วยกันมาพักหนึ่ง ทำให้นัสรินพอจะรู้ว่าเวลาที่ปราณต์เป็นแบบนี้นั่นคือเขากำลังอยู่ในภาวะอารมณ์ดีแบบสุดๆ “ยิ้มอะไรนักหนาคะ พอใจมากหรือไง” นัสรินถามคนที่ซ่อนยิ้มในหน้าอย่างอดไม่ได้ จากสายตาและวาจาที่ฟังดูนุ่มละมุนผิดปกติของหมอพัทธระเมื่อครู่นี้ เธอก็พอจะรู้ว่าเขาคิดยังไงกับสามีของตน “ก็พอใจสิ” “แล้วเป็นไงคะ หมอพัทธระหล่ออย่างที่นัสบอกหรือเปล่า” “หล่อ...แต่ที่ฟังดูน้ำเสียงของนัสเหมือนกำลังหึงผมอยู่นะ อย่าหึงเลยน่า ผมชอบผู้หญิง” คราวน
บทที่ 84วันนี้เป็นวันครบรอบสามเดือนที่บริษัทส่งตัวนัสรินมาทำงานที่เชียงใหม่พอดี ซึ่งตามกำหนดเดิมเธอจะต้องกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ และมีตัวแทนจากบริษัทคนใหม่มาทำงานแทนเธอ แต่จนป่านนี้ทางบริษัทก็ยังไม่ส่งใครมา แถมเธอยังต้องทำงานที่นี่ต่อ ซึ่งคราวนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ทำชั่วคราวแล้ว หากแต่ต้องประจำอยู่ที่นี่อย่างถาวรนัสรินยังจำวันที่ตัวเองโทร.ไปแจ้งข่าวกับกิตติ ว่าเธอประสงค์จะลาออกจากงาน ตอนนั้นหัวหน้าของเธอดูเป็นเดือดเป็นร้อนมาก เพราะยังหาคนที่ทำงานเก่งอย่างเธอมาแทนยังไม่ได้ แต่เมื่อรู้ว่านัสรินจะลาออกไปแต่งงาน และอยู่ที่เชียงใหม่กับสามี กิตติก็ขอร้องให้เธอทำงานให้ต่อ โดยเสนอจะเพิ่มเงินเดือนให้ สุดท้ายนัสรินก็จำต้องรับปาก โดยไม่ต้องเพิ่มเงินเดือนให้เธอ ความจริงเธอไม่ได้อยากลาออกเลยสักนิด แต่ที่ต้องบอกหัวหน้าไปเช่นนั้น ก็เพราะปราณต์ขอร้องแกมบังคับ และเมื่อเขาได้รู้ว่าเธอตัดสินใจจะทำงานต่อ หมอหน้าหล่อก็งอนไปหลายวันเหมือนกันนัสรินออกมาจากออฟฟิศก่อนเวลาเลิกเงิน เพราะมีนัดกับลูกค้าซึ่งเป็นหมอของโรงพยาบาลเอกชน เรียวปากอิ่มคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะเอ่ยปากขอตัวกับหมอหนุ่มที่ตัวเองกำลังคุยงานด้วยอย