ログイン“เหตุใดถึง” ก่อนที่สืออันหลงจะพูดจบได้เหลือบลงมองพื้นถึงได้รู้สาเหตุ
“หย่งเจิ้ง ที่รองเหยียบหายไปไหน”
“สงสัยคนรถลืมหยิบมาขอรับ ฮูหยินหากท่านไม่รังเกียจเชิญเหยียบหลังข้าได้เลยขอรับ” ไม่ว่าเปล่า เขาก้มตัวงอหลังเพื่อให้นางเหยีบหลังตัวเองขึ้นรถม้า
“หลบไป! แผลเจ้ายังไม่หายดี ข้าจะอุ้มนางเอง” พูดจบ ก็คว้าร่างบางขึ้นอุ้มก่อนจะวางลงเมื่อเท้านางแตะบนรถม้าแล้ว
นางแอบยิ้มยามที่เขาโอบกอดนางไว้ไม่แน่เขาอาจไม่ได้เกลียดชังนางดังที่ปากพูดก็เป็นได้ หญิงสาวคิดเข้าข้างตัวเอง
“ท่านโหว ฮูหยิน มาแล้วหรือ”
“ยินดีกับคุณชายรองด้วยนะขอรับ”
“เจ้าก็เช่นกันเพิ่งแต่งฮูหยินได้ไม่นานพอได้เห็นท่านทั้งสองเดินเคียงคู่กันมาทำให้รู้สึกปลาบปลื้มแทนบิดาของเจ้ายิ่งนัก เสียดายที่เขาด่วนจากไปเร็ว”
“อะ...แฮ่ม ท่านพี่” ก่อนที่ใต้เท้าเจิ้งจะได้พูดอันใดมากไปกว่านี้ ฮูหยินเจิ้งได้ร้องขัดเสียก่อน เพราะทุกคนในเมืองหลวงรู้ดีว่าภรรยาของเขาผู้นี้มาจากตระกูลใด
“เชิญท่านโหวกับฮูหยินเข้าไปข้างในก่อนเถิด”
หลังจากเข้ามาในจวนชายหนุ่มเดินแยกไปอีกทางทิ้งให้ฮูหยินของตนยืนอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางผู้คน โดยไม่แม้จะเหลียวหลังกลับมามองและไม่ได้บอกกล่าวอันใดนางก่อนจะหายตัวไปพร้อมกับฝูงชน
เว่ยซูเหม่ยเดินเข้าไปยังโถงจัดงานเพียงผู้เดียว เพราะดูเหมือนว่างานเลี้ยงนี้จะมีการแบ่งแยกฝั่งที่นั่งของชายหญิง
“นี่น่ะหรือฮูหยินของท่านโหว ดูจากที่เดินเข้ามาคนเดียวนางต้องถูกสามีทอดทิ้งแน่”
“เจ้าพูดไรน่ะ ท่านโหวน่ะหรือจะกล้าทำเช่นนั้น อย่าลืมนะว่าทั่งคู่แต่งงานกันได้เพราะมีฮ่องเต้เป็นพ่อสื่อให้”
“ท่านพูดเหมือนไม่รู้ว่าตระกูลสือกับตระกูลเว่ยไม่ถูกกัน หากทั้งคู่รักกันหวานชื่นจริงมีหรือท่านโหวจะปล่อยให้ภรรยาของตัวเองเดินมาตามลำพัง”
เว่ยซูเหม่ยทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินสิ่งที่สตรีเหล่านั้นพูดคุยกัน ก่อนเดินไปนั่งลงตรงที่ของตัวเอง
“เจ้าใช่ฮูหยินของท่านโหวรึไม่”
“เจ้าค่ะ”
“งดงามสมคำร่ำลือ”
“แม่นางท่านนี้...”
“ข้าชื่อหยวนหรงชิ่ว ฮูหยินไม่ต้องเกร็งไป”
“ว่าแต่ท่านเคยมางานเลี้ยงเช่นนี้บ่อยหรือ” นางถาม เมื่อเห็นคนตรงหน้าดูเป็นมิตรเข้ากับคนอื่นง่าย
“ใช่เจ้าค่ะ เพราะต้องเป็นตัวแทนท่านพ่อกับท่านแม่ ข้าเลยต้องมาเลี้ยงเช่นนี้บ่อย ๆ”
“มิน่าเล่า แม่นางถึงได้ดูเข้ากับคนง่ายยิ่งนัก”
“ฮูหยิน ท่านอย่าได้ใส่ใจเสียงนกเสียงกาพวกนั้นเลย สตรีพวกนั้นดีแต่นินทาผู้อื่นลับหลังอย่างสนุกปาก โดยไม่สนว่าจะมีผู้ใดเข้าใจผิดบ้าง”
“พวกนางอยากพูดอะไรก็พูดไปเถิด ข้าหาได้นำมาใส่ใจ”
“ข้านับถือใจท่านจริง ๆ ที่ยอมแต่งกับตระกูลสือทั้ง ๆ ที่ทั้งสองตระกูลไม่ถูกกัน”
“เรื่องของตระกูลก็ส่วนเรื่องของตระกูล ที่ข้ายอมแต่งให้เขาก็เพราะข้ารู้สึกชอบพอหาใช่ทำตามคำสั่งผู้ใด” นางบอกตามตรง
“พอได้ยินท่านพูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้แล้ว ข้ารับรู้ได้ว่าท่านเป็นคนจริงใจ หากท่านไม่รังเกียจข้าก็อยากเป็นเพื่อนกับท่าน”
“ข้าไม่รังเกียจสักนิด” ซูเหม่ยส่งยิ้มให้ ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างถูกคอจนกระทั่งแยกย้ายกันกลับจวน
เว่ยซูเหม่ยแอบมองสามีของตนหลายวันเห็นแต่ใบหน้าบึ้งตึงไร้อารมณ์ด้วยความสงสัยจึงได้เรียกให้หย่งเจิ้งมาหา
“ท่านโหวเป็นอะไรหรือ หลายวันมานี้ใบหน้าของเขาดูไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก”
“ช่วงนี้ท่านโหวกับใต้เท้าหลายท่านกำลังวางแผนปราบกบฏใบหน้าถึงได้เคร่งเครียดเช่นนั้น”
“โล่งอกไปที ข้านึกว่าตัวเองทำอะไรผิดไปเสียอีก”
“ฮูหยินไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกขอรับ คนที่ผิดคือท่านโหว ดูทีเถิดแต่งภรรยาทั้งทีควรรู้จักใส่ใจท่านบ้าง แต่ดูนี่สิขอรับไม่ใส่ใจยังพอทนแต่ถึงกลับไม่ให้ท่านไปเหยียบที่เรือนช่างทำเกินไปจริง ๆ”
“เรื่องนั้นข้าไม่โทษท่านโหวหรอก เป็นความผิดข้าเองที่เกิดเป็นคนตระกูลเว่ย”
“พวกเราทุกคนเลือกเกิดได้ที่ไหนล่ะขอรับ”
“หย่งเจิ้ง หากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ก่อนท่านโหวจะไปปราบกบฏข้ารบกวนเจ้ามารับเอาถุงเท้าที่เรือนได้รึไม่ ข้าเป็นฮูหยินของเขาจึงอยากทำอะไรเพื่อเขาบ้าง”
“ฮูหยินจะทำถุงเท้าให้ท่านโหวหรือขอรับ”
“ใช่ ออกรบคราวนี้ท่านโหวควรมีถุงเท้าดี ๆ สักคู่”
“ท่านช่างใส่ใจท่านโหวยิ่งนัก อีกสามวันบ่าวจะมารับถุงเท้านะขอรับ”
“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะกล้าทำเรื่องอำมหิตเช่นนี้ เสียทีที่ข้ารับเจ้าเข้าจวนมา หย่งเจิ้ง ขังนางไว้ที่เรือน” หลังจากได้อยู่ด้วยกันตามลำพังนางได้เข้าไปนั่งใกล้เขา “ดูจากที่ตาของเจ้าบวมเป่งเช่นนี้ คงเอาแต่ร้องไห้ใช่รึไม่” เขาว่าพลางยันตัวขึ้นนั่งแล้วใช้มือลูบหัวนางแผ่วเบา “ข้าคิดว่าท่านจะไม่ฟื้นขึ้นมาเสียแล้ว ท่านหมดสติไปตั้งหลายวัน” “ข้อต้องฟื้นอยู่แล้ว เพราะข้ามีคนสำคัญที่ต้องปกป้อง” “อะ แฮ่ม ท่านโหวจะให้จัดการนักฆ่าที่รอดชีวิตอย่างไรดีขอรับ” “จับเข้าคุกหลวงให้หมด ข้าจะยื่นกีฎาให้ฮ่องเต้เป็นผู้ตัดสิน” “แล้วเรื่องฮูหยินเว่ยที่สมคบคิดกับแม่นางเหลียวล่ะขอรับจะให้จัดการเช่นไร” “ข้าจะเป็นคนจัดการเอง” เว่ยซูเหม่ยมองป้ายหน้าจวนตระกูลเว่ยด้วยความรู้สึกดีใจเสียยิ่งกว่าอะไร ในที่สุดคนชั่วช้าอย่างเหลียงเฟยฮุ่ยถึงคราที่ต้องได้รับกรรมที่นางก่อเสียที “ฮูหยินเว่ย อยู่ที่ใด” “อยู่ข้างในเจ้าค่ะ ฮูหยิน” แม่นมจ้าวออกมาต้อนรับนางด้วยรอยยิ้ม “ที่เรื่องทุกอย่างจบลงเช่นนี้ได้ก็เพราะแม
สุดท้ายแล้วเว่ยซูเหม่ยก็ไม่ได้ทิ้งรองเท้าคู่นั้น ด้วยเหตุผลที่ว่ารองเท้าของนางเริ่มเก่าแล้ว หากจะทิ้งก็เสียดายจึงได้เก็บกลับมาด้วย “ฮูหยิน ท่านไปให้ช่างทำรองเท้าให้ใหม่ตั้งแต่เมื่อใดกัน ทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่องล่ะเจ้าคะ” “ใช่ที่ไหนกัน มีคนนำมาให้ข้าน่ะ” “หรือว่าคนผู้นั้นคือท่านโหว” “เจ้ารู้ได้อย่างไร” “เมื่อไม่กี่วันก่อนบ่าวคนสนิทของท่านโหวมาถามขนาดเท้าของท่านกับข้า จะเป็นผู้ใดได้ล่ะเจ้าคะหากไม่ใช่ท่านโหว” “หวนปี้ เจ้าช่างฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก” “เพราะข้าได้ท่านมานั่นแหละเจ้าค่ะ” “งั้นรึ” สองนายบ่าวหัวเราะขบขัน “ฉีเยว่ เจ้าบอกพ่อบ้านต่งแล้วหรือยังว่าพรุ่งนี้ให้เตรียมรถม้าไว้ให้ข้าด้วย” “บ่าวบอกเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” “ทำไมเจ้าถึงได้ทำสีหน้าเคร่งเครียดเช่นนี้ มีเรื่องอะไรงั้นหรือ” “บ่าวแค่รู้สึกกังวลนิดหน่อยเจ้าค่ะ” “เจ้าจะกังวลไปไย พรุ่งนี้ข้ากับหวนปี้แค่ไปดูทำเลเปิดร้านใหม่เท่านั้นเอง” “แต่ฮูหยินออกไปโดยไร้คนติดตามนะเจ้าคะ จะไม่ให้เป็นห่วงได้เ
“วางใจเถิดเจ้าค่ะ แม้คนของข้าจะทำงานพลาดก็ไม่อาจสาวถึงพวกเราได้” “เช่นนั้นข้าจะลองเชื่อใจเจ้าดู” “หมดธุระแล้ว ข้าขอตัวก่อน” “ฮูหยิน ท่านเชื่อใจแม่นางเหลียวจริงหรือ หากแผนที่นางวางไว้ไม่สำเร็จล่ะเจ้าคะ” “แม่นมจ้าว เรื่องนี้ข้าคิดหาทางออกไว้อยู่แล้ว ถ้าแผนของนางล้มเหลวข้าก็แค่ปลิดชีพนางทิ้งเสีย เท่านี้เรื่องทุกอย่างก็ไม่อาจสาวมาถึงข้าได้” “ฮูหยิน ท่านช่างฉลาดนัก” “เจ้าเพิ่งรู้หรือ ฮ่า ๆ ๆ ๆ” นางหัวเราะร่าราวกับเป็นผู้คุมเกม ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น ตั้งแต่เปิดหอเหม่ยปี้มาร้านปักเย็บของเว่ยซูเหม่ยก็ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะลายปักที่งดงามเป็นเอกลักษณ์ช่วยดึงดูดชนชั้นสูงเข้ามาเป็นลูกค้าได้ไม่ขาดสายจนทำให้นางมีรายได้มากพอที่จะเปิดร้านปักเย็บอีกแห่งแถวชานเมือง “ขออภัยที่ข้ามาช้า” “ไม่เป็นไรเลยเจ้าค่ะ คุณชาย ที่ร้านยุ่งพอดี” “ถึงอย่างไรข้าก็มาสายจนพลาดพาแม่นางไปหาทำเลเปิดร้านอีกแห่ง” “เรื่องเล็กน้อยเท่านี้เอง ไว้โอกาสหน้าค่อยไปก็ได้เจ้าค่ะ” “แล
สืออันหลงยอมปล่อยมือจากชายหนุ่มตรงหน้า หลังข่มอารมณ์โกรธของตัวเองไว้ได้แล้ว “คุณชายหยวน เจ็บตรงไหนหรือไม่” “ข้าไม่เป็นไร” “คุณชาย ท่านกลับไปก่อนเถิด” “แล้วข้าจะมาใหม่ ส่วนภาพวาดฝากแม่นางดูแลด้วยนะขอรับ” “ข้าจะเก็บรักษาอย่างดีเจ้าค่ะ” ได้ยินดังนั้นหยวนชางเจี้ยนจึงกลับไปแต่โดยดี ผิดกับเขาที่มองมาที่นางราวกับโกรธแค้นนางนักหนา “นี่สินะ คือเหตุผลที่เจ้าอยากหย่ากับข้าใจจนจะขาด” เขากัดฟันพูด ยามอยู่ด้วยกันตามลำพังในเรือนของนาง ในหูยังได้ยินน้ำเสียงอ่อนนุ่มเป็นห่วงเป็นใยบุรุษอื่นที่ไม่ใช่เขา “ข้าไม่ยักรู้ว่าท่านโหวผู้สูงส่งอย่างท่านจะรู้จักพาลด้วย ข้าจะบอกท่านให้ว่าเรื่องนี้หาได้เกี่ยวข้องกับคุณชายหยวน” “ไหนเจ้าบอกว่ารักข้า แล้วทำไมเจ้าถึงได้เปลี่ยนใจเร็วเช่นนี้” “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ตอนนี้ข้าไม่ได้รู้สึกกับท่านเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว ที่จริงข้าต้องขอบคุณท่านโหวที่ทำให้สตรีโง่งมเช่นข้าตาสว่าง” “อย่าพูดเช่นนี้ให้ข้าได้ยินอีก!” “ทำไมหรือเจ้าคะ ท่านจะสั่งกักขังข้างั้นรึ”
หลังจากเว่ยซูเหม่ยหายจากอาการป่วยจึงได้ถามข่าวคราวของฮูหยินเว่ยที่ตนเคยละเลยไปเพราะแต่ก่อนมัวแต่ตกอยู่ในห้วงของความรัก “คนของเราบอกว่าอีกสองวันข้างหน้านางจะกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมเจ้าค่ะ” “ตระกูลเหลียงน่ะหรือ” “เจ้าค่ะ” “เช่นนั้นข้าควรเตรียมของขวัญต้อนรับนางกลับบ้านเสียหน่อย เจ้าว่าดีรึไม่” “ฮูหยิน คิดจะทำอะไรหรือเจ้าคะ” นางกระซิบข้างหูสาวใช้คนสนิท “ฝากเจ้าไปจัดการด้วยก็แล้วกัน จำไว้ว่าอย่าฆ่านางเป็นอันขาด” “ทำไมล่ะเจ้าคะ” “เพราะข้าจะทำให้นางมีชีวิตอยู่ด้วยความทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่าการตายซะอีก พอถึงตอนนั้นข้าจะให้นางเลือกว่าอยากอยู่หรือตายมากกว่ากัน” คล้อยหลังหวนปี้ไปได้ไม่นานเหลียวลี่อินก็โผล่หน้ามาหานางถึงที่เรือน “เจ้าหายป่วยแล้วมิใช่รึ แล้วใดต้องให้ท่านโหวมาหาที่เรือนทุกวันด้วยเล่า” “พูดเรื่องอะไรของเจ้า” “นี่อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ หึ น่าขันนัก!” “เหลียวลี่อิน เจ้าอยากพูดอะไรก็พูดมาตามตรงเถิด ไม่จำเป็นต้องแกล้งพูดหลบเลี่ยงไปมาเช่นนี้” “
“เจ้ารีบไปเรียกท่านหมอมาดูอาการฮูหยินเร็วเข้า! ฮูหยินท่านอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะเจ้าคะ” ท้ายประโยคหันไปพูดกับเว่ยซูเหม่ยที่นอนตัวสั่นอยู่ทั้งน้ำตา “ข้ามาขอพบท่านโหว” ฉีเยว่เอ่ยบอกสาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าเรือน “เจ้าคิดว่าท่านโหวเป็นผู้ใด ถึงได้คิดมาขอพบง่าย ๆ เช่นนี้” “ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกท่านโหว ได้โปรดเถิด” “กลับไปเสีย! ตอนนี้ท่านโหวกำลังยุ่งอยู่” เสียงสาวใช้ทั้งสองทะเลาะกันเสียงดังจนได้ยินไปถึงด้านใน ท่านโหวหนุ่มจึงได้ให้หย่งเจิ้งออกมาดู “พวกเจ้าสองคนเอะอะโวยวายอะไรกัน ไม่รู้รึว่าท่านโหวต้องใช้สมาธิ” “ก็นางน่ะสิเจ้าคะ ข้าบอกไปหลายหนแล้วว่าท่านโหวกำลังยุ่ง แต่นางไม่ยอมฟัง” “ข้ามีเรื่องด่วนที่ต้องบอกท่านโหว” “เจ้าคือสาวใช้ของเรือนฮูหยินนี่ มีเรื่องใดเกิดขึ้นงั้นรึ” “คือว่า ตอนนี้ฮูหยินไม่สบายอาการหนักเอาการ จำเป็นต้องเรียกท่านหมอมาดูอาการ แต่นางไม่ยอมให้ข้าเข้าไป” “วางใจเถิด ข้าจะไปบอกท่านโหวให้ประเดี๋ยวนี้” “ว่าอย่างไร ข้างนอกเกิดเรื่องอันใด” “ส







