LOGIN
ยามนี้เวลาเวียนมาถึงยามซวี (19.00 - 20.59 น.) แล้ว ทว่าสายฝนภายนอกยังคงโปรยปรายกระหน่ำตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย หลิงหลิงเห็นว่าวันนี้อากาศหนาวเย็นจึงจัดการจุดไฟที่เตาผิงเพื่อให้ความอบอุ่นแก่เเจ้านายสาว ไม่นานพ่อบ้านหลิวก็เดินมาเคาะห้องรายงานว่าท่านแม่ทัพเปาอี้ส่วงต้องเดินทางเข้าวังหลวงเป็นการด่วน
"เข้าวังหลวงงั้นหรือ ในยามนี้เนี่ยนะ?" สวีอี้ฝานถามด้วยความสงสัย นึกแปลกใจไม่น้อยที่ฮ่องเต้เรียกขุนนางเข้าวังหลวงในยามนี้ ต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นเป็นแน่
"เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพยังบอกอีกว่าให้ฮูหยินทานมื้อเย็นและเข้านอนก่อนได้เลย ไม่ต้องรอท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ"
สวีอี้ฝานผงกศีรษะรับ ในใจอดเป็นห่วงหวางอ๋องไม่ได้ เรื่องที่ฮ่องเต้ทรงเรียกประชุมด่วนจะเป็นเรื่องอะไรกันหนอ
"ฮูหยินจะรับมื้อเย็นเลยหรือไม่เจ้าคะ"
"อืม ดีเหมือนกันข้าหิวแล้ว" ตอบพลางใช้มือลูบท้องป้อยๆ หากวันนี้เปาอี้ส่วงไม่ได้กลับจวนก็ดีเหมือนกัน นางจะหลบเขาอยู่ในห้องนี้และนอนหลับอย่างสบายใจ
หลังจากที่ประมุขของจวนอนุญาต สวีอี้ฝานก็ใช้เวลาเกือบทั้งวันในการค้นหาห้องที่นางต้องการ ทว่าสวีอี้ฝานเป็นคนฉลาด นางตั้งใจละเว้นห้องที่ใหญ่ที่สุดของเรือน เหตุเพราะคิดว่าห้องนั้นจะต้องเป็นห้องของท่านแม่ทัพเปาเป็นแน่
หลังจากเดินหาอยู่นานสุดท้ายก็ได้ห้องที่ตรงกับความต้องการ ห้องนี้อยู่สุดมุมขวาทางด้านทิศเหนือของจวน มองจากหน้าต่างลงไปแลเห็นสวนอุทยานร่มรื่นสบายตา
นั่งผิงไฟได้เพียงไม่นานหลิงหลิงก็เดินกลับมาพร้อมกับสาวใช้อีกสองคน ในมือของพวกนางยกสำรับอาหารเข้ามา ก่อนจะวางลงบนโต๊ะกลมพร้อมขยับเข้าไปหยุดยืนรอรับใช้อยู่ที่มุมห้อง
ยามนี้สวีอี้ฝานหิวจนไส้กิ่ว ทันทีที่เห็นอาหารตรงหน้านางจึงรีบส่งอาหารเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆด้วยความหิว ทว่าทันทีที่ได้รับรู้ถึงรสชาติอาหารนางก็นิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนจะไอโขลกสำลักจนหน้าดำหน้าแดง น้ำหูน้ำตาไหลออกมาอย่างน่าสงสาร
"ฮูหยินเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ" หลิงหลิงรีบเดินเข้ามารินน้ำชาใส่จอกยื่นให้เจ้านายพลางใช้มือลูบแผ่นหลังบางไปมา
"สงวนกิริยาไว้บ้างก็ดีนะเจ้าคะฮูหยิน ที่นี่มิใช่จวนสกุลสวี" สาวใช้คนหนึ่งกล่าวขึ้นก่อนจะหันไปหัวเราะกับสาวใช้อีกคน สวีอี้ฝานเงยหน้าขึ้นแลเห็นพวกนางกำลังส่งสายตามองมาด้วยความขบขันก็รับรู้ได้ทันทีว่านางกำลังโดนแกล้ง
"บังอาจ!" หลิงหลิงตวาดขึ้นเสียงดัง หันขวับไปมองคนพูดอย่างเอาเรื่อง แต่ก่อนที่นางจะทันได้ขยับตัวก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้นเสียก่อน
ปึง!
เสียงตบโต๊ะทำให้สาวใช้ทั้งสองคนถึงกับสะดุ้งโหยง พวกนางรีบก้มหน้างุดไม่กล้าสบสายตา
"เจ้าชื่ออะไร"
"เฉียวเฉียวเจ้าค่ะ" สาวใช้ที่เป็นหัวโจกคนแรกกล่าวขึ้น น้ำเสียงสั่นไหวเล็กน้อย
"แล้วเจ้าล่ะ" สวีอี้ฝานชี้นิ้วไปยังสาวใช้อีกคน
"เพ่ยหลินเจ้าค่ะ" กล่าวพร้อมเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นสายดุๆกำลังจ้องมองมาก็สะดุ้งโหยงพลางก้มหน้าหลบสายตาเช่นเดิม
"การที่ได้กลั่นแกล้งข้าคงทำให้พวกเจ้าสนุกสนานมากสินะ" มือบางยกขึ้นกอดอก ผุดลุกขึ้นเดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของพวกนาง
"บ่าวไม่ได้กลั่นแกล้งฮูหยินเจ้าค่ะ" เฉียวเฉียวปฏิเสธเสียงแข็ง ท่าทางอ่อนน้อมทว่าหาได้มีความเคารพหวั่นเกรงสวีอี้ฝานเท่าใดนัก
"ไม่ได้แกล้งงั้นหรือ ดียิ่ง! เช่นนั้นพวกเจ้าเอาอาหารพวกนี้ไปกินเสียสิ"
"หามิได้เจ้าค่ะ พวกบ่าวเป็นแค่บ่าวจะให้ทานสำรับของเจ้านายได้อย่างไรกัน" เพ่ยหลินปฏิเสธอีกคน แววตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
"ข้าไม่ได้ขอแต่นี่เป็นคำสั่ง หากพวกเจ้าบอกว่าไม่ได้กลั่นแกล้งข้าก็จงมาลองกินอาหารพวกนี้ดูสิ หากพวกเจ้าทนได้และกินจนหมด ข้าจะไม่เอาเรื่อง" ดวงหน้างามก้มต่ำลงมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง วางมือลงบนไหล่บางของเฉียวเฉียวกับเพ่ยหลินเบาๆเป็นการกดดันทางอ้อม
สวีอี้ฝานสังเกตเห็นสาวใช้ทั้งสองคนลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนที่พวกนางจะหันไปพยักหน้าให้กันและเดินมานั่งอยู่ที่โต๊ะกลม
ทว่าเพียงแค่ส่งอาหารเข้าปาก พวกนางก็ไอโขลกสำลักออกมาอย่างหนัก อาการเฉกเช่นเดียวกับที่สวีอี้ฝานเป็นเมื่อครู่นี้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
"ฮูหยินเจ้าขา พวกบ่าวผิดไปแล้ว อภัยให้บ่าวด้วยเถิดเจ้าค่ะ" ใบหน้าของเพ่ยหลินและเฉียวเฉียวแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเกิดจากการร้องไห้หรือเป็นเพราะรสชาติอาหารที่เผ็ดจนแสบท้องกันแน่
"ใครสั่งให้เจ้าทำ" สวีอี้ฝานไม่ตอบแต่กลับเป็นฝ่ายยิงคำถามใส่พวกนางแทน นางมั่นใจว่าลำพังแค่สาวใช้ธรรมดาคงไม่กล้าคิดวางแผนทำร้ายฮูหยินได้เช่นนี้หรอก
เรื่องนี้ต้องมีคนบงการซึ่งสวีอี้ฝานก็พอจะเดาได้ว่านางเป็นผู้ใด แต่อย่างไรเสียนางต้องทำให้สาวใช้ทั้งสองคนนี้เป็นฝ่ายยอมเปิดปากยอมรับเสียก่อน จะได้มีหลักฐานนำไปฟ้องเปาอี้ส่วงได้
"เอ่อ คือว่า..." สาวใช้ทั้งสองคนหันมาสบกันกล่าวด้วยน้ำเสียงอึกอัก
"ข้าถามว่าใครสั่งให้พวกเจ้าทำ!" เสียงตวาดที่ดังขึ้นทำให้เฉียวเฉียวกับเพ่ยหลินถึงกับน้ำตาร่วง ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดจะกลั้น ยามนี้ฮูหยินช่างน่ากลัวเกินเหลือ ก็ไหนท่านป้าหนิงเชาบอกว่าฮูหยินเป็นพวกหัวอ่อน ไม่สู้คนอย่างไรเล่า พวกนางไม่น่าเชื่อท่านป้าหนิงเชาเลย
"มะ ไม่มีเจ้าค่ะ พวกบ่าวเป็นคนทำเอง" ในที่สุดเพ่ยหลินก็เปิดปากยอมพูด แต่วาจาของนางไม่ได้ทำสวีอี้ฝานเชื่อแต่อย่างใด
"ดี! ไม่ยอมรับใช่หรือไม่ เช่นนั้นพวกเจ้าก็จงกินอาหารพวกนี้ให้หมดเสีย หากกินไม่หมดห้ามผู้ใดก้าวออกจากห้องนี้แม้แต่คนเดียว" สวีอี้ฝานสั่งการเสียงแข็ง จะหาว่านางใจร้ายไม่ได้นะ นางจะร้ายกับคนที่สมควรร้ายด้วยเท่านั้น
เพราะความเกรงกลัวฮูหยินผู้เฒ่ามันค้ำคอทำให้เฉียวเฉียวกับเพ่ยหลินไม่ยอมเปิดปากบอกความจริง พวกนางจำต้องกินอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะกลมจนหมด ก่อนจะถูกไล่ออกมาจากห้องด้วยสภาพหน้าแดงก่ำ ปากบวมเจ่อราวกับโดนผึ้งต่อย
"ฝานฝานข้าหิวแล้วรีบไปกินข้าวกันเถิด" เขากล่าวเสียงสั่นก่อนรีบสาวเท้าเดินออกมาจากห้อง สวีอี้ฝานทำหน้ามุ่ยอย่างไม่เข้าใจนัก เขาไม่ต้องการนางแล้วหรือ ไยถึงทำท่าทางรังเกียจไม่อยากแตะต้องตัวนางเช่นนั้นเล่าทว่านางยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ สวีอี้ฝานรีบก้าวยาวๆตามสามี จับมือหนาของเขาเอาไว้และเดินไปตรงระเบียงหน้าหอนอนที่มีโต๊ะกลมวางอยู่ บนโต๊ะถูกจุดด้วยเทียนเล่มเล็กให้ความสว่างไสวอย่างสลัวๆ ที่ตรงนี้บรรยากาศดีสามารถมองเห็นวิวของสวนอุทยานในตอนกลางคืนได้อย่างชัดเจน"ท่านพี่นั่งก่อนเจ้าค่ะ" หญิงสาวผายมือให้เขาอย่างเชื้อเชิญ เมื่อเห็นชายหนุ่มนั่งลงแล้ว นางจึงเดินกรีดกรายไปนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของเขา"วันนี้เป็นวันพิเศษอะไรหรือเปล่า" เปาอี้ส่วงถามด้วยความสงสัย มองบรรยากาศรอบกายด้วยความสับสน วันนี้หาใช่วันเกิด หรือวันครบรอบแต่งงานของเขาและนาง เหตุใดนางถึงทำเหมือนว่าวันนี้มันเป็นวันพิเศษ"ถ้าไม่ใช่วันพิเศษข้าจะกินข้าวกับท่านพี่ด้วยบรรยากาศแบบนี้ไม่ได้หรือเจ้าคะ" มือบางเท้าคางจดจ้องไปยังคนตัวโตตาแป๋ว ท่าทางน่ารักน่าชังจนทำให้คนมองใจสั่นสะท้าน"แน่นอนว่าย่อมได้ ฝานฝานก็รู้ว่าข้าตามใจเจ้าเสมอ" ชายหนุ่มเ
หลายเดือนต่อมาสวีอี้ฝานได้ให้กำเนิดบุตรชายฝาแฝดแก่เปาอี้ส่วง สร้างความปีติยินดีให้แก่คนสกุลเปาและคนสกุลสวีอย่างมาก เจ็ดวันหลังจากที่เจ้าก้อนแป้งคลอด สวีอี้ฝานก็ได้รับของขวัญที่ถูกส่งมาจากหวางจื่อชางอ๋อง นับตั้งแต่ที่เขาจากไปท่องยุทธภพ นางก็ไม่ได้พบเจอกับเขาอีกเลย เปาอี้ส่วงจัดการเปิดห่อของขวัญอย่างระมัดระวังพบว่ามันคือป้ายหยกสลักลวดลายมงคลหาใช่สิ่งของที่ใช้เกี้ยวสตรีอย่างที่เขานึกกลัวจึงค่อยโล่งใจไปบ้าง แม้ตัวของหวางจื่อชางอ๋องจะจากไป แต่เปาอี้ส่วงรู้ว่าอย่างไรเสียคนผู้นั้นไม่มีทางตัดใจจากสวีอี้ฝานได้โดยง่าย เขาจึงยังมีความหวาดระแวงเกรงว่าหวางจื่อชางอ๋องจะกลับมาแย่งชิงสวีอี้ฝานไปจากเขาอยู่ ยามนี้เจ้าเด็กแฝดทั้งสองคนอายุได้หนึ่งหนาวแล้ว เป็นเด็กอ้วนท้วนรูปร่างแข็งแรง พวกเขามีชื่อว่าเปาอี้เฉิงและเปาอี้หาน ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งได้เห็นพัฒนาการทางด้านหน้าตาทำให้ได้รู้ว่าเด็กๆทั้งสองคนถอดแบบจากคนเป็นพ่อแม่มาคนละครึ่ง ดูเป็นความแตกต่างที่สร้างสรรค์กันอย่างลงตัว คนที่ดูจะดีใจพอๆกับเปาอี้ส่วงที่เจ้าก้อนแป้งทั้งสองได้ถือกำเนิดขึ้นดูจะไม่พ้นเป็นฮูหยินผู้เฒ่า นับตั้งแต่ตอนที่เด็กๆเกิดมาจนถึงตอนนี้
"ว้าย! ฝานฝานขึ้นไปทำอะไรบนนั้นรีบลงมาเถิด เดี๋ยวจะตกลงมานะ อันตรายจริงๆ!""ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะท่านย่า แต่ก่อนข้าเคยขึ้นไปสูงกว่านี้ด้วยซ้ำ" หญิงสาวตอบอย่างไม่สะทกสะท้านกับท่าทีตกใจของจางเข่อซินยามนี้ความสัมพันธ์ของคนสกุลสวีกับฮูหยินผู้เฒ่าดีขึ้นมาก นับว่าเปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือเลยทีเดียว ยิ่งเมื่อฮูหยินผู้เฒ่ารู้ว่ายามนี้สวีอี้ฝานกำลังตั้งครรภ์ นางรู้สึกดีใจจนร้องไห้ออกมา หากเจ้าก้อนแป้งเกิด นางก็จะกลายเป็นท่านทวด เมื่อนึกถึงเจ้าก้อนกลมที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของคนสกุลเปาส่วนหนึ่งก็ยิ่งรู้สึกปลื้มอกปลื้มใจ นางมักจะสรรหาของกินอร่อยๆหรือยาบำรุงชั้นเลิศมาให้สวีอี้ฝานอยู่เสมอ ดูเหมือนว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะยินดียิ่งกว่าคนเป็นแม่อย่างนางเสียอีก"ตายแล้ว! หนิงเชา ข้าจะทำอย่างไรดี หากฝานฝานตกลงมาหลานข้าคงไม่รอดแน่ โอย" ร่างบางของจางเข่อซินถึงกับซวนเซทำท่าจะล้มลง ยิ่งได้เห็นตอนที่สวีอี้ฝานกระโดดขึ้นเกาะลำต้นไม้ใหญ่สลับต้นกันไปมา นางก็รู้สึกใจสั่นราวกับจะหลุดออกมานอกอก ห่วงทั้งเจ้าก้อนกลมที่อยู่ในท้องและแม่ของเจ้าก้อนกลมที่ดูจะดื้อรั้นมากเหลือเกินทว่าเพียงแค่ชั่วอึดใจเดียวก็มีสายลมพัดวูบผ่าน
ยามนี้สวีอี้ฝานตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว หน้าท้องกลมนูนขยายใหญ่ออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ตอนที่ส่องกระจกทองเหลืองนางได้แต่ทอดถอนลมหายใจออกมาเบาๆ ไม่นึกเลยว่าการตั้งครรภ์ช่างลำบากยากเข็ญยิ่งนัก นอกจากรูปร่างที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมากแล้ว เวลาจะเดิน นั่งหรือนอนก็ไม่รวดเร็วเหมือนเมื่อก่อน ดีแต่ว่าเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น อาการแพ้ท้องที่มีค่อยๆทุเลาลงไปมากแล้ว จากเดิมที่มักจะคลื่นเหียนเวลาที่ได้กลิ่นอาหาร แต่ตอนนี้นางกลับเจริญอาหารมากกว่าเดิม เพราะตอนนี้กำลังตั้งครรภ์ เปาอี้ส่วงจึงสั่งห้ามไม่ให้นางออกไปข้างนอกโดยที่ไม่มีเขาไปด้วย ทุกๆวันสวีอี้ฝานจึงได้แต่นั่งๆนอนๆอยู่ที่จวนสกุลเปาอย่างเบื่อหน่าย ยังดีที่ว่าหลี่อ้ายซีผู้เป็นมารดากับสวีหยางโปผู้เป็นบิดามักจะแวะเวียนมาเยี่ยมนางอยู่บ่อยๆ "ฮูหยินเจ้าขา ผลไม้มาแล้วเจ้าค่ะ" หลิงหลิงเดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้ในมือถือถาดใส่อาหารเข้ามาวางไว้ที่โต๊ะกลม สวีอี้ฝานที่นอนเล่นอยู่บนเตียงค่อยๆหยัดกายลุกขึ้น "หลิงหลิงเอามาให้ข้าที่เตียง" นางเอ่ย หลิงหลิงจึงรีบยกมาให้ตามคำบอก ร่างบางกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง บนตักวางถาดใส่ผลไม้พลางหยิบมันเข้าปาก ทว่ากินไปได้
ระหว่างที่สวีอี้ฝานกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นปานใจจะขาด ประตูห้องที่ปิดสนิทลงในตอนแรกก็ถูกเปิดออก ร่างสูงของเปาอี้ส่วงก้าวเข้ามาร่างกายเต็มไปด้วยเกล็ดขาวของหิมะ"ทุกคนมาทำอะไรที่ห้องของข้าขอรับ" ชายหนุ่มถามด้วยความงุนงง ก่อนจะรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปหาภรรยา เมื่อได้เห็นหยาดน้ำตาของนาง หัวใจของเขาราวถูกบีบรัดอย่างรุนแรง"ฝานฝานเป็นอะไรไป ใครรังแกเจ้า" เขาถามพลางหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่ากับหนิงเชา"ข้าเปล่านะ" จางเข่อซินรีบส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะหันไปพยักเพยิดกับหนิงเชาเดินออกไปจากห้องเพื่อปล่อยให้สามีภรรยาได้อยู่ด้วยกันตามลำพังสวีอี้ฝานปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างลวกๆ มองสามีอย่างงอนๆ เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเขาพลางส่งสายตามองสำรวจทั่วตัว"ท่านพี่ท่องยุทธภพกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ""ท่องยุทธภพอะไรกัน" คิ้วกระบี่ขมวดเข้าหากัน เปาอี้ส่วงถามด้วยความไม่เข้าใจ"ท่านพี่หนีข้ามาจากจวนสกุลสวีเพราะจะออกไปท่องยุทธภพมิใช่หรือเจ้าคะ""ใครบอกเจ้ากัน""หมิงหมิงบอกเจ้าค่ะ"เปาอี้ส่วงได้ยินเช่นนั้น เขาเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นด้วยความขบขัน เขาบอกสวีชางหมิงว่าจะไปส่งหวางจื่อชางอ๋องไปท่องเที่ยวทั่วยุทธภพต่างหากไ
หญิงสาวรับแผ่นกระดาษใบเล็กมาจากสาวใช้ก่อนจะเปิดคลี่ออกอ่าน เนื้อความในจดหมายเปาอี้ส่วงเขียนถึงนางไว้ว่า'ฝานฝาน เจ้าคงเกลียดและผิดหวังในตัวข้ามากที่ข้าไม่เชื่อใจเจ้า ข้าผิดไปแล้วจริงๆ ทว่าข้ารู้ว่าต่อให้ข้ากล่าวคำขอโทษซ้ำๆเจ้าก็คงยากที่จะให้อภัยข้า เดิมทีข้าคิดว่าหากข้าง้องอนเจ้า เจ้าคงจะให้อภัยข้าได้ไม่ยาก แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าข้าคิดผิด ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้ารำคาญ ต่อจากนี้ไปข้าจะไม่มากวนใจเจ้าอีก'สวีอวี้ฝานขมวดคิ้วมุ่น "คนบ้า! ข้ารำคาญท่านเสียที่ไหนกัน แค่นี้ก็ดูไม่ออกหรือว่าข้าแกล้งทำเพราะอยากทดสอบความอดทนของท่านเท่านั้น"หญิงสาวรู้สึกผิดหวังไม่น้อยที่เปาอี้ส่วงถอดใจจากนางอย่างง่ายดาย แต่เมื่อเห็นถ้อยคำทิ้งท้ายที่เขาเขียนไว้ในจดหมาย จากความรู้สึกผิดหวังน้อยใจก็เปลี่ยนเป็นตกใจทันที'เจ้าจะอยู่ในความทรงจำของข้า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นสวีอี้ฝานหรือมู่ฝาน ข้าก็จะรักเจ้าตลอดไป'สวีอี้ฝานรู้สึกใจหายวาบ นิ่งอึ้งไปหลายวินาที จ้องข้อความในจดหมายตาไม่กะพริบ ทางฝ่ายหลิงหลิงเห็นเจ้านายเงียบไปนางก็รู้สึกใจคอไม่ดีเท่าใดนัก นางสงสารฮูหยินเหลือเกิน อีกทั้งยังไม่เข้าใจท่านแม่ทัพเปาว่าเหตุใดเขาถึงทอดทิ้งฮู







