ระหว่างทางเดินกลับเรือนใหญ่ จู่ๆ สายฝนก็กระหน่ำโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า หากยังดีที่เรือนเล็กกับเรือนใหญ่มีระเบียงที่ทอดยาวเชื่อมเรือนทั้งสองหลังเอาไว้ด้วยกันทำให้เปาอี้ส่วงและสวีอี้ฝานไม่ต้องลุยฝนกลับเรือน
"ท่านพี่" ชายเสื้อของคนตัวโตถูกดึงกระตุกเบาๆ จากคนที่เดินตามหลัง เปาอี้ส่วงจึงหยุดเดินหันกลับมาหาคนที่เป็นต้นเหตุ "ท่านย่าเป็นคนเข้มงวด หากยังไม่ชินจะรู้สึกว่าเป็นคนดุ เจ้าอย่าได้ถือสานางเลย" เปาอี้ส่วงคิดว่าสวีอี้ฝานเป็นกังวลเกี่ยวกับฮูหยินผู้เฒ่า เขาจึงอธิบายให้นางเข้าใจ "เรื่องนั้นข้าไม่สนใจหรอกเจ้าค่ะ อย่างไรเสียก็แยกเรือนกันอยู่ๆ แล้ว" หญิงสาวโบกไม้โบกมือไปมา ไม่ได้มีท่าทีทุกข์อันใดแม้แต่น้อย "แล้วเจ้ามีปัญหาอะไรกัน" ชายหนุ่มถามด้วยความไม่เข้าใจ พลันสีหน้าของนางก็ค่อยๆ เจื่อนลง "ท่านพี่บอกว่าคืนนี้จะอุ่นเตียงกับข้านั้นเป็นเรื่องจริงหรือเจ้าคะ" คิ้วกระบี่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย นางไม่ได้เป็นกังวลเรื่องฮูหยินผู้เฒ่า แต่กลับเป็นกังวลเรื่องอุ่นเตียงกับเขางั้นหรือ "ไยถึงถามเช่นนั้น" เปาอี้ส่วงยกมือขึ้นกอดอก ถามเสียงเข้ม "ก็ถ้าหากท่านพี่จะร่วมรักกับข้าวันไหน ท่านพี่ก็ต้องบอกข้าล่วงหน้าสิเจ้าคะ ข้าจะได้เตรียมตัวไว้" 'นางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์!เจ้าจะหาทางหลบเลี่ยงข้าล่ะสิไม่ว่า' ชายหนุ่มคิดในใจ เขายังจำเหตุการณ์เมื่อคืนที่นางวางยานอนหลับเขาได้ และหากวันนี้นางทำอีก เขาจะจัดการวางแผนตลบหลังนางเสีย! "หากวันไหนข้าคิดอยากจะร่วมรักกับเจ้า ข้าต้องบอกเจ้าล่วงหน้าด้วยหรือ" เขาถามเสียงสูง พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ การร่วมรักกับเขามันน่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ "ใช่สิเจ้าคะ" สวีอี้ฝานผงกศีรษะรับหงึกๆ "พอเถิด ข้าไม่อยากพูดเรื่องนี้กับเจ้าแล้ว" ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความรำคาญ ขายาวก้าวดุ่มๆ เดินจากไป ยิ่งคุยกับนางเขาก็ยิ่งปวดหัว แต่สวีอี้ฝานไม่ยอมแพ้ นางรีบสาวเท้าวิ่งตามไปทันที "อีกเรื่องเจ้าค่ะ" "มีอะไรอีก" เขาถามด้วยความหงุดหงิด นางจะอะไรกับเขานักหนา แต่กระนั้นก็ยอมรับฟังแต่โดยดี "ที่เรือนใหญ่ของสกุลเปา ข้านับดูห้องหับคร่าวๆ นับว่ามีเกือบยี่สิบห้อง จะเป็นอะไรหรือไม่ หากข้าจะขอท่านพี่สักหนึ่งห้องให้ห้องนั้นเป็นห้องส่วนตัวของข้าแต่เพียงผู้เดียว" "เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากัน เหตุใดต้องแยกห้องกันด้วยเล่า" "อ้าว บางครั้งคนเราก็ต้องการเวลาส่วนตัวนะเจ้าคะ ท่านพี่ก็ถามแปลกๆ" นางไม่ได้ต้องการเวลาส่วนตัวจริงๆหรอก แค่อยากหลบเลี่ยงเขาก็เท่านั้น 'ข้าน่ะหรือแปลก คนที่แปลกคือเจ้าล่ะสิไม่ว่า' เปาอี้ส่วงคิดในใจ "เอาเถิด อยากได้ห้องไหนก็ไปเลือกเอาก็แล้วกัน" กล่าวจบเปาอี้ส่วงก็เดินจากไป ทว่าเพียงแค่เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นร่างเล็กของสวีอี้ฝานวิ่งแจ้นนำหน้าเขาไปเสียแล้วด้วยเกรงว่าเขาจะเปลี่ยนใจก่อน ขณะที่บรรยากาศภายในเรือนเล็กเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด หลังจากที่เปาอี้ส่วงและสวีอี้ฝานกลับไป ทั้งจางเข่อซินและหนิงเชาบ่าวรับใช้คนสนิทของนางก็หารือกันอย่างคร่ำเคร่ง "ดูเหมือนว่าเปาฮูหยิน เอ๊ย บุตรสาวสกุลสวีจะเป็นสตรีเจ้ามารยานะเจ้าคะ" "ข้าเองก็คิดเช่นนั้น นางไม่ธรรมดาเหมือนอย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆด้วย หลานชายของข้านั่นก็อีกคน หลงนางจนหัวปักหัวปำไปแล้วสิท่า มีอย่างที่ไหนกล้าออกหน้ารับแทนนาง" มือบางกำเข้าหากันพลางทุบลงไปบนพนักวางแขนเสียงดังตุ้บด้วยความโกรธเคือง ในวันที่หวางฮ่องเต้ทรงประกาศสมรสพระราชทานระหว่างเปาอี้ส่วงกับบุตรสาวสกุลสวี นางได้ส่งคนไปสืบเกี่ยวกับนิสัยใจคอของสตรีผู้นั้นพบว่านางเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบเข้าสังคม ชอบนอนตื่นสาย และชอบแต่งกายงดงามเดินกรีดกรายไปมาอยู่ที่จวน สตรีขี้เกียจสันหลังยาวเช่นนั้นไม่เหมาะสมกับฐานะฮูหยินสกุลเปาเลยแม้แต่น้อย "เป็นเช่นนี้แล้วฮูหยินจะทำอย่างไรต่อไปเจ้าคะ" หนิงเชายื่นหน้าเข้ามาใกล้ถามด้วยความใคร่รู้ "ไม่ต้องห่วงหรอก อย่างไรเสียคนที่ข้าจะยอมรับเป็นหลานสะใภ้ก็มีเพียงหงเอ๋อร์เท่านั้น" ฮูหยินผู้เฒ่าเหยียดยิ้มออกมาเล็กน้อย แผนการร้ายกาจผุดขึ้นมาในหัว รับรองว่าอีกไม่นาน บุตรสาวสกุลสวีจะต้องรีบเก็บข้าวของหอบผ้าหอบผ่อนวิ่งแจ้นกลับจวนสกุลสวีแทบไม่ทันเลยทีเดียว ยามนี้เวลาเวียนมาถึงยามซวี (19.00 - 20.59 น.) แล้ว ทว่าสายฝนภายนอกยังคงโปรยปรายกระหน่ำตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย หลิงหลิงเห็นว่าวันนี้อากาศหนาวเย็นจึงจัดการจุดไฟที่เตาผิงเพื่อให้ความอบอุ่นแก่เเจ้านายสาว ไม่นานพ่อบ้านหลิวก็เดินมาเคาะห้องรายงานว่าท่านแม่ทัพเปาอี้ส่วงต้องเดินทางเข้าวังหลวงเป็นการด่วน "เข้าวังหลวงงั้นหรือ ในยามนี้เนี่ยนะ?" สวีอี้ฝานถามด้วยความสงสัย นึกแปลกใจไม่น้อยที่ฮ่องเต้เรียกขุนนางเข้าวังหลวงในยามนี้ ต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นเป็นแน่ "เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพยังบอกอีกว่าให้ฮูหยินทานมื้อเย็นและเข้านอนก่อนได้เลย ไม่ต้องรอท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ" สวีอี้ฝานผงกศีรษะรับ ในใจอดเป็นห่วงหวางอ๋องไม่ได้ เรื่องที่ฮ่องเต้ทรงเรียกประชุมด่วนจะเป็นเรื่องอะไรกันหนอ "ฮูหยินจะรับมื้อเย็นเลยหรือไม่เจ้าคะ" "อืม ดีเหมือนกันข้าหิวแล้ว" ตอบพลางใช้มือลูบท้องป้อยๆ หากวันนี้เปาอี้ส่วงไม่ได้กลับจวนก็ดีเหมือนกัน นางจะหลบเขาอยู่ในห้องนี้และนอนหลับอย่างสบายใจ หลังจากที่ประมุขของจวนอนุญาต สวีอี้ฝานก็ใช้เวลาเกือบทั้งวันในการค้นหาห้องที่นางต้องการ ทว่าสวีอี้ฝานเป็นคนฉลาด นางตั้งใจละเว้นห้องที่ใหญ่ที่สุดของเรือน เหตุเพราะคิดว่าห้องนั้นจะต้องเป็นห้องของท่านแม่ทัพเปาเป็นแน่ หลังจากเดินหาอยู่นานสุดท้ายก็ได้ห้องที่ตรงกับความต้องการ ห้องนี้อยู่สุดมุมขวาทางด้านทิศเหนือของจวน มองจากหน้าต่างลงไปแลเห็นสวนอุทยานร่มรื่นสบายตา นั่งผิงไฟได้เพียงไม่นานหลิงหลิงก็เดินกลับมาพร้อมกับสาวใช้อีกสองคน ในมือของพวกนางยกสำรับอาหารเข้ามา ก่อนจะวางลงบนโต๊ะกลมพร้อมขยับเข้าไปหยุดยืนรอรับใช้อยู่ที่มุมห้อง ยามนี้สวีอี้ฝานหิวจนไส้กิ่ว ทันทีที่เห็นอาหารตรงหน้านางจึงรีบส่งอาหารเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆด้วยความหิว ทว่าทันทีที่ได้รับรู้ถึงรสชาติอาหารนางก็นิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนจะไอโขลกสำลักจนหน้าดำหน้าแดง น้ำหูน้ำตาไหลออกมาอย่างน่าสงสาร "ฮูหยินเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ" หลิงหลิงรีบเดินเข้ามารินน้ำชาใส่จอกยื่นให้เจ้านายพลางใช้มือลูบแผ่นหลังบางไปมา "สงวนกิริยาไว้บ้างก็ดีนะเจ้าคะฮูหยิน ที่นี่มิใช่จวนสกุลสวี" สาวใช้คนหนึ่งกล่าวขึ้นก่อนจะหันไปหัวเราะกับสาวใช้อีกคน สวีอี้ฝานเงยหน้าขึ้นแลเห็นพวกนางกำลังส่งสายตามองมาด้วยความขบขันก็รับรู้ได้ทันทีว่านางกำลังโดนแกล้ง "บังอาจ!" หลิงหลิงตวาดขึ้นเสียงดัง หันขวับไปมองคนพูดอย่างเอาเรื่อง แต่ก่อนที่นางจะทันได้ขยับตัวก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้นเสียก่อน ปึง! เสียงตบโต๊ะทำให้สาวใช้ทั้งสองคนถึงกับสะดุ้งโหยง พวกนางรีบก้มหน้างุดไม่กล้าสบสายตา "เจ้าชื่ออะไร" "เฉียวเฉียวเจ้าค่ะ" สาวใช้ที่เป็นหัวโจกคนแรกกล่าวขึ้น น้ำเสียงสั่นไหวเล็กน้อย "แล้วเจ้าล่ะ" สวีอี้ฝานชี้นิ้วไปยังสาวใช้อีกคน "เพ่ยหลินเจ้าค่ะ" กล่าวพร้อมเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นสายดุๆกำลังจ้องมองมาก็สะดุ้งโหยงพลางก้มหน้าหลบสายตาเช่นเดิม "การที่ได้กลั่นแกล้งข้าคงทำให้พวกเจ้าสนุกสนานมากสินะ" มือบางยกขึ้นกอดอก ผุดลุกขึ้นเดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของพวกนาง "บ่าวไม่ได้กลั่นแกล้งฮูหยินเจ้าค่ะ" เฉียวเฉียวปฏิเสธเสียงแข็ง ท่าทางอ่อนน้อมทว่าหาได้มีความเคารพหวั่นเกรงสวีอี้ฝานเท่าใดนัก "ไม่ได้แกล้งงั้นหรือ ดียิ่ง! เช่นนั้นพวกเจ้าเอาอาหารพวกนี้ไปกินเสียสิ" "หามิได้เจ้าค่ะ พวกบ่าวเป็นแค่บ่าวจะให้ทานสำรับของเจ้านายได้อย่างไรกัน" เพ่ยหลินปฏิเสธอีกคน แววตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น "ข้าไม่ได้ขอแต่นี่เป็นคำสั่ง หากพวกเจ้าบอกว่าไม่ได้กลั่นแกล้งข้าก็จงมาลองกินอาหารพวกนี้ดูสิ หากพวกเจ้าทนได้และกินจนหมด ข้าจะไม่เอาเรื่อง" ดวงหน้างามก้มต่ำลงมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง วางมือลงบนไหล่บางของเฉียวเฉียวกับเพ่ยหลินเบาๆเป็นการกดดันทางอ้อม สวีอี้ฝานสังเกตเห็นสาวใช้ทั้งสองคนลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนที่พวกนางจะหันไปพยักหน้าให้กันและเดินมานั่งอยู่ที่โต๊ะกลม ทว่าเพียงแค่ส่งอาหารเข้าปาก พวกนางก็ไอโขลกสำลักออกมาอย่างหนัก อาการเฉกเช่นเดียวกับที่สวีอี้ฝานเป็นเมื่อครู่นี้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน "ฮูหยินเจ้าขา พวกบ่าวผิดไปแล้ว อภัยให้บ่าวด้วยเถิดเจ้าค่ะ" ใบหน้าของเพ่ยหลินและเฉียวเฉียวแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเกิดจากการร้องไห้หรือเป็นเพราะรสชาติอาหารที่เผ็ดจนแสบท้องกันแน่ "ใครสั่งให้เจ้าทำ" สวีอี้ฝานไม่ตอบแต่กลับเป็นฝ่ายยิงคำถามใส่พวกนางแทน นางมั่นใจว่าลำพังแค่สาวใช้ธรรมดาคงไม่กล้าคิดวางแผนทำร้ายฮูหยินได้เช่นนี้หรอก เรื่องนี้ต้องมีคนบงการซึ่งสวีอี้ฝานก็พอจะเดาได้ว่านางเป็นผู้ใด แต่อย่างไรเสียนางต้องทำให้สาวใช้ทั้งสองคนนี้เป็นฝ่ายยอมเปิดปากยอมรับเสียก่อน จะได้มีหลักฐานนำไปฟ้องเปาอี้ส่วงได้ "เอ่อ คือว่า..." สาวใช้ทั้งสองคนหันมาสบกันกล่าวด้วยน้ำเสียงอึกอัก "ข้าถามว่าใครสั่งให้พวกเจ้าทำ!" เสียงตวาดที่ดังขึ้นทำให้เฉียวเฉียวกับเพ่ยหลินถึงกับน้ำตาร่วง ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดจะกลั้น ยามนี้ฮูหยินช่างน่ากลัวเกินเหลือ ก็ไหนท่านป้าหนิงเชาบอกว่าฮูหยินเป็นพวกหัวอ่อน ไม่สู้คนอย่างไรเล่า พวกนางไม่น่าเชื่อท่านป้าหนิงเชาเลย "มะ ไม่มีเจ้าค่ะ พวกบ่าวเป็นคนทำเอง" ในที่สุดเพ่ยหลินก็เปิดปากยอมพูด แต่วาจาของนางไม่ได้ทำสวีอี้ฝานเชื่อแต่อย่างใด "ดี! ไม่ยอมรับใช่หรือไม่ เช่นนั้นพวกเจ้าก็จงกินอาหารพวกนี้ให้หมดเสีย หากกินไม่หมดห้ามผู้ใดก้าวออกจากห้องนี้แม้แต่คนเดียว" สวีอี้ฝานสั่งการเสียงแข็ง จะหาว่านางใจร้ายไม่ได้นะ นางจะร้ายกับคนที่สมควรร้ายด้วยเท่านั้น เพราะความเกรงกลัวฮูหยินผู้เฒ่ามันค้ำคอทำให้เฉียวเฉียวกับเพ่ยหลินไม่ยอมเปิดปากบอกความจริง พวกนางจำต้องกินอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะกลมจนหมด ก่อนจะถูกไล่ออกมาจากห้องด้วยสภาพหน้าแดงก่ำ ปากบวมเจ่อราวกับโดนผึ้งต่อยหลายเดือนต่อมาสวีอี้ฝานได้ให้กำเนิดบุตรชายฝาแฝดแก่เปาอี้ส่วง สร้างความปีติยินดีให้แก่คนสกุลเปาและคนสกุลสวีอย่างมากเจ็ดวันหลังจากที่เจ้าก้อนแป้งคลอด สวีอี้ฝานก็ได้รับของขวัญที่ถูกส่งมาจากหวางจื่อชางอ๋อง นับตั้งแต่ที่เขาจากไปท่องยุทธภพ นางก็ไม่ได้พบเจอกับเขาอีกเลย เปาอี้ส่วงจัดการเปิดห่อของขวัญอย่างระมัดระวังพบว่ามันคือป้ายหยกสลักลวดลายมงคลหาใช่สิ่งของที่ใช้เกี้ยวสตรีอย่างที่เขานึกกลัวจึงค่อยโล่งใจไปบ้างแม้ตัวของหวางจื่อชางอ๋องจะจากไป แต่เปาอี้ส่วงรู้ว่าอย่างไรเสียคนผู้นั้นไม่มีทางตัดใจจากสวีอี้ฝานได้โดยง่าย เขาจึงยังมีความหวาดระแวงเกรงว่าหวางจื่อชางอ๋องจะกลับมาแย่งชิงสวีอี้ฝานไปจากเขาอยู่ยามนี้เจ้าเด็กแฝดทั้งสองคนอายุได้หนึ่งหนาวแล้ว เป็นเด็กอ้วนท้วนรูปร่างแข็งแรง พวกเขามีชื่อว่าเปาอี้เฉิงและเปาอี้หาน ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งได้เห็นพัฒนาการทางด้านหน้าตาทำให้ได้รู้ว่าเด็กๆทั้งสองคนถอดแบบจากคนเป็นพ่อแม่มาคนละครึ่ง ดูเป็นความแตกต่างที่สร้างสรรค์กันอย่างลงตัว คนที่ดูจะดีใจพอๆกับเปาอี้ส่วงที่เจ้าก้อนแป้งทั้งสองได้ถือกำเนิดขึ้นดูจะไม่พ้นเป็นฮูหยินผู้เฒ่า นับตั้งแต่ตอนที่เด็กๆเกิดมาจนถึงตอนนี้ ฮูห
ยามนี้สวีอี้ฝานตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว หน้าท้องกลมนูนขยายใหญ่ออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ตอนที่ส่องกระจกทองเหลืองนางได้แต่ทอดถอนลมหายใจออกมาเบาๆ ไม่นึกเลยว่าการตั้งครรภ์ช่างลำบากยากเข็ญยิ่งนัก นอกจากรูปร่างที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมากแล้ว เวลาจะเดิน นั่งหรือนอนก็ไม่รวดเร็วเหมือนเมื่อก่อน ดีแต่ว่าเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น อาการแพ้ท้องที่มีค่อยๆทุเลาลงไปมากแล้ว จากเดิมที่มักจะคลื่นเหียนเวลาที่ได้กลิ่นอาหาร แต่ตอนนี้นางกลับเจริญอาหารมากกว่าเดิมเพราะตอนนี้กำลังตั้งครรภ์ เปาอี้ส่วงจึงสั่งห้ามไม่ให้นางออกไปข้างนอกโดยที่ไม่มีเขาไปด้วย ทุกๆวันสวีอี้ฝานจึงได้แต่นั่งๆนอนๆอยู่ที่จวนสกุลเปาอย่างเบื่อหน่าย ยังดีที่ว่าหลี่อ้ายซีผู้เป็นมารดากับสวีหยางโปผู้เป็นบิดามักจะแวะเวียนมาเยี่ยมนางอยู่บ่อยๆ"ฮูหยินเจ้าขา ผลไม้มาแล้วเจ้าค่ะ" หลิงหลิงเดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้ในมือถือถาดใส่อาหารเข้ามาวางไว้ที่โต๊ะกลม สวีอี้ฝานที่นอนเล่นอยู่บนเตียงค่อยๆหยัดกายลุกขึ้น "หลิงหลิงเอามาให้ข้าที่เตียง" นางเอ่ย หลิงหลิงจึงรีบยกมาให้ตามคำบอก ร่างบางกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง บนตักวางถาดใส่ผลไม้พลางหยิบมันเข้าปากทว่ากินไปได้ไม่ก
ระหว่างที่สวีอี้ฝานกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นปานใจจะขาด ประตูห้องที่ปิดสนิทลงในตอนแรกก็ถูกเปิดออก ร่างสูงของเปาอี้ส่วงก้าวเข้ามาร่างกายเต็มไปด้วยเกล็ดขาวของหิมะ"ทุกคนมาทำอะไรที่ห้องของข้าขอรับ" ชายหนุ่มถามด้วยความงุนงง ก่อนจะรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปหาภรรยา เมื่อได้เห็นหยาดน้ำตาของนาง หัวใจของเขาราวถูกบีบรัดอย่างรุนแรง"ฝานฝานเป็นอะไรไป ใครรังแกเจ้า" เขาถามพลางหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่ากับหนิงเชา"ข้าเปล่านะ" จางเข่อซินรีบส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะหันไปพยักเพยิดกับหนิงเชาเดินออกไปจากห้องเพื่อปล่อยให้สามีภรรยาได้อยู่ด้วยกันตามลำพังสวีอี้ฝานปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างลวกๆ มองสามีอย่างงอนๆ เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเขาพลางส่งสายตามองสำรวจทั่วตัว"ท่านพี่ท่องยุทธภพกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ""ท่องยุทธภพอะไรกัน" คิ้วกระบี่ขมวดเข้าหากัน เปาอี้ส่วงถามด้วยความไม่เข้าใจ"ท่านพี่หนีข้ามาจากจวนสกุลสวีเพราะจะออกไปท่องยุทธภพมิใช่หรือเจ้าคะ""ใครบอกเจ้ากัน""หมิงหมิงบอกเจ้าค่ะ"เปาอี้ส่วงได้ยินเช่นนั้น เขาเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นด้วยความขบขัน เขาบอกสวีชางหมิงว่าจะไปส่งหวางจื่อชางอ๋องไปท่องเที่ยวทั่วยุทธภพต่างหากไ
"ฝานฝานไม่ต้องกินเต้าหู้ก็ได้ เปลี่ยนมากินข้าแทนเถิด" เขาจัดการพลิกคนร่างบางให้นอนหงาย ก้มหน้าลงหมายจะจุมพิตที่ปากจิ้มลิ้มอีกหน ทว่าสวีอี้ฝานกลับอาศัยจังหวะที่เขาเผลอ ทันทีที่ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนต่ำลงมาใกล้ นางก็ใช้มือดันใบหน้าของเขาออกห่าง จากนั้นจึงตวัดกายลุกขึ้นนั่งคร่อมหยิบหมอนใบใหญ่มากระหน่ำฟาดไปยังคนใต้ร่าง"ข้ากำลังโกรธท่านอยู่มิใช่หรือ ไยถึงได้ยังกล้าทำตัวลามกอีกเล่า""โอ๊ยๆ ฝานฝานให้อภัยข้าเถิด ข้าไม่ได้ตั้งใจแต่ข้าสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ไหวจริงๆ" มือหนายกมือขึ้นปัดป้อง สวีอี้ฝานจัดการเขาด้วยหมอนใบใหญ่จนเหนื่อยหอบ นางจึงหยุดพักนั่งหอบหายใจสะท้านโดยที่ยังนั่งคร่อมคนตัวโตอยู่"อึ่ก!" สวีอี้ฝานรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ดุนดันออกมาผ่านเนื้อผ้าและตอนนี้มันกำลังทิ่มแทงไปที่กลางกายของนาง"ฝานฝาน ข้า..." เปาอี้ส่วงขานเรียกชื่อคนตัวเล็กเสียงเบา ดวงตาจับจ้องไปยังแก่นกลางกายที่นางกำลังนั่งทับอยู่สวีอี้ฝานก้มลงมองตามสายตาของเขาจึงได้เห็นแท่งหยกอันใหญ่ตั้งแข็งชี้โด่ขึ้น"ว้าย!" หญิงสาวอุทานร้องลั่นรีบปีนลงจากตัวเขาวิ่งไปหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะกลมเปาอี้ส่วงหยัดกายลุกขึ้นตาม เขาเดินตามเข้ามาใกล้
ข่าวเรื่องจอมโจรชุดดำแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง สีหน้าของบรรดาเหล่าชาวเมืองต่างเต็มไปด้วยความสุข พวกเขาต่างพากันเปล่งวาจาชื่นชมแม่ทัพเปาอี้ส่วงอย่างไม่ขาดปาก จอมโจรชุดดำเปรียบเสมือนหนามยอกตำใจของชาวเมืองแคว้นฮั่นมาหลายปี พวกเขาต้องคอยอยู่อย่างหวาดผวาเพราะกลัวจอมโจรชุดดำออกอาละวาด ทว่ายามนี้ไม่ต้องคอยอยู่อย่างหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อหัวหน้าจอมโจรชุดดำถูกจับตัวได้แล้ว อีกทั้งแหล่งกบดานของพวกมันยังถูกแม่ทัพเปาอี้ส่วงทำลายจนไม่เหลือซากฉีกังหรืออดีตท่านอาจารย์ฉีคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหล่าจอมโจรชุดดำนี้ เมื่อทุกคนรู้ว่าเขาเป็นใครต่างพากันตกใจไม่น้อย ไม่นึกว่าคนที่สุภาพเปี่ยมไปด้วยความรู้และคุณธรรมอย่างท่านอาจารย์ฉีจะกลายเป็นคนร้ายตัวจริงไปเสียได้ ทว่าคนผิดก็ต้องได้รับโทษ หลักฐานที่มีมัดตัวฉีกังจนดิ้นไม่หลุด ยามนี้เขาถูกคุมขังไว้ที่คุกมืดเพื่อรอการตัดสินโทษต่อไปหวางฮ่องเต้พระราชทานรางวัลมากมายให้เปาอี้ส่วง ทว่าเขาไม่ขอรับความดีความชอบนี้ไว้เพียงผู้เดียว เพราะสวีชางหมิงก็มีส่วนช่วยให้เขาปราบจอมโจรชุดดำได้สำเร็จเช่นกันวันนี้ที่จวนสกุลสวีจึงมีรถม้าคันใหญ่หลายคันทยอยเข้าออก เบื้องหน้า
เช้ามืดเปาอี้ส่วงได้เคลื่อนกำลังพลไปยังป่ามืดที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวง เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยามก็ไปถึงแหล่งกบดานของพวกจอมโจรชุดดำ เปาอี้ส่วงสั่งให้กองกำลังซุ่มอยู่บริเวณแนวเขารอบๆ ก่อนจะจัดการยิงธนูไฟไปที่กระโจมของพวกมันจนไฟติดพรึ่บฟ้ายังไม่ทันสางดีก็บังเกิดเปลวเพลิงขนาดใหญ่โหมกระหน่ำไปทั่วกระโจมของพวกมัน เสียงร้องโหวกเหวกโวยวายดังขึ้น บรรดาจอมโจรชุดดำต่างวิ่งวุ่นพากันช่วยดับไฟ เปาอี้ส่วงอาศัยช่วงจังหวะชุลมุนส่งสัญญาณให้กองทัพเคลื่อนลงไปโจมตีพวกมันในขณะที่กองทัพของแม่ทัพเปาอี้ส่วงกำลังเป็นต่อกลับมีกองกำลังของคนอีกกลุ่มหนึ่งปรี่เข้ามาห้อมล้อมคนของเปาอี้ส่วงเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง เปาอี้ส่วงจำได้ว่าหัวหน้ากองกำลังผู้นั้นคือบ่าวรับใช้ผู้ติดตามของท่านอาจารย์ฉีกัง"คิดไว้ไม่มีผิดจริงๆ แท้ที่จริงแล้วท่านอาจารย์ฉีก็เป็นหัวหน้ากลุ่มโจรชุดดำจริงๆ""รู้แล้วท่านแม่ทัพจะทำอย่างไรได้ ป่านนี้ท่านอาจารย์ฉีคงพาพวกบรรดาเหล่าคุณชายไปถึงไหนต่อไหนแล้ว" ซุนเชากล่าวอย่างยิ้มเยาะในทุกๆปีท่านอาจารย์ฉีกังจะทำการคัดเลือกบรรดาคุณชายสกุลต่างๆไปที่วัดบนภูเขาอันเป็นแหล่งกบดานชั้นดีอีกที่หนึ่ง โดยนำวิชา