เช้าวันใหม่เวียนมาถึงแล้ว เปาอี้ส่วงหายไปทั้งคืนและไม่ได้กลับมาที่จวนสกุลเปา จวบจนถึงเวลาเช้าสวีอี้ฝานตื่นนอนเขาก็ยังคงไม่กลับมารวมถึงหลูเผิงเองก็หายไปด้วยเเช่นกัน
'นี่มันคงไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว' สวีอี้ฝานคิดในใจ เรื่องที่ฮ่องเต้ทรงเรียกประชุมด่วนคงไม่พ้นเรื่องแผนการลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ของพวกจอมโจรชุดดำอย่างแน่นอน จอมโจรชุดดำ เป็นกลุ่มโจรที่สร้างตัวขึ้นเพื่อเตรียมการก่อกบฏ พวกมันต้องการที่จะยึดอำนาจของหวางฮ่องเต้ เมื่อหลายเดือนก่อนหวางจื่อชางอ๋องเคยแอบปลอมตัวเข้าไปสืบและเกือบได้รู้ถึงแหล่งที่ซ่อนของมัน โดยให้องครักษ์เงาทั้งสองคนคือมู่ฝานและฉางชินแอบติดตามไปอย่างลับๆ ทว่าเปาอี้ส่วงกลับนำทัพเข้าไปโจมตีพวกมันเสียก่อน ระหว่างนั้นเหตุการณ์โกลาหลวุ่นวาย เหตุเพราะกลุ่มคนทั้งสองต่างแต่งกายด้วยชุดสีดำสนิทเหมือนกันจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร และในตอนนั้นเองที่เปาอี้ส่วงไปยืนแทนที่ของหวางจื่อชางอ๋องตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ เศษดินและเศษฝุ่นตลบอบอวลจนมองไม่เห็นสิ่งใดทำให้มู่ฝานคิดว่าท่านอ๋องกำลังตกอยู่ในอันตรายจึงรีบเข้าไปช่วย กว่าจะรู้ตัวว่านางช่วยผิดคนก็สายไปเสียแล้ว เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น สวีอี้ฝานก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงแววตาคู่นั้นของเขา นับตั้งแต่แต่งงานด้วยกันมา นางรู้สึกสงสัยมากเหลือเกิน หรือท่านแม่ทัพเปาจะไม่ได้ตาบอดจริงๆ... ทว่าเขาจะแกล้งตาบอดไปเพื่ออะไรกันเล่า แต่คนอย่างมู่ฝานอยากรู้อะไรก็ต้องรู้ เห็นทีว่านางจะต้องพิสูจน์อะไรบางอย่างเสียแล้ว "ฮูหยินเจ้าคะ เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ" ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ หลิงหลิงก็รีบวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา สีหน้าของนางตื่นตระหนก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความร้อนรน "มีอะไรหรือหลิงหลิง" "คุณชายเจ้าค่ะ ตอนนี้กำลังเกิดเรื่องกับคุณชายชางหมิงเจ้าค่ะ!" หลิงหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระหืดกระหอบ จากหน้าประตูจวนมาถึงหอนอนของฮูหยินไม่ใช่ใกล้ๆเลย ทางด้านคนเป็นพี่เมื่อได้ยินว่าเกิดเรืองไม่ดีกับน้องชายก็ใจหายวาบ รีบเดินออกมาหน้าประตูจวนแลเห็นเกาถังบ่าวคนสนิทของน้องชายจึงทำการสอบถาม ทันทีที่รู้ว่าตอนนี้สวีชางหมิงอยู่ที่ใดก็รีบสั่งคนให้เตรียมรถม้าเดินทางไปหาทันที หอหมื่นบุปผาตั้งอยู่ภายในตลาดกลางเมืองหลวง เวลานี้เพิ่งจะยามซื่อ (09.00 - 10.59 น.) ยังไม่มีแขกเหรื่อมากมายเท่าใดนัก รถม้าคันใหญ่ของจวนสกุลเปาพาสวีอี้ฝานมาถึงหอหมื่นบุปผาภายในเวลาอันรวดเร็ว ทว่ารถม้ายังไม่ทันได้จอดสนิทดี สวีอี้ฝานก็กระชากประตูเปิดออกกระโดดลงจากรถม้าด้วยท่าทางคล่องแคล่วว่องไว เพล้ง! เสียงข้าวของแตกกระจายที่ดังมาจากในห้องทำให้คนที่ได้ยินร้อนใจเป็นอย่างมาก สวีอี้ฝานพยายามดึงประตูให้เปิดออก แต่ดูเหมือนว่าประตูจะถูกลงกลอนอย่างแน่นหนาจากด้านใน "เดี๋ยวบ่าวจัดการให้ขอรับ" เกาถังปรี่เข้ามาพยายามพังประตูแต่ก็ไม่สำเร็จ "ถอยไป" สวีอี้ฝานสั่งการเสียงเรียบ จากนั้นจึงถอยไปทางด้านหลัง มือบางถลกกระโปรงขึ้นเหนือพื้นดิน จากนั้นก็รีบวิ่งตรงเข้ามายกเท้ากระโดดถีบไปที่บานประตูอย่างแรง โครม! ประตูไม้บานใหญ่แตกออกจากกันเป็นรูกว้าง ท่ามกลางสีหน้าตื่นตะลึงของหลิงหลิงและเกาถัง แต่สวีอี้ฝานหาได้สนใจไม่ นางรีบแทรกกายเข้าไปในรูขนาดเท่าตัวคนหายเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว "โอ้ แม่นางคนงามมีธุระอะไรกับพวกข้างั้นหรือ" ชายร่างหนาคนหนึ่งกล่าวขึ้น มองสตรีร่างบางที่เดินเข้ามาใหม่ด้วยแววตากรุ้มกริ่ม สวีอี้ฝานไม่ได้สนใจสายตาของมัน แต่กลับกวาดตามองหาสวีชางหมิงแทน "เป็นอะไรหรือไม่" หญิงสาวรีบก้าวเร็วๆเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่บนพื้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ร่างกายสะบักสะบอมจากการโดนทำร้ายมา "ท่านพี่ ข้าว่าแม่นางผู้นี้หน้าตาคุ้นๆนะ อ้อ ข้าจำได้แล้ว นางคือคนที่โยนรองเท้าใส่หน้าข้านี่เอง" ชายคนที่สองกล่าว ดวงตาทอดมองมายังคนตัวเล็กด้วยความกรุ่นโกรธ สวีอี้ฝานถอนหายใจออกมาเบาๆด้วยความโล่งใจ เมื่อเห็นว่าสวีชางหมิงไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่มีรอยฟกช้ำบางจุดเท่านั้น "เกาถังพาหมิงหมิงออกไป" "พี่สาว ข้าไม่ไป" ชายหนุ่มส่ายศีรษะไปมาจะให้เขาทอดทิ้งนางได้อย่างไรกัน "เกาถัง ข้าสั่งไม่ได้ยินหรือ" สวีอี้ฝานเอ่ยเสียงเข้มขึ้น เกาถังจึงจำใจต้องเดินเข้ามาพยุงร่างสูงของเจ้านายหนุ่มออกไปข้างนอก แม้ว่าสวีชางหมิงจะพยายามขัดขืนสักเพียงใด แต่เพราะเขาบาดเจ็บทำให้ไม่สามารถสู้แรงของเกาถังได้ "หลิงหลิงไปหลบอยู่หลังประตู หากข้าไม่สั่งไม่ต้องออกมา" "ฮูหยินเจ้าคะ..." "ไปสิ! หาไม่ข้าจะโกรธนะ" สวีอี้ฝานงัดไม้ตายออกมาใช้ ถึงแม้ว่านางจะขู่ว่าจะสั่งโบยหลิงหลิง แต่หลิงหลิงก็ไม่ยอมไปเป็นแน่ เพราะสิ่งที่หลิงหลิงกลัวที่สุดก็คือกลัวนางโกรธต่างหาก หลิงหลิงได้ยินเช่นนั้นก็ขัดใจเจ้านายไม่ได้ จำต้องเดินไปหลบอยู่หลังประตูตามคำสั่ง "แม่นางคนงามจะทำอะไรหรือ สั่งให้ทุกคนออกไปแบบนั้นไม่กลัวพวกข้าหรืออย่างไร" ชายคนที่สามกล่าวด้วยน้ำเสียงยียวน กวาดตามองร่างบางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สตรีผู้นี้งดงามไปทุกสัดส่วนเลยจริงๆ สวีอี้ฝานแค่นเสียงเหอะออกมาเบาๆ มือบางยกมือขึ้นกอดอก จดจ้องไปยังชายร่างหนาทั้งสามคนพร้อมยิงคำถามว่า "ผู้ใดเป็นคนตีน้องชายข้า" สวีชางหมิงมองไปทางประตูด้วยความว้าวุ่นใจ นึกเป็นห่วงคนเป็นพี่ที่อยู่ข้างในไม่น้อย สวีอี้ฝานเป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆคนหนึ่ง นางจะสามารถสู้ชายร่างใหญ่ทั้งสามคนได้อย่างไรกัน แม้กระทั่งเขาเองยังสะบักสะบอมไม่เป็นท่า ชายสามคนนั้นมือเท้าหนักมิใช่น้อย เล่นเอาเขาเจ็บปวดไปทั่วทั้งกาย "เกาถังปล่อยข้า ข้าจะเข้าไปช่วยพี่สาว" "มิได้ขอรับคุณชาย หากบ่าวปล่อยให้คุณชายเข้าไปข้างใน เปาฮูหยินจะต้องตำหนิบ่าวเป็นแน่" สีหน้าเกาถังจืดเจื่อน เขาเองก็จนใจเช่นกัน แม้จะเป็นห่วงเจ้านายสาวแต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง "ได้ หากเจ้าไม่ปล่อยให้ข้าเข้าไปช่วยพี่สาว เจ้าก็ต้องเข้าไปช่วยนางแทน" สวีชางหมิงดึงแขนออกจากการเกาะกุมของเกาถัง จากนั้นก้าวถอยหลังและยกเท้าขึ้นถีบบั้นท้ายของเกาถังอย่างแรงจนเขาเซถลาล้มลงไปข้างหน้า โครม! เกาถังรีบลุกขึ้นพรวดด้วยความตกใจ เมื่อเห็นร่างของชายทั้งสามคนกระเด็นกระดอนออกมาจากประตูไม้จนมันพังไม่เป็นท่า ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองที่พากันยืนมุงดูพลางซุบซิบนินทากันด้วยความสนใจ "คะ คุณชายพวกข้าผิดไปแล้ว อภัยให้พวกข้าด้วยเถิด" ชายทั้งสามรีบคลานเข่าเข้ามากอดขาของสวีชางหมิงเอาไว้ กล่าวคำขอโทษขอโพยทั้งน้ำตา ในขณะที่ใบหน้าของสวีชางหมิงเต็มไปด้วยความงุนงงอย่างไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่าใดนัก "ว่าอย่างไร หมิงหมิงของพี่จะยอมให้อภัยพวกมันหรือไม่" สวีอี้ฝานก้าวเดินออกมาจากทางด้านในๆสภาพที่ไม่ต่างจากตอนเข้าไปนัก สวีชางหมิงก้มลงมองคนที่กอดขาของเขาไว้สลับกับคนเป็นพี่อย่างอึ้งๆ ในขณะที่บุรุษร่างหนาน่ากลัวพวกนี้ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ใบหน้าฟกช้ำจนจำเค้าโครงเดิมไม่ได้ แต่พี่สาวของเขายังคงเหมือนเดิมไม่มีร่องรอยของการบาดเจ็บแต่อย่างใด "เอ่อ ให้อภัยก็ได้ขอรับ" เขาตอบเพราะความสงสาร ชายทั้งสามคนนี้อาการหนักมากกว่าเขานัก หากเขาไม่ให้อภัย สวีอี้ฝานคงเอาชายพวกนี้ตายแน่ "ดี! แต่ข้าไม่ให้อภัย!" สวีอี้ฝานก้าวฉั่บๆเข้ามากระชากคอเสื้อของชายหัวโจกขึ้น มันร้องไห้อย่างหวาดกลัว ยกมือขึ้นไหว้นางปลกๆ ก่อนที่จะถูกเหวี่ยงลงไปกองกับพื้นแทบเท้าของเกาถัง "เกาถังรอช้าอันใดอยู่ รีบจับตัวพวกมันส่งไปให้ทางการได้แล้ว" "ขะ ขอรับฮูหยิน" "ส่วนเจ้ามานี่เลย" สวีอี้ฝานเดินเข้ามาใกล้น้องชาย สวีชางหมิงเห็นเช่นนั้นจึงผงะถอยหลังตั้งท่าจะวิ่งหนี ทว่าเขาช้ากว่าสวีอี้ฝานไปหนึ่งก้าว มือบางคว้าหมั่บไปที่ใบหูของเขากึ่งลากกึ่งจูงให้เดินตามไปขึ้นรถม้า ท่ามกลางเสียงร้องด้วยความเจ็บของชายหนุ่ม หารู้ไม่ว่าทุกการกระทำของนางล้วนอยู่ในสายตาของใครบางคนมาโดยตลอด "นางเป็นผู้ใดกัน" หวางจื่อชางมองตามแผ่นหลังบางที่เดินขึ้นรถม้าคันใหญ่ไปพร้อมกับน้องชายด้วยความสนใจ "นางคือเปาฮูหยินพ่ะย่ะค่ะ" ฉางชินตอบ "เปาฮูหยิน? เจ้าหมายความว่านางคือบุตรสาวสกุลสวีคนที่เสด็จพ่อมอบสมรสพระราชทานให้กับแม่ทัพเปาอี้ส่วงน่ะหรือ" ยามที่เอ่ยถึงเปาอี้ส่วง ดวงตาคู่คมวาวโรจน์ขึ้นอย่างน่ากลัว แม้เวลาจะผ่านไปนานหลายเดือน แต่เขาไม่เคยลืมว่าชายผู้นั้นคือคนที่ทำให้มู่ฝานต้องตาย! "ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ" หวางจื่อชางเม้มริมฝีปากเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆคลายออก แววตาอ่อนโยนยามมองไปยังรถม้าคันใหญ่ที่กำลังเคลื่อนตัวออกไป สตรีผู้นั้นทำให้เขาคิดถึงใครบางคนที่จากไปอย่างสุดหัวใจโดยไม่ทราบสาเหตุ "ไม่ช้าหรือเร็วเราต้องได้พบกันอีกเปาฮูหยิน" เอ่ยพึมพำเสียงเบาจากนั้นจึงกระโดดขึ้นหลังม้าควบจากไปอย่างรวดเร็วหลายเดือนต่อมาสวีอี้ฝานได้ให้กำเนิดบุตรชายฝาแฝดแก่เปาอี้ส่วง สร้างความปีติยินดีให้แก่คนสกุลเปาและคนสกุลสวีอย่างมากเจ็ดวันหลังจากที่เจ้าก้อนแป้งคลอด สวีอี้ฝานก็ได้รับของขวัญที่ถูกส่งมาจากหวางจื่อชางอ๋อง นับตั้งแต่ที่เขาจากไปท่องยุทธภพ นางก็ไม่ได้พบเจอกับเขาอีกเลย เปาอี้ส่วงจัดการเปิดห่อของขวัญอย่างระมัดระวังพบว่ามันคือป้ายหยกสลักลวดลายมงคลหาใช่สิ่งของที่ใช้เกี้ยวสตรีอย่างที่เขานึกกลัวจึงค่อยโล่งใจไปบ้างแม้ตัวของหวางจื่อชางอ๋องจะจากไป แต่เปาอี้ส่วงรู้ว่าอย่างไรเสียคนผู้นั้นไม่มีทางตัดใจจากสวีอี้ฝานได้โดยง่าย เขาจึงยังมีความหวาดระแวงเกรงว่าหวางจื่อชางอ๋องจะกลับมาแย่งชิงสวีอี้ฝานไปจากเขาอยู่ยามนี้เจ้าเด็กแฝดทั้งสองคนอายุได้หนึ่งหนาวแล้ว เป็นเด็กอ้วนท้วนรูปร่างแข็งแรง พวกเขามีชื่อว่าเปาอี้เฉิงและเปาอี้หาน ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งได้เห็นพัฒนาการทางด้านหน้าตาทำให้ได้รู้ว่าเด็กๆทั้งสองคนถอดแบบจากคนเป็นพ่อแม่มาคนละครึ่ง ดูเป็นความแตกต่างที่สร้างสรรค์กันอย่างลงตัว คนที่ดูจะดีใจพอๆกับเปาอี้ส่วงที่เจ้าก้อนแป้งทั้งสองได้ถือกำเนิดขึ้นดูจะไม่พ้นเป็นฮูหยินผู้เฒ่า นับตั้งแต่ตอนที่เด็กๆเกิดมาจนถึงตอนนี้ ฮูห
ยามนี้สวีอี้ฝานตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว หน้าท้องกลมนูนขยายใหญ่ออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ตอนที่ส่องกระจกทองเหลืองนางได้แต่ทอดถอนลมหายใจออกมาเบาๆ ไม่นึกเลยว่าการตั้งครรภ์ช่างลำบากยากเข็ญยิ่งนัก นอกจากรูปร่างที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมากแล้ว เวลาจะเดิน นั่งหรือนอนก็ไม่รวดเร็วเหมือนเมื่อก่อน ดีแต่ว่าเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น อาการแพ้ท้องที่มีค่อยๆทุเลาลงไปมากแล้ว จากเดิมที่มักจะคลื่นเหียนเวลาที่ได้กลิ่นอาหาร แต่ตอนนี้นางกลับเจริญอาหารมากกว่าเดิมเพราะตอนนี้กำลังตั้งครรภ์ เปาอี้ส่วงจึงสั่งห้ามไม่ให้นางออกไปข้างนอกโดยที่ไม่มีเขาไปด้วย ทุกๆวันสวีอี้ฝานจึงได้แต่นั่งๆนอนๆอยู่ที่จวนสกุลเปาอย่างเบื่อหน่าย ยังดีที่ว่าหลี่อ้ายซีผู้เป็นมารดากับสวีหยางโปผู้เป็นบิดามักจะแวะเวียนมาเยี่ยมนางอยู่บ่อยๆ"ฮูหยินเจ้าขา ผลไม้มาแล้วเจ้าค่ะ" หลิงหลิงเดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้ในมือถือถาดใส่อาหารเข้ามาวางไว้ที่โต๊ะกลม สวีอี้ฝานที่นอนเล่นอยู่บนเตียงค่อยๆหยัดกายลุกขึ้น "หลิงหลิงเอามาให้ข้าที่เตียง" นางเอ่ย หลิงหลิงจึงรีบยกมาให้ตามคำบอก ร่างบางกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง บนตักวางถาดใส่ผลไม้พลางหยิบมันเข้าปากทว่ากินไปได้ไม่ก
ระหว่างที่สวีอี้ฝานกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นปานใจจะขาด ประตูห้องที่ปิดสนิทลงในตอนแรกก็ถูกเปิดออก ร่างสูงของเปาอี้ส่วงก้าวเข้ามาร่างกายเต็มไปด้วยเกล็ดขาวของหิมะ"ทุกคนมาทำอะไรที่ห้องของข้าขอรับ" ชายหนุ่มถามด้วยความงุนงง ก่อนจะรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปหาภรรยา เมื่อได้เห็นหยาดน้ำตาของนาง หัวใจของเขาราวถูกบีบรัดอย่างรุนแรง"ฝานฝานเป็นอะไรไป ใครรังแกเจ้า" เขาถามพลางหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่ากับหนิงเชา"ข้าเปล่านะ" จางเข่อซินรีบส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะหันไปพยักเพยิดกับหนิงเชาเดินออกไปจากห้องเพื่อปล่อยให้สามีภรรยาได้อยู่ด้วยกันตามลำพังสวีอี้ฝานปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างลวกๆ มองสามีอย่างงอนๆ เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเขาพลางส่งสายตามองสำรวจทั่วตัว"ท่านพี่ท่องยุทธภพกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ""ท่องยุทธภพอะไรกัน" คิ้วกระบี่ขมวดเข้าหากัน เปาอี้ส่วงถามด้วยความไม่เข้าใจ"ท่านพี่หนีข้ามาจากจวนสกุลสวีเพราะจะออกไปท่องยุทธภพมิใช่หรือเจ้าคะ""ใครบอกเจ้ากัน""หมิงหมิงบอกเจ้าค่ะ"เปาอี้ส่วงได้ยินเช่นนั้น เขาเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นด้วยความขบขัน เขาบอกสวีชางหมิงว่าจะไปส่งหวางจื่อชางอ๋องไปท่องเที่ยวทั่วยุทธภพต่างหากไ
"ฝานฝานไม่ต้องกินเต้าหู้ก็ได้ เปลี่ยนมากินข้าแทนเถิด" เขาจัดการพลิกคนร่างบางให้นอนหงาย ก้มหน้าลงหมายจะจุมพิตที่ปากจิ้มลิ้มอีกหน ทว่าสวีอี้ฝานกลับอาศัยจังหวะที่เขาเผลอ ทันทีที่ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนต่ำลงมาใกล้ นางก็ใช้มือดันใบหน้าของเขาออกห่าง จากนั้นจึงตวัดกายลุกขึ้นนั่งคร่อมหยิบหมอนใบใหญ่มากระหน่ำฟาดไปยังคนใต้ร่าง"ข้ากำลังโกรธท่านอยู่มิใช่หรือ ไยถึงได้ยังกล้าทำตัวลามกอีกเล่า""โอ๊ยๆ ฝานฝานให้อภัยข้าเถิด ข้าไม่ได้ตั้งใจแต่ข้าสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ไหวจริงๆ" มือหนายกมือขึ้นปัดป้อง สวีอี้ฝานจัดการเขาด้วยหมอนใบใหญ่จนเหนื่อยหอบ นางจึงหยุดพักนั่งหอบหายใจสะท้านโดยที่ยังนั่งคร่อมคนตัวโตอยู่"อึ่ก!" สวีอี้ฝานรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ดุนดันออกมาผ่านเนื้อผ้าและตอนนี้มันกำลังทิ่มแทงไปที่กลางกายของนาง"ฝานฝาน ข้า..." เปาอี้ส่วงขานเรียกชื่อคนตัวเล็กเสียงเบา ดวงตาจับจ้องไปยังแก่นกลางกายที่นางกำลังนั่งทับอยู่สวีอี้ฝานก้มลงมองตามสายตาของเขาจึงได้เห็นแท่งหยกอันใหญ่ตั้งแข็งชี้โด่ขึ้น"ว้าย!" หญิงสาวอุทานร้องลั่นรีบปีนลงจากตัวเขาวิ่งไปหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะกลมเปาอี้ส่วงหยัดกายลุกขึ้นตาม เขาเดินตามเข้ามาใกล้
ข่าวเรื่องจอมโจรชุดดำแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง สีหน้าของบรรดาเหล่าชาวเมืองต่างเต็มไปด้วยความสุข พวกเขาต่างพากันเปล่งวาจาชื่นชมแม่ทัพเปาอี้ส่วงอย่างไม่ขาดปาก จอมโจรชุดดำเปรียบเสมือนหนามยอกตำใจของชาวเมืองแคว้นฮั่นมาหลายปี พวกเขาต้องคอยอยู่อย่างหวาดผวาเพราะกลัวจอมโจรชุดดำออกอาละวาด ทว่ายามนี้ไม่ต้องคอยอยู่อย่างหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อหัวหน้าจอมโจรชุดดำถูกจับตัวได้แล้ว อีกทั้งแหล่งกบดานของพวกมันยังถูกแม่ทัพเปาอี้ส่วงทำลายจนไม่เหลือซากฉีกังหรืออดีตท่านอาจารย์ฉีคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหล่าจอมโจรชุดดำนี้ เมื่อทุกคนรู้ว่าเขาเป็นใครต่างพากันตกใจไม่น้อย ไม่นึกว่าคนที่สุภาพเปี่ยมไปด้วยความรู้และคุณธรรมอย่างท่านอาจารย์ฉีจะกลายเป็นคนร้ายตัวจริงไปเสียได้ ทว่าคนผิดก็ต้องได้รับโทษ หลักฐานที่มีมัดตัวฉีกังจนดิ้นไม่หลุด ยามนี้เขาถูกคุมขังไว้ที่คุกมืดเพื่อรอการตัดสินโทษต่อไปหวางฮ่องเต้พระราชทานรางวัลมากมายให้เปาอี้ส่วง ทว่าเขาไม่ขอรับความดีความชอบนี้ไว้เพียงผู้เดียว เพราะสวีชางหมิงก็มีส่วนช่วยให้เขาปราบจอมโจรชุดดำได้สำเร็จเช่นกันวันนี้ที่จวนสกุลสวีจึงมีรถม้าคันใหญ่หลายคันทยอยเข้าออก เบื้องหน้า
เช้ามืดเปาอี้ส่วงได้เคลื่อนกำลังพลไปยังป่ามืดที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวง เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยามก็ไปถึงแหล่งกบดานของพวกจอมโจรชุดดำ เปาอี้ส่วงสั่งให้กองกำลังซุ่มอยู่บริเวณแนวเขารอบๆ ก่อนจะจัดการยิงธนูไฟไปที่กระโจมของพวกมันจนไฟติดพรึ่บฟ้ายังไม่ทันสางดีก็บังเกิดเปลวเพลิงขนาดใหญ่โหมกระหน่ำไปทั่วกระโจมของพวกมัน เสียงร้องโหวกเหวกโวยวายดังขึ้น บรรดาจอมโจรชุดดำต่างวิ่งวุ่นพากันช่วยดับไฟ เปาอี้ส่วงอาศัยช่วงจังหวะชุลมุนส่งสัญญาณให้กองทัพเคลื่อนลงไปโจมตีพวกมันในขณะที่กองทัพของแม่ทัพเปาอี้ส่วงกำลังเป็นต่อกลับมีกองกำลังของคนอีกกลุ่มหนึ่งปรี่เข้ามาห้อมล้อมคนของเปาอี้ส่วงเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง เปาอี้ส่วงจำได้ว่าหัวหน้ากองกำลังผู้นั้นคือบ่าวรับใช้ผู้ติดตามของท่านอาจารย์ฉีกัง"คิดไว้ไม่มีผิดจริงๆ แท้ที่จริงแล้วท่านอาจารย์ฉีก็เป็นหัวหน้ากลุ่มโจรชุดดำจริงๆ""รู้แล้วท่านแม่ทัพจะทำอย่างไรได้ ป่านนี้ท่านอาจารย์ฉีคงพาพวกบรรดาเหล่าคุณชายไปถึงไหนต่อไหนแล้ว" ซุนเชากล่าวอย่างยิ้มเยาะในทุกๆปีท่านอาจารย์ฉีกังจะทำการคัดเลือกบรรดาคุณชายสกุลต่างๆไปที่วัดบนภูเขาอันเป็นแหล่งกบดานชั้นดีอีกที่หนึ่ง โดยนำวิชา