เข้าสู่ระบบ#####บทที่ 15 (ต่อ)
มือปราบเซียวจ้องตาซูเมิ่งกลับเขม็ง สองมือกำเเน่น กัดฟันเสียงดังกรอด พอหันมองไปรอบข้างและเจอป้ายผ้าที่เลี่ยงหวงทำให้ซูเมิ่งนั้นก็ยิ่งโกรธแค้น เเต่เขาก็ทำได้เพียงเก็บไว้ในใจ ก่อนเอ่ยออกมาเสียงเเข็ง
“ข้าพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว!”
พอมือปราบเซียวพูดจบเขาก็หมุนตัวหันหน้าไปทางผู้คน ปากอ้าหุบอ้าหุบอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีเสียงรอดออกมา ใบหน้าหยิ่งยโสนั่นเปลี่ยนเป็นเเดงสลับเขียวจนสุดท้ายก็มีเสียงเล็ดรอดออกมา
“ช่างหลินเลิศล้ำไม่มีใครเกิน …”
“หือ ท่านพูดว่าอะไร ข้าฟังไม่รู้เรื่องเลย”
ซูเมิ่งแสร้งเอามือปล้องหู หันไปถามชาวเมืองคนหนึ่งข้าง ๆตนประมาณว่าได้ยินไหม ซึ่งสตรีนางนั้นก็ให้ความร่วมมืออย่างดี นางจ้องใบหน้าหน้าภายใต้หน้ากากด้วยแววตาเพ้อฝันพร้อมส่ายหน้า
มือปราบเซียวสูดหายใจเข้าปอดอึกใหญ่ ครานี้เขาตะโกนดังลั่นพูดทีเดียวจนครบรอบเสียงแหบแห้ง พอพูดจบก็เตรียมหมุนตัวเดินออกไปแต่ก็ไม่วายหันมาสบตากับซูเมิ่ง
…แววตาอันดุดันนั่นสบตากับแววตามีเลสนัยด้วยใบหน้ายิ้มร้าย จ้องกันสักพักมือปราบเซียวก็เป็นฝ่ายสะบัดหน้าจากไป ส่วนซูเมิ่งนั้นยักไหล่อย่างไม่แยเเส นางเก็บป้ายผ้าลงมาแล้วก็เดินจากไปเช่นกัน
“นี่ ๆ เจ้าได้ยินข่าวใหม่หรือยัง เพิ่งเกิดเรื่องเมื่อเช้าเองนะ"
เสียงสาวน้อยนางหนึ่งดังขึ้น นางวิ่งเข้ามาไม่คำนึงถึงมารยาทที่สตรีพึงจะมี เขาซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะที่แม่นางคนนั้นวิ่งเข้ามาจึงเงี่ยหูฟังด้วย
“ชิ ใคร ๆก็รู้กันทั้งนั้นเเหละ เจ้าหมายถึงเรื่องที่ท่านมือปราบเมืองตงเปียนแพ้พนันท่านช่างหลินของข้าใช่หรือไม่?”
พูดไปพลางสายตาล่องลอย นึกภาพชายตาหวานดั่งน้ำผึ้งใบหน้าซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากที่นางเห็นเมื่อเช้า แต่ก็ต้องหลุดออกจากภวังค์เพราะสหายที่นั่งข้าง ๆฟาดที่เเขนดังเพียะ
“เพ้ย ท่านช่างหลินของเจ้าที่ไหนกัน ของข้าต่างหาก”
“ของข้าด้วย บุรุษอะไรผิวขาวใสเสียยิ่งกว่าข้า แล้วยังใบหน้าอันหล่อเหลาดูขี้เล่นนั่นอีกเล่า ข้าล่ะอยากกระชากมากอดแนบกายข้าทุกคืน”
ไม่พูดเปล่ามืออวบอ้วนยื่นไปดึงเพื่อนของตนมาจำลองเป็นชายที่เพิ่งพูดถึง ทำปากจู๋โน้มลงจะจูบเพื่อนในอ้อมกอด
“ว้าย เจ้าอ้วนอย่ามาพูดจาน่าไม่อายนะ เขาไม่เหมาะกับเจ้าหรอกเขาต้องเหมาะกับคนฉลาดอย่างข้าต่างหากเล่า ฉลาดเจอฉลาดรับรองบุตรออกมาต้องดีมิมีใครเกินเป็นแน่”
มือของเจ้าคำพูดผลักอกสตรีรูปร่างอวบอ้วนออก
คำพูดของสตรีกลุ่มนี้เข้าหูเขาเต็ม ๆ ใบหน้าคมส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนสอดส่ายสายตาหาเสี่ยวเอ้อสักคนเพื่อจะสั่งอาหารเพราะเขาเพิ่งมาถึงพอนั่งลงก็เผลอฟังสตรีกลุ่มนั้นพูดจนเพลิน ทว่าสายตาเขาก็ไปหยุดที่ร่างในชุดดำสนิทที่กำลังสวาปามอาหารตรงหน้าลงท้องอย่างไม่สนใจคนรอบข้าง ปากบางนั่นอ้ารับอาหารคำใหญ่เข้าปากครั้งแล้วครั้งเล่าจนคนมองเริ่มรู้สึกหิว เขาลุกขึ้นยืนสองเท้าก้าวเดินไปหยุดที่หน้าโต๊ะขนาดสี่คนนั่งแต่กลับถูกครอบครองด้วยคน ๆเดียว
“จะรบกวนหรือไม่ หากข้าขอนั่งกินด้วยคน”
ไป๋ซูเมิ่งงับน่องไก่ในมือคำโตก่อนเงยหน้าสบตาผู้มาใหม่ สองคิ้วขมวดหมุ่น นางกลอกตาทีนึง ก่อนพยายามเคี้ยวเนื้อไก่ในปากให้หมด
“มิกล้า ๆเชิญท่านฉิงอีเลยขอรับ”
ซูเมิ่งแม้เอ่ยปากเชิญแต่ใจนางเเทบอยากลุกขึ้นไปบีบคอของชายเจ้าของใบหน้าคมเข้มตรงหน้าให้ตายคามือ นางอยู่คนเดียวสงบสุขแล้วแท้ ๆไยมีคานเข้ามาสอดได้
ฉงอีอมยิ้มน้อย ๆ เขายกมือเรียกเสี่ยวเอ้อให้เข้ามารับรายการอาหารที่เขาจะสั่งเพิ่ม ชายหนุ่มสั่งอาหารเพิ่มอีกห้าหกอย่าง ก่อนหันหลับมาเผชิญหน้ากับซูเมิ่ง
“เจ้าอยากได้อะไรเพิ่มอีกหรือไม่ เดี๋ยวมื้อนี้ข้าจ่ายทั้งหมดเอง”
พอได้ยินดังนั้นสองตาของนางก็เบิกโพลง ริมฝีปากมันเยิ้มหยักยิ้มเจ้าเลห์ หรี่ตามองฉิงอีก่อนเอ่ย
“ท่านเเน่ใจนะ…"
ฉิงอีพยักหน้ายืนยัน มุมปากกระตุก …ไยเขารู้สึกเหมือนว่าตนเองจะตัดสินใจอะไรไปผิดไปนะ
หลังจากที่ได้รับคำยืนยันจากคนที่เอ่ยปากว่าจะเลี้ยง ซูเมิ่งก็เริ่มสั่งอาหารอีกหลายอย่าง เน้นโดยเฉพาะจานที่นางกินเมื่อครู่แล้วชอบให้จัดใส่ห่อกลับด้วย พอสั่งจนพอใจก็โบกมือไล่ให้เสี่ยวเอ้อออกไปจัดการ และนางก็ลอบมองคนตรงหน้าเพื่อดูสีหน้าของเขา
…หึ นางถือว่าครานี้เป็นการเเก้แค้นตอนที่เขาลวงนางเรื่องเงินรางวัล
ถึงแม้ว่าซูเมิ่งจะไม่รู้ว่าเขาลวงนางหรือว่าแค่ตอบรับเร็วตามธรรมดา แต่ในเมื่อเขาทำให้นางรู้สึกเสียหน้าย่อมต้องได้รับผลกรรมนั้นคืน …นี่นางแค่แกล้งเบา ๆเท่านั้นนะ ค่าอาหารแค่นี้คงไม่ทำให้ขนหน้าเเข็งเขาร่วงหรอกกระมัง
“เอ่อ เจ้ากินจุดีนะ เหตุใดไยไม่โตเสียที”
ฉิงอีมองไปที่ซูเมิ่งที่ร่างกายบอบบางราวสตรี ตัวก็ไม่สูงมากหากยืนขึ้นคงถึงแค่อกเขาเท่านั้น หากไม่ติดว่าที่คอมีลูกกระเดือกปูดนูนออกมาและก็น้ำเสียงทุ้มนั่น เขาคงคิดว่าเป็นสตรีแต่งเป็นบุรุษแล้ว
“ฮ่า ฮ่า ปกติค่าไม่ค่อยมีเงินซื้อข้าวกินน่ะ อด ๆอยาก ๆ พอได้เงินมาข้าก็เลยถือโอกาสฉลองมื้อใหญ่ให้ตัวเองเสียเลย”
ก่อนตอบนางชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมไปคีบเนื้อผัดพริกวาบหนึ่ง ซึ่งฉิงอีก็ไม่ได้ถามเรื่องนี้ต่อเเต่อย่างใด เขาหยิบตะเกียบของตนขึ้นมาบ้างก่อนคีบบวบเข้าปาก พอเคี้ยวเสร็จก็ชวนคุยต่อ
“แล้วก่อนหน้านี้เจ้าพักอยู่ที่ไหนหรือ?”
ซูเมิ่งเงยหน้าขึ้นมองฉิงอีพลางเลิกคิ้วขึ้น เคี้ยวข้าวในปากให้หมดก่อนตอบ
“ข้าเพิ่งมาที่เมืองนี้เมื่อไม่นานมานี้เอง ก่อนหน้านี้ข้าท่องยุทธภพไปเรื่อยน่ะ มิอยู่เป็นหลักเเหล่ง”
“พ่อแม่เจ้าไม่เป็นห่วงรึ? เดินทางคนเดียวข้าว่าอันตรายออกนะ”
“อ้อ พ่อเเม่ข้าตายตั้งแต่ข้ายังเล็กน่ะ ข้าอยู่กับตา”
ในหัวของนางประมวลผลคิดคำปดอย่างรวดเร็ว ตอนนี้นางอยากรีบกิน ๆให้หมดและรีบไปจากตรงนี้ ทว่าไม่นานขณะที่กับข้าวบนโต๊ะเริ่มลดลงเสี่ยวเอ้อก็เดินนำคนหลายคนเดินยกกับข้าวชุดใหม่เข้ามา โอกาสที่นางจะสลัดฉิงอีทิ้งหายวับไปกลับตา
…กรรมตามสนองแท้ ๆ ไม่น่าสั่งมาเสียเยอะเลย
ซูเมิ่งเอื้อมมือหยิบหมั่นโถลูกกลมขึ้นมากัด นัยน์ตาฉายแววท้อเเท้ อารมณ์อยากอาหารของนางหดไปหมดแล้ว
“งั้นแล้วตาของเจ้าเล่าอยู่แห่งใด?”
“ตาข้าก็ตายแล้วเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง”
นางแสร้งทำน้ำเสียงเศร้าสร้อย พอฉิงอีเห็นดังนั้นก็รีบเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วเจ้าเดินทางไปที่ไหนมาบ้างแล้วหรือ?”
ซูเมิ่งได้เเต่ถอนหายใจเบา ๆ “พอตาข้าตายข้าก็ต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด ท่านรู้ไหมบางวันข้าแทบไม่ได้กินอะไรเลยนะตอนช่วงแรก ๆ ข้านึกแล้วอยากจะร้องไห้เสียจริง ๆ”
ซูเมิ่งใส่อารมณ์เข้าไป พร้อมทำน้ำตาคลอเบ้าและก็แสร้งหันหน้าหนีไม่อยากให้ฉิงอีเห็นน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริง
“เเต่ข้าน่ะเป็นบุรุษชาตินี้ข้าต้องไม่ตายเพราะเเค่ไม่มีข้าวกิน ท่านคิดดูข้าจะมีเงินเดินทางไปไหนได้มากกัน”
ฉิงอีที่เห็นว่าตนพูดเรื่องที่ทำให้อีกฝ่ายเศร้าก็รู้สึกกระอักกระอ่วน ทั้งรู้สึกผิด แต่ใจก็อยากสอบถามต่ออย่างที่ตนตั้งใจมาเเต่ต้น
“เอ่อ เจ้านี่มันยอดคนเสียจริง ๆนี่เจ้ารู้ไหมว่าสตรีเมืองนี้เขาชอบพอเจ้ากันทั้งเมืองแล้วกระมัง ฮ่า ๆ”
พูดอย่างเดียวไม่พอยังพยักหน้าให้ซูเมิ่งมองไปทางด้านหลังเขา พอซูเมิ่งมองตามก็สบเข้ากับสายตาหวานหยาดเยิ้มที่ส่งมาให้ตน ทำเอาขนลุกขนพอง
“โอย ไม่เอาหรอก ข้ายังอยากอยู่ตัวคนเดียว”
“ชาวเมืองต่างเล่าลือกันว่าเจ้าคือวีรบุรุษเเห่งซีเปียน เพราะเจ้าช่วยทางการจับคนร้ายได้ ข้าเองก็รู้สึกยกย่องเจ้าเช่นกัน ขอคารวะเจ้าหนึ่งถ้วยน้ำชาแล้วกัน”
สิ้นคำฉิงอีก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่ม ซึ่งซูเมิ่งก็ยกดื่มรับคำเช่นกัน
“ว่าแต่เจ้าไปเรียนวิชาสืบคดีมาจากที่ใดกันหรือ? ข้ามิเคยเห็นวิธีการสืบคดีแบบเจ้ามาก่อน”
ซูเมิ่งเกือบสำลักชาที่กำลังดื่ม นางตบอกตัวเองเบา ๆจนหายใจคล่องขึ้น
“ข้าเคยทำงานให้มือปราบท่านหนึ่งน่ะ ก็แอบจำ ๆมา แหะ ๆ”
…นางคงอยู่ตรงนี้นานไม่ได้แล้ว ต้องรีบหาทางออกไปจากตรงนี้
“เอ้อ ท่านฉิงอีข้าเพิ่งนึกขึ้นไป ข้านัดกับพี่เลี่ยงหวงไว้น่ะ นี่ก็ล่วงเลยเวลามานานแล้วข้าคงต้องไปก่อน ข้าขอคารวะท่านที่จ่ายค่าอาหารให้ข้าในมื้อนี้ ไว้คราหน้ามีโอกาสข้าคงได้ตอบแทนท่านกลับ ข้าลาล่ะ”
ซูเมิ่งพูดรวดเดียวจบ นางลุกขึ้นคว้าห่ออาหารและรีบพุ่งตัวออกไปทันที ทิ้งให้ฉิงอีมองตามจ้องเเผ่นหลัง แววตาเขาลึกขึ้นวาบหนึ่งพอซูเมิ่งเดินพ้นบานประตูหอกุ้ยหรงเขาก็เรียกเสี่ยวเอ้อเข้ามารับเงิน จากนั้นก็ลุกขึ้นจากไป
#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







