แชร์

บทที่ 39

ผู้เขียน: มายุมายูมายา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-12-01 21:22:06

#####บทที่ 39

 

 

 

ซูเมิ่งกลับถึงคฤหาสน์ในเวลายามชวี นางเดินเข้าด้านในเรือนและคิดไว้ว่าเรื่องขอบคุณที่ว่าจะทำหลังกลับมาจากหมู่บ้านนั้นอาจต้องรอพรุ่งนี้เช้าดีกว่า นางไม่อยากไปรบกวนเข้าแม้ว่าพอมองไปที่ตำเเหน่งห้องหนังสือแล้วจะเห็นภายในห้องยังจุดไฟสว่างอยู่ก็ตาม สองเท้าย่างเดินห่างจากห้องหนังสือที่เขามักทำงานในนั้นออกมายังห้องนอนของตัวเองซึ่งอย่างไรก็ต้องผ่านห้องพักของซือหมิงอยู่ดี

และก่อนถึงห้องของนางเองนั้นประตูบานห้องข้างเคียงก็เปิดออกพร้อมเผยใบหน้าปราศจากหน้ากากสีดำอย่างเช่นยามออกไปข้างนอก

“ทานอะไรมาแล้วหรือ?” 

น้ำเสียงแข็งกระด้างเอ่ยออกมาจากริมฝีปากบุรุษตรงหน้าสร้างความแปลกใจให้เเก่ซูเมิ่งจนเผลอขมวดคิ้วมุ่น

“เอ่อ ทานแล้วเพคะ”

“ข้าบอกแล้วไงว่ายามอยู่ด้วยกันให้คุยปรกติ ลืมเสียแล้วหรือ?”

…ก็เขาเล่นอยู่ดีดีก็โผล่ออกมาแล้วก็ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบนาง นางก็แอบตกใจน่ะสิ จึงเผลอพูดออกไปตามความเคยชิน

“งั้นข้าเอ่อ ไปเข้านอนนะ”

ซูเมิ่งเตรียมจะออกก้าวเดินทำตามที่ตนเองพูดแต่สองเท้าก็ต้องชะงักลงเพราะคำพูดประโยคถัดมาของซือหมิง

“เจ้ากินอะไรมาหรือ?”

…ทำไมวันนี้เขามาแปลกกันนะ ถามว่าทานข้าวหรือยังก็ว่าประหลาดแล้ว! แต่ที่ถามถึงขั้นว่าทานอะไรมา

“เอ่อ ข้าทานหลายอย่างเลย”

พูดพลางส่งยิ้มไปให้แต่รอยยิ้มนี้ไม่ว่าใครมองดูก็ต้องรู้ว่าไม่ได้มาจากใจทั้งนั้น นางสิ่งยิ้มให้เขาเเก้ความกระอักกระอ่วนตากหากเล่า 

…เเต่บุรุษตรงหน้าหาได้รับรู้ไม่

“แล้วเจ้าดื่มน้ำแล้วหรือ?"

ดื่มน้ำ!!! คนบ้าอะไรถามเรื่องดื่มน้ำ

“อ่อ ข้าดื่มแล้ว แล้วตอนนี้ก็รู้สึกอ่อนเพลียอยากพักผ่อนมากเลย” 

ไม่พูดเปล่ายกมือขึ้นมาปาดเหงื่อเย็นบนใบหน้าพลางแสดงท่าทีอ่อนล้าและลอบมองไปยังบุรุษตรงหน้าที่วันนี้ตั้งแต่เจอกันเมื่อครู่รอบกายเขากำจายรัศมีความรู้สึกขนลุกบางอย่างออกมา

“เจ้าต้องพักผ่อนให้มาก ๆล่ะ หากรู้สึกไม่สบายอย่างไรก็บอกข้าได้ตลอด ไม่มีสิ่งใดในอาณาจักรแห่งนี้ที่ข้าหามาให้เจ้าไม่ได้ ร่างกายอันอ่อนแออย่างเจ้าต้องการการพักผ่อนมาก ๆจะได้ไม่เป็นภาระให้ใคร"

มุมปากสองข้างยกขึ้นค้างส่งยิ้มที่เจ้าตัวคิดว่าดูอบอุ่นที่สุดส่งไปยังสตรีในคราบบุรุษตรงหน้าจากนั้นก็หมุนเดินกลับเข้าห้องตัวเองไปทันที

เบื้องหลังทางฝ่ายผู้ได้รับรอยยิ้มพิลึกพิลั่นนั่นถึงกับตาแข็งค้างขนกายลุกชันขึ้นอย่างห้ามมิได้

…หากนางมองไม่ผิด รอยยิ้มนั่นเขาคงไม่ได้พยายามขู่จะฆ่านางหรอกกระมัง เพราะดูจากคำเตือนก่อนหน้าที่ราวกับต้องการจะแช่งนางให้ตายมากกว่าจะเป็นคำเอ่ยเป็นห่วงเป็นใย และยิ่งพิจารณาทั้งคำพูดและรอยยิ้มนั่นควบคู่กันยิ่งรู้สึกเหมือนถูกขู่ฆ่าเสียมากกว่า

 

ซือหมิงเดินเข้ามาในห้องและไปหยุดอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือตัวเล็กซึ่งบนนั้นมีหนังสือปกสีชมพูหวานวางอยู่

กลยุทธ์แรกที่เขาอ่านเจอในหนังสือนามว่าเรื่องราวดอกท้อและลองนำมาใช้คือการแสดงออกถึงความเป็นห่วงใยและทำให้นางรู้โดยอ้อมว่าเขาคิดว่านางคือคนพิเศษ ซึ่งเขาก็คิดว่าตนเองค่อนข้างทำมันได้ดียิ่ง คนอย่างซือหมิงที่มีตำเเหน่งถึงชินหวังนั้นหาได้เคยต้องถามไถ่เรื่องทานข้าวหรือเป็นห่วงเป็นใยใครไม่ ซึ่งนั่นเขาทำเรื่องพวกนี้กับนางเพียงคนเดียวเท่านั้น

…แน่นอนเพราะนางคือคนพิเศษสำหรับเขาอย่างไรเล่า! สตรีในอาณาจักรนี้ต่างต้องอิจฉาคุณหนูซูเมิ่งอย่างที่สุด และนางคงต้องรู้สึกโชคดีที่เกิดมาเป็นคนที่คนอย่างชินหวังชอบพอเป็นแน่

 

เช้าวันรุ่งขึ้นวันนี้คือวันเเรกของฤดูวสันต์ปีนี้และปีแรกที่ซูเมิ่งมาเกิดในร่างนี้ที่มีหิมะตก มองออกไปยังนอกหน้าต่างต้นไม้ต่างถูกเกล็ดสีขาวบริสุทธิ์ปกคลุม หลังจากซูเมิ่งล้างหน้าล้างตาโดยได้บ่าวรับใช้ที่ซือหมิงสั่งให้ดูแลซูเมิ่งโดยเฉพาะนำถังไม้บรรจุน้ำอุ่นมาให้ และนำเทียบยาที่ท่านหมอคนที่รักษาอาการถูกพิษของซูเมิ่งไว้และให้เทียบยาต้านพิษชั่วคราวระหว่างรอให้คนของซือหมิงหาหมอพิษเจอ

รสขมเฝื่อนของยานั้นสำหรับซูเมิ่งนั้นไม่เป็นปัญหาสักนิดตอนอยู่ที่จวนตระกูลไป๋ทั้งท่านพ่อและพี่ ๆของนางนั้นนำยาบำรุงรสชาติประหลาดหลายชนิดมาให้นางจนตนรู้สึกชินชากับรสชาติยาไปโดยปริยาย

“แล้วนั่นคืออะไรหรือ?”

ซูเมิ่งเงยหน้าจากถ้วยว่างเปล่าที่นางเพิ่งดื่มยาหมดไป มองไปยังเหล่าบ่าวรับใช้และคนของซือหมิงซึ่งแต่ละคนต่างก็สวมหน้ากากสีดำปิดบังใบหน้าราวเกือบสิบคนกำลังขนหีบหลายใบเข้ามาในห้องของซูเมิ่ง

“ท่านเชิญดูเองเถอะเจ้าค่ะ เป็นของที่นายท่านสั่งให้คนนำมามอบให้ท่านทั้งหมดเลย”

“มอบให้ข้าอย่างนั้นหรือ?” …เนื่องในโอกาสอะไรล่ะนี่!?

“เจ้าค่ะ”

ซูเมิ่งเดินไปยังหีบใบแรกที่อยู่ใกล้นางมากที่สุด บ่าวรับใช้ที่เดินตามหลังนางมาก็รีบกุลีกุจอเอื้อมมือยกฝาหีบเปิดออก

“เครื่องประดับอย่างนั้นหรือ? แล้วหีบนั้นเล่า”

หีบแล้วหีบเล่าที่บ่าวรับใช้เปิดฝาหีบออก ไม่เครื่องประดับนานาชนิดก็เป็นผ้าเเพรสีสันสวยสดงามตา บางหีบก็บรรจุชาดทาปากและแป้งแต่งหน้ามากเสียจนสามารถให้สตรีในหอนางโลมใช้กันทั้งปี สิ่งของที่ซือหมิงให้คนขนเข้ามานั้นทำเอาคนอย่างซูเมิ่งที่ตอนนี้อยู่ในคราบบุรุษน้อยถึงกับงงงวย

นางสวมบทบาทเป็นบุรุษจำเป็นต้องแต่งหน้าด้วยงั้นหรือ? เสื้อผ้าที่นางใส่ทั้งในตอนนี้และตอนอยู่ที่จวนตระกูลไป๋ก็หาได้มีสีสันอย่างที่เห็นในหีบไม่ 

“ของงดงามมากเลยนะเจ้าค่ะ ราคารวมทั้งหมดสามารถเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้านให้อยู่ได้ทั้งปีได้เลย นายท่านช่างใส่ใจคุณหนูเสียจริงนะเจ้าคะ คุณหนูช่างโชคดีสะ…”

“ให้คนนำของพวกนี้กลับไปเสีย”

บ่าวรับใช้ชะงักค้างบนใบหน้าเพ้อฝันและก็ต้องตระหนกเมื่อได้ยินผู้เป็นนายเอ่ยว่าให้คืนของทั้งหมดนี่ แต่ยังไม่ทันได้ถามคลายข้อสงสัยเจ้าของคำพูดก็หมุนตัวออกจากห้องไปเสียแล้ว

เขาต้องการทำอะไรกันแน่นะ ทั้งคำพูดที่แปลกประหลาดเมื่อวานแล้วก็ของที่เขาให้คนขนมาให้นางอีกเล่า! หากบุคคลที่ทำเรื่องทั้งหมดนี่ไม่ใช่ชินหวังแล้วนางก็คิดว่าเขากำลังคิดจีบตัวเองอยู่เป็นแน่! 

…ทว่าคนที่ทำเรื่องทั้งหมดนั่นคือซือหมิงที่ดำรงตำเเหน่งชินหวังอย่างไรเล่า! ผู้ที่ต้องการอะไรเพียงแค่ชี้นิ้วสั่งก็ได้มาภายในเวลาชั่ววาบ หากเขาคิดอยากได้สตรีใดคงไม่ลดตัวลงมาทำอะไรอย่างนี้หรอก นั่นแปลว่าการที่เขาทำอย่างนี้อาจต้องการอะไรบางอย่างจากนางเป็นแน่ และเพื่อเป็นการไม่ให้ตัวเองต้องเสียประโยชน์และถูกเขาปั่นหัวไปมากกว่านี้ วันนี้นางต้องไปคุยกับเขาเสียให้รู้เรื่อง!

พอซูเมิ่งเดินมาถึงหน้าห้องหนังสือของซือหมิง บ่าวที่เฝ้าหน้าประตูห้องก็เปิดให้นางเข้าไปแทบจะทันทีโดยไม่ถามถึงเหตุผลที่นางมาหรือเข้าไปขออนุญาตเจ้าของห้องเลย ราวกับล่วงรู้ไว้ก่อนหน้าว่านางจะต้องมายามนี้

“นั่งดื่มน้ำชากับข้าก่อนเถิด วันนี้เป็นใบชาพื้นเมืองที่ข้าให้ถงฝูสั่งคนไปเก็บที่ยอดเขารอยต่อระหว่างอาณาจักรเชียวนะ หายากยิ่งที่คนจะได้ลิ้มรส” 

…แต่เขาก็สามารถหามาให้นางลิ้มรสได้ เห็นไหมเล่าเขาบอกแล้วว่านางคือสตรีที่โชคที่ที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้

รอยยิ้มมุมปากบนใบหน้าเรียบนิ่งนั่นทำเอาผู้มาใหม่อย่างซูเมิ่งถึงกับมุมปากกระตุกนัยน์ตากลอกกลิ้ง แต่ก็ยอมยอบกายนั่งตรงข้ามกับซือหมิงแต่โดยดี

 

“หากเจ้าจะมาเรื่องขอบน้ำใจเรื่องของที่ข้านำของมาให้วันนี้ ไม่ต้องหรอก ข้าสามารถหาทุกอย่างมาให้เจ้าได้เพียงเจ้าเอ่ยปาก”

พูดจบก็ยกถ้วยชาขึ้น สูดดมควันหอมกรุ่นและดื่มอย่างสบายอารมณ์มิสนหันมองใบหน้าของคนตรงข้ามสักนิด

…อืม ชาดีพร้อมจิตใจแช่มชื่นนี่ชั่งเข้ากันเสียจริง

“ข้าไม่ได้มาหาท่านเรื่องนั้นหรอก ข้ามีเรื่องต้องตกลงกับท่านต่างหาก”

ซือหมิงหยุดชะงักทันใด เขาเหลือบสายตาสบกับสายตาแสนจริงจังของคนตรงข้าม ในหัวนิ่งคิดแต่หัวใจในหน้าอกด้านซ้ายกลับเต้นเร็วขัดกับใบหน้าที่แสนเรียบนิ่งสิ้นเชิง

…นางคงมิคิดจะมาสารภาพรักเขาหรอกกระมัง เขาเพียงเอาใจนางตามอย่างที่หนังสือเขียนไว้เพียงสองกระบวนท่าเอง นางก็ตกหลุมรักเขาแล้วหรือนี่!

“ว่ามาสิ ข้ารอฟังความในใจเจ้าอยู่”

ซือหมิงเตรียมตัวตั้งใจฟัง เขาวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ แผ่นหลังเหยียดตรง ใบหน้าคมมองตรงมาที่ซูเมิ่ง

…หรือว่าการที่นางเข้ามาถามเขาอยู่ในเเผนการเขาด้วย นี่ซูเมิ่งควรถามเขาดีไหมนะ

ใบหน้างามยังคงเรียบนิ่งไร้ซึ่งเกรงกลัวต่างจากที่ใจคิด พอตัดสินใจได้ก็เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงมั่นคงหนักแน่น

“ไม่ทราบว่าที่ท่านทำอย่างนี้ต้องการอะไรจากข้ากันแน่ หากไม่เหนือบ่ากว่าแรงข้าย่อมยอมร่วมมือกับท่าน ฉะนั้นได้โปรดแจ้งมาเถิด ท่านช่างอิน”

ซูเมิ่งปิดท้ายด้วยสถานะของซือหมิงเพื่อเป็นการเน้นย้ำว่านางและเขาจะทำข้อตกลงกันในสถานะนี้มิใช่ตำเเหน่งชินหวังกับคุณหนูตระกูลไป๋ เพราะนางไม่อยากให้เขาเอาคนในตระกูลของตนเข้ามาเกี่ยวข้อง

สายตามุ่งมันของสตรีในคราบบุรุษตรงหน้ามองมาทำเอาความคิดเดิมของคนตัวสูงกลายเป็นไร้สาระโดยพลัน

…นี่นางมิได้จะสารภาพรักกับเขาหรอกหรือ? ไฉนกลายเป็นเรื่องผลประโยชน์ไปเสียได้

“อะไรทำให้เจ้าคิดว่าข้าต้องการอะไรจากเจ้างั้นหรือ?”

ใบหน้าคมกลับมาเรียบนิ่งจากที่ก่อนหน้าฉายความฉงนชั่วครู่ ฝ่ายซูเมิ่งเมื่อได้ยินดังนั้นมองสบตาอีกฝ่ายตรง ๆ และเบนสายตามองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมก้าวเท้าเดินไปยังตำแหน่งข้างหน้าต่างนั้น

“ที่ผ่านมาท่านทั้งช่วยชีวิตข้า ช่วยกำจัดพิษให้ข้า และไหนจะเรื่องที่ท่านยอมตามข้ามายังที่หมู่บ้านแห่งนี้ทั้งที่หาได้มีเรื่องเกี่ยวข้องกับท่านไม่ สุดท้ายก็คือเรื่องที่ท่านทำตัวประหลาดเมื่อวานและไหนจะสิ่งของที่ท่านนำมาให้ข้าอีก หากไม่เพราะท่านต้องการประโยชน์ใดจากข้าแล้วท่านทำเรื่องทั้งหมดไปเพราะเหตุใดกันหรือ?”

ซูเมิ่งหันกลับมาพร้อมจ้องเข้าไปในนัยน์ตาลึกล้ำของบุรุษนามช่างอิน เขายังคงนั่งนิ่งอยู่เดิมทำเพียงเอี้ยวตัวหันมองตามซูเมิ่งเล็กน้อย และพอได้ฟังที่ซูเมิ่งพูดจนจบก็หลบตาเบนมองไปด้านข้าง หยุดนิ่งเพียงครู่หนึ่งก่อนเหยียดกายลุกเต็มความสูงพร้อมเดินมาทางที่สตรีเจ้าของประโยคก่อนหน้ายืนอยู่

“แล้วเจ้าคิดว่าเพราะเหตุใดกันล่ะ?”

ไม่พูดเปล่า ซือหมิงใช้ประโยชน์จากที่ตนมีร่างกายสูงใหญ่กว่าอ้าแขนท้าวไปยังกรอบหน้าต่างกักซูเมิ่งไว้ในอ้อมกอด พร้อมหยักยิ้มเจ้าเล่ห์มองมาที่นางด้วยสายตาหยอกเย้า

…ใกล้ไปแล้ว ซูเมิ่งตัวแข็งทื่อ ชาติก่อนถึงไม่เคยถูกผู้ชายจีบอย่างจริงจัง (ไม่รวมผู้ชายที่เข้าหาเพราะเรื่องอย่างว่าตอนที่ซูเมิ่งไปทำงานสืบความลับ) แต่นางก็พอมองออกว่าท่าทางของบุรุษตรงหน้านั้นกำลังคุมคามตัวเองอยู่ พอตั้งสติได้จากที่กำลังค่อย ๆเอนตัวหนีห่างจนลำตัวครึ่งบนเลยพ้นหน้าต่างออกไปด้านนอกก็หยุดชะงัก ซูเมิ่งใช้สายตาที่ตนมักใช้ยามหลอกล่อฝ่ายตรงข้ามให้เผยความลับส่งกลับไป

“หากไม่ใช่เพราะท่านต้องการผลประโยชน์บางอย่างจากข้า งั้นจะเป็นด้วยเหตุผลไหนกันหนา ข้าโง่เขลานักคงต้องหวังให้ท่านช่วยไขข้อข้องใจให้ข้าน้อยด้วยเถอะเจ้าค่ะ”

ซูเมิ่งโปรยยิ้มให้อีกฝ่ายทำเอาซือหมิงที่ก่อนหน้าคิดว่าจะหยอกเย้านางเล่นเป็นฝ่ายชะงักไป 

…นี่ใช่สายตาเชิญชวนของนางหรือไม่กันนะ รอยยิ้มนั่นมิใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นแต่เขานั้นเห็นบ่อยจนชินเสียเชียวล่ะ แต่พอกับสตรีในอ้อมกอดของเขาตอนนี้ พอเห็นแล้วจิตใจพลันอ่อนลง สายคาจดจ้องมิวางตา

“ข้า ข้า…ข้าเพียง…”

ซือหมิงจิตใจล่องรอย สมองโปร่งโล่งไม่รู้ว่าตนต้องตอบอย่างไร ตอนนี้เขาคิดแต่เพียงว่าริมฝีปากเรียวอมชมพูตรงหน้าช่างหน้าลิ้มลองยิ่งนัก 

ฉับพลันตามใจคิดใบหน้าคมสันของบุรุษตรงหน้าค่อย ๆก้มลงใกล้ใบหน้างามล้ำของคนในอ้อมกอดทีละนิด

ผลุบ!

ร่างบางในอ้อมกอดของซือหมิงก็หายวับไป ซือหมิงหลุดจากภวังค์ไล่สายตามองไปยังสตรีในคราบหนุ่มน้อยที่ตอนนี้นางอยู่ด้านนอกห้องเขาเป็นที่เรียบร้อย 

ซูเมิ่งเอนตัวออกจากหน้าต่างบานที่เขาคร่อมอยู่ตอนที่เขากำลังเผลอไผลนั่นเอง

สายตาสองคู่สบกันต่างความคิด

“ขออภัยท่านด้วยข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระด่วนคงต้องขอตัวลาไปก่อน”

พูดจบร่างบางในชุดขาวสะอาดตาก็หมุนตัวเดินออกไปทันที รวดเร็วเสียจนทำให้ซือหมิงมิทันได้เห็นใบหน้าแดงก่ำและท่าทีเขินอายนั่นของซูเมิ่ง

ซือหมิงยังคงนิ่งค้างมองแผ่นหลังบอบบางจนลับสายตาไป และก็ยังอยู่ในท่าสองแขนท้าวกรอบหน้าต่างไม่เปลี่ยนไปไหนจนกระทั่งประตูห้องเปิดออกพร้อมถงฝูเดินถือรายงานหลายเล่มเข้ามา

“นายท่านมิหนาวหรือขอรับ ข้างนอกหิมะเริ่มตกหนักแล้ว”

ซือหมิงรู้สึกตัวทันใด ร่างหนากระแอมเรียกสติตนเองก่อนเดินกลับมานั่งยังตำเเหน่งเดิมก่อนที่ตนจะลุกขึ้นยืน

“ให้คนมาทุบหน้าต่างบานนี้เสีย อย่าให้ข้าเห็นมันอีก ทำให้เสร็จสิ้นภายในวันนี้!”

“ขอรับ”

แม้ถงฝูจะรู้สึกแปลกใจแต่ก็รับคำตามคำสั่ง พลางไล่สายตามองรอบห้อง

“ท่านช่างหลินกลับออกไปแล้วหรือขอรับ ข้าน้อยนึกว่าอยู่กับนายท่านในห้องนี้เสียอีก”

ถงฝูนึกถึงเมื่อครู่ที่ตนมาหลังจากที่ซูเมิ่งเข้ามาในห้องเเห่งนี้เพียงไม่นาน และเขาก็เฝ้ารออยู่หน้าห้องมิได้ห่างไปไหนจนกระทั่งเขาตัดสินใจเข้ามาขัดจังหวะเพราะคิดว่าคุณหนูซูเมิ่งอาจอยู่ในห้องอีกนาน แต่ไฉนจึงไม่เห็นนางอยู่ในห้องเสียอย่างนั้นเล่า 

หากไม่ได้ออกทางประตู แล้วจะออกจากห้องนี้ทางไหนกันเล่า!

และก็ได้รับสายตาดุดันจากเจ้านายตนเอง แม้เจ้านายเขาจะไม่ตอบคำถามแต่ถงฝูก็พอเดาบางอย่างออกเเล้วล่ะ แต่แค่ไม่เข้าใจว่าคุณหนูซูเมิ่งจะมีเหตุอันใดที่รีบร้อนขนาดออกทางหน้าต่างแทนประตูเชียวหรือ?

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทส่งท้าย

    #####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 50

    #####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 49

    #####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 48

    #####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47 (ต่อ)

    บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47

    #####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status