Share

บทที่ 38

last update Last Updated: 2025-12-01 21:21:44

#####บทที่ 38

 

 

เช้าวันถัดมาซูเมิ่งตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวอย่างเเรง พอได้น้ำเเกงสร่างเมาจึงพอคลายอาการปวดหัวบ้าง นางรับสำรับข้าวที่ห้องพักของตัวเองและได้ออกจากห้องก็ปาเข้าไปยามซื่อแล้ว ซึ่งเมื่อวานซูเมิ่งคุยกับหยางเหวิน เขาบอกว่าประมาณยามเช้า เขาจะมาตรวจคนป่วยที่โรงรักษาภายในหมู่บ้านอีกทีหนึ่งเป็นการเก็บผลหลังจากที่ทานตามเทียบยาที่เขาเพิ่งให้ชาวบ้านกินไป และซูเมิ่งก็บอกไว้ว่านางจะขอตามไปเก็บผลด้วย โดยเวลานัดคือประมาณยามอู่อีกหนึ่งชั่วยามเท่านั้น ด้วยไม่คิดว่าร่างกายของคุณหนูซูเมิ่งนางนี้จะคออ่อนยิ่งนัก เท่าที่ตนจำได้นางกินไปเพียงไม่กี่จอกเท่านั้นจากนั้นซูเมิ่งก็จำเรื่องอะไรไม่ได้อีกเลย นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนกลับมาถึงที่คฤหาสน์แห่งนี้ได้อย่างไร แต่หากเดาไม่ผิดก็คงเป็นซือหมิงที่พานางมานั่นเเหละ

…เอ ตามจริงคือนางควรไปขอบพระคุณเขาที่ช่วยพานางกลับมานี่นา แต่นี่ก็เกือบถึงเวลาที่นัดกับหยางเหวินแล้ว หากนางออกไปก่อนแล้วกลับมาค่อยขอบคุณคงได้กระมัง

“นางตื่นแล้วหรือ?”

ซือหมิงเหลือบตาขึ้นมองถงฝูที่เปิดประตูเดินเข้ามาชั่ววาบหนึ่ง จากนั้นก็จดจ้องเขียนตัวอักษรลงบนรายงานตรงหน้าต่อ

“ขอรับ คุณหนูซูเมิ่งนางรับสำรับเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่าอาการเมาค้างจะไม่หนักมากขอรับ”

"…”

ความเงียบเข้าครอบคลุมภายในห้องอีกครั้ง โดยปรกติแล้วหากถงฝูรายงานเรื่องเสร็จเเล้วเขาต้องไปทันที แต่ครานี้กลับยังยืนก้มหน้านิ่งทำให้ซือหมิงตัดสินใจวานพู่กันในมือและจ้องมอง

“เอ่อ คุณหนูซูเมิ่งนางฝากให้ข้าน้อยมาบอกนายท่านว่านางจำเป็นต้องไปหมู่บ้านนั้นอีกครั้งขอรับ”

“เวลาไหน?”

“เวลานี้ขอรับ นางเพิ่งออกไปเมื่อครู่ก่อนข้าน้อยเข้ามา ดูรีบเร่งมากขอรับ”

“แล้วเจ้าเพิ่งมาบอกงั้นหรือ?!”

ฉับพลันบรรยากาศโดยรอบเย็นยะเยือกขึ้น สายตาคมกริบมองเขม็งไปยังถงฝูซึ่งตอนนี้เขาสวมหน้ากากดำเเสนเรียบอย่างเคยยืนนิ่งก้มหน้าอย่างยอมรับความผิด

“ข้าน้อยบอกนางแล้วขอรับว่าให้นางรอให้ข้าน้อยมารายงานนายท่านก่อน แต่ข้าน้อยหันมาอีกทีนางก็ขึ้นรถม้าออกไปแล้วขอรับ ข้าน้อยสมควรตายหมื่นครั้ง นายท่านโปรดลงโทษด้วย”

สิ้นคำร่างเเกร่งก็ทรุดลงนั่งกับพื้นหมอบหน้าแนบพื้น รัศมีความกดดันรอบกายทำเอาเขาหายใจไม่สะดวกแต่พลันก็ค่อย ๆลดลงพร้อมร่างของผู้เป็นเจ้านายที่เองหลังพิงพนักเก้าอี้ตามเดิม

ซือหมิงเองตอนนี้เขาก็ไม่ค่อยอยากเจอหน้าซูเมิ่งสักเท่าไหร่จึงคิดว่าการที่นางออกไปครานี้อาจเป็นโอกาสดีที่ให้เขาปรับอารมณ์ หลังจากผ่านเหตุการณ์ล่อแหลมเมื่อวานนี้ร่างกายอันสุขสงบของเขานั้นเริ่มเปลี่ยนไป เพียงนึกถึงนางร่างกายเขาก็จะร้อนรุ่มแปลกประหลาดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ฉะนั้นเขาจึงคิดถือโอกาสนี้ปล่อยนางให้ห่างกายสักหน่อยก่อนที่เขาจะปรับตัวได้

“หวังว่าคงไม่มีคราวหน้าอีก!”

สิ้นคำเเห่งอำนาจ เสียงพรูลมหายใจอย่างโล่งอกก็ดังเบาบาง ถงฝูลุกขึ้นยืนอีกครา

…โชคดีของเขา หากเป็นเช่นทุกคราเขาคงถูกลงโทษให้ไปเข้ารับการฝึกในโรงฝึกลับเเล้ว

“แล้วนี่เจ้าเป็นคนนำมาวางหรือ?”

ซือหมิงกล่าวถึงสมุดภาพเล่มหนึ่งหน้าปกสีชมพูอ่อน เป็นเล่มเดียวที่ขัดกับสมุดรายงานและหนังสือว่าราชการสีค่อนข้างอมดำรอบข้าง บนหน้าปกเขียนไว้ว่า ‘เรื่องราวดอกท้อ’

“ขอรับ สงสัยข้าน้อยหยิบติดมากับรายงานราชการ”

ถงฝูพูดพลางก้าวเดินขึ้นมาเอื้อมมือจะคว้าสมุดภาพดังกล่าวคืนแต่สมุดนั่นก็หายไปอยู่บนมือของเจ้านายหน้านิ่งของตนเสียก่อน

“เจ้าอ่านหนังสือพวกนี้ด้วยหรือ? ไร้ประโยชน์สิ้นดี”

ซือหมิงหยิบสมุดเล่มนี้ขึ้นมาเปิดดู ภายในเป็นภาพวาดเสียส่วนใหญ่มีตัวอักษรร้อยเรียงเป็นเรื่องราวบ้าง เขาเปิดดูเพียงหน้าสองหน้าก็ปิดและวางลงบนโต๊ะ

“พอดี เอ่อ เจ้าหลิ่งซานได้มาจากพ่อค้าเร่ขอรับ เห็นพ่อค้าว่าคนที่อ่านสมุดภาพเล่มนี้ต่างเกี้ยวสาวสำเร็จกันทุกรายจึงรับมาไว้อ่านเล่นขอรับ แล้วข้าน้อยก็รับช่วงต่อมาอีกที”

ถงฝูก้มหน้าลงซ่อนรอยยิ้มสมใจไว้ เขาตั้งใจใส่รวมมากับสมุดรายงานเพื่ออยากให้เจ้านายตนอ่านแล้วเอากลยุทธิ์เกี้ยวสาวไว้ใช้กับคุณหนูซูเมิ่งเองนั่นแหละ ถงฝูและเหล่าทหารลับนายอื่นต่างช่วยกันระดมความคิดที่จะช่วยเจ้านายผู้ด้อยประสบการณ์ของตนเกี้ยวสตรี ในสมุดเล่มนั้นมีทั้งภาพและคำบรรยายอธิบายเข้าใจง่ายชัดเจน และได้รับการรับรองจากชาวเมืองทั่วทุกภาคส่วนว่าเป็นหนังสือที่บุรุษทุกคนต้องอ่านก่อนเข้าช่วงวัยเเต่งงาน

…เเม้ว่าเจ้านายเขาจะเลยวัยนั้นมาแล้วก็ตาม

“งั้นข้าน้อยขอนำกะ…”

ก่อนจบประโยคคำพูดฟังคล้ายไม่ใส่ใจของซือหมิงก็เอ่ยขัดขึ้น

“งานเจ้าคงน้อยไปสินะ ไม่ต้องนำกลับไป! แล้วงานที่ข้าให้ทำได้ความแล้วหรือ?”

ไม่พูดเปล่ามือเรียวภายใต้เสื้อคลุมสีกรมลายงูใหญ่ก็เอื้อมมาหยิบสมุดภาพนั้นเข้ามาใกล้ตัวเองหลุดพ้นจากระยะเอื้อมมือถึงของคนตรงหน้า และกลับมาสนใจอ่านรายงานและตรวจสอบงานตรงหน้าตามเดิม

“ข้าน้อยส่งคนไปติดตามนายอำเภอถางเรียบร้อยแล้วขอรับ จากรายงานดูเหมือนจะไม่มีอะไรแปลกไป เขาดำเนินชีวิตตามปรกติ”

พอมาถึงเรื่องงานถงฝูก็กลับมาเคร่งขรึมตามเดิม

“อืม แล้ว…”

“ข้าราชการภายในอำเภอนี้ข้าน้อยก็ส่งคนติดตามเช่นเดียวกันขอรับ และดูเหมือนว่าท่านรองแม่ทัพเหิงซานก็ทำเช่นเดียวกัน”

“ไม่ต้องสนใจ”

“ขอรับ”

คุยงานเสร็จถงฝูก็เดินออกมาจากห้อง พอเสียงประตูสิ้นสุดลงมือเรียวของคนในห้องก็หยุดเคลื่อนไหวตวัดพู่กัน หยิบสมุดภาพหน้าปกชมพูขึ้นมาใบหน้าเฉยเมยนั่นช่างไม่เหมาะจะหยิบสมุดเล่มนี้ขึ้นมาเสียเลย

“เรื่องราวดอกท้องั้นรึ จะดีสักแค่ไหนกันเชียว”

 

ซูเมิ่งเดินทางด้วยรถม้าคันไม่คุ้นเคยมายังหมู่บ้านเจ้าปัญหาใช้เวลาเกือบชั่วยามทำให้พอซูเมิ่งในคราบช่างหลินมาถึงก็เป็นเวลาตรวจคนไข้อย่างที่หยางเหวินบอกไว้เมื่อวาน เนื่องจากการออกมาครานี้ซือหมิงไม่ได้มาด้วยจึงมีบุรุษในชุดดำหน้ากากดำอย่างเดียวกับถงฝูตามติดแทน ยามซูเมิ่งเดินเลี้ยวซ้ายชายทั้งสองคนก็เลี้ยวซ้ายไม่ยอมห่างกายซูเมิ่งไม่เเพ้ผู้เป็นนายเลย

“ท่านหมอข้าขออภัยที่มาช้า”

หยางเหวินเงยหน้าขึ้นจากสมุดในมือ เขายืนอยู่ที่ทางเข้าโรงรักษาในชุดสีขาวบริสุทธิ์ลายเมฆาข้างกายมีบ่าวรับใช้คนหนึ่งที่ซูเมิ่งไม่คุ้นตา

“ไม่เลย ข้าก็เพิ่งมาถึงเช่นกัน งั้นเราเข้าไปกันเสียตอนนี้เลยดีหรือไม่?”

ซูเมิ่งพยักหน้าเห็นด้วยและตามหยางเหวินเข้าไปในโรงรักษา ผลจากที่ผู้ป่วยได้รับยาตามสูตรของหยางเหวินนั้นเป็นดังคาด คือสามารถรักษาอาการท้องร่วงได้ แต่ผลการรักษานี้ยังวัดว่าจะรักษาผู้ป่วยโรคนี้ได้หรือไม่ยังไม่ได้ เพราะเทียบยาก่อนหน้าต่างก็รักษาอาการท้องร่วงได้ทั้งนั้นแต่พอผ่านไปไม่นานผู้ป่วยที่เคยหายก็จะกลับมาเป็นใหม่วนซ้ำทำให้จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นและหากจำนวนยังเพิ่มขึ้นและไม่สามารถรักษาได้อย่างนี้ต่อไปหมู่บ้านแห่งนี้อาจถูกประกาศให้เป็นเขตโรคระบาด และความรับผิดชอบนี้ก็ต้องตกมาอยู่ที่ตระกูลไป๋ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวต้นเหตุของโรคอย่างแน่นอน

“จากที่ท่านตรวจอาการ ท่านบอกว่าผู้ป่วยเหล่านี้คือผู้ป่วยท้องร่วงทั่วไปงั้นหรือ?”

“ใช่แล้ว อาการของโรคไม่มีอย่างใดเเตกต่างเลย ยกเว้นเรื่องการกลับมาเป็นซ้ำใหม่เท่านั้น”

หยางเหวินพูดจบก็หันมองไปยังใบหน้าด้านข้างของบุรุษร่างเพรียวบางซึ่งเขารู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด ยามเขาสบสายตาลึกล้ำนั่นก็มีความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างก่อตัวขึ้น

“ประหลาดจริง หากบอกว่าเสบียงที่ทางการส่งมารอบที่เเล้วคือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคจริง จนตอนนี้ชาวบ้านก็ไม่ได้กินอาหารเหล่านั้นแล้ว เหตุใดอาการท้องร่วงจึงไม่หายสักทีกลับเป็นวนซ้ำรักษาไม่หายขาด และชาวบ้านที่ไม่เป็นก็เริ่มเป็นทั้งที่แยกบริเวณที่พักจากผู้ป่วยแล้ว”

หยางเหวินฟังคำกล่าวของซูเมิ่งแล้วคิดตามเงียบ ๆ จนกระทั่งท่านหมอวัยกลางคนที่อยู่รักษามาก่อนหยางเหวินเอ่ยขึ้น

“ข้าเคยคิดว่าโรคนี้อาจเเพร่กระจายได้ตามอากาศ เพราะบางทีข้าราชการที่มาตรวจสอบก็มีอาการท้องร่วงหลังจากเข้ามายังหมู่บ้านนี้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ข้าจึงให้คนคลุมผ้าปิดจมูกและปาก แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีบ้างที่หลังออกจากหมู่บ้านแห่งนี้แล้วมีอาการท้องร่วง”

ซูเมิ่งนิ่งฟังที่ท่านหมอฝูเอ่ย คิ้วเรียวขมวดมุ่นสมองประมวลผลอย่างหนัก

…ทั้งนาง ซือหมิง และคนของเขาต่างก็ไม่มีอาการท้องร่วงหลังจากกลับจากหมู่บ้านนี้เมื่อวาน รวมถึงนายอำเภอถางก็คงไม่มีอาการเช่นกัน

ซูเมิ่งติดตามหยางเหวินและท่านหมอคนอื่น ๆตรวจอาการต่อไปจนกระทั้งท้องฟ้าเริ่มมืดลงจึงตรวจครบทั้งหมด ก่อนหน้านี้ซูเมิ่งได้บอกให้ลูกน้องของซือหมิงที่ตามนางมาทั้งสองคนออกไปรอข้างนอกดังนั้นพอนางออกมาจากโรงรักษาจึงเจอบุรุษทั้งสองยืนตระหง่านรออยู่

“หากคุณชายช่างหลินไม่รังเกียจมื้อค่ำขอเลี้ยงข้าวท่านสักหน่อย”

…พูดถึงเลี้ยงข้าวนางก็รู้สึกหิวมากจริง ๆ มื้อล่าสุดที่กินก็คือเมื่อตอนสาย และตลอดทั้งวันนางก็แทบไม่ได้ดื่มเลยแม้น้ำสักหยด หากจะเก็บความหิวนี้กลับไปกินที่คฤหาสน์ก็ต้องทนหิวอีกนานอย่างน้อยครึ่งชั่วยาม แต่ถ้าไปกับหยางเหวินไม่กี่เค่อก็ได้กินแล้ว!

“ได้เลย ท่านอยากเลี้ยงข้าย่อมไม่ขัดแน่”

รอยยิ้มสว่างไหวถูกส่งไปให้หยางเหวินอย่างไม่รู้ตัว ทั้งที่ใจจริงนางอยากส่งไปให้อาหารที่จะได้กินในอีกไม่กี่เค่อต่างหาก

“เอ้อ พวกเจ้าขับรถม้าตามมาแล้วกัน ข้าจะไปกินข้าวก่อนแล้วค่อยกลับคฤหาสน์”

พูดจบร่างเพรียวบางของบุรุษปลอมนามช่างหลินก็เดินตัวปลิวไปขึ้นยังรถม้าของหยางเหวิน ส่วนลูกน้องทั้งสองคนที่ซือหมิงให้มาติดตามซูเมิ่งจึงจำใจต้องทำตามที่นางบอก พวกเขาเดินทางราวสองเค่อก็มาถึงยังเหลาสุราแห่งหนึ่ง ขนาดไม่ใหญ่เท่าในตัวเมืองอย่างครั้งนายอำเภอถางเลี้ยง แต่ภายในก็ดูสะอาดสะอ้านและคนก็ไม่เยอะมาก

หยางเหวินเดินนำช่างหลินเข้าไปยังโต๊ะด้านในสุดของร้านที่ตั้งห่างออกไปจากโต๊ะอื่นที่สุด นอกจากนี้ก็มีฉากกั้นแยกเป็นส่วนเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้ดียิ่ง

“ที่เเห่งนี้อาจเล็กไปเสียหน่อยแต่ข้ารับรองเลยรสอาหารไม่เเพ้เหลาสุราในเมืองเเน่”

หยางเหวินเอ่ยขึ้นหลังจากที่เขาทั้งสองนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ไม่นานเสี่ยวเอ้อก็เดินเข้ามารับรายงานอาหาร

“ไม่คาดคิดเลยว่าคุณชายช่างหลินจะเป็นน้องร่วมสาบานของคุณชายช่างอิน นิสัยของพวกท่านช่างแตกต่างกันยิ่งนัก”

พอได้ยินดังนั้นซูเมิ่งก็ส่งรอยยิ้มที่นางมักประดิษฐ์ขึ้นยามเข้าหาบุคคลชั้นสูงขึ้นมามอบให้หยางเหวินทันที มิคิดว่าเขาจะเปิดบทสนทนาด้วยเรื่องนี้

“มีเหตุบังเอิญทำให้ข้ากับท่านท่านอินได้ประสบพร้อมกันน่ะ จากนั้นจึงได้ร่วมสาบานเป็นพี่น้องกัน”

“พวกท่านเป็นพี่น้องร่วมสาบานนานแล้วหรือ?”

“ไม่นาน ๆ” พอซูเมิ่งตอบออกไปสีหน้าของหยางเหวินก็เผยความสงสัยแทบจะทันที “ทำไมหรือ? ท่านดูแปลกใจตอนข้าเอ่ย”

หยางเหวินมองสบตาของซูเมิ่งก่อนเอ่ยตอบน้ำเสียงเเฝงความเป็นกันเอง

“ข้าเพียงแปลกใจเพราะคิดว่าท่านทั้งสองน่าจะสนิทกันพอดูน่ะ ท่านรู้ไหมเมื่อวานคุณชายช่างอินถึงขนาดอุ้มท่านกลับเองเชียวนะตอนนั้นท่านกำลังเล่าเรื่องราวน่าสนุกอยู่ ทั้งที่จากข่าวลือบอกไว้ว่าคุณชายช่างอินนั้นเเสนยโสมิแตะต้องแม้สาวงามแต่กลับอุ้มท่านต่อหน้าคนทั้งหมดเมื่อวานนี้”

ข้าเมา ข้าถูกอุ้ม! งั้นหรือ

“เขาเป็นคนอุ้มข้ากลับงั้นหรือ?! และข้าเมาต่อหน้าคนทั้งหมดด้วย!”

หยางเหวินพยักหน้าส่งกลับมาให้ เขารู้สึกขบขันต่อปฏิกิริยาของบุรุษหน้าขาวดั่งหิมะตรงหน้ายิ่งนัก สุดท้ายก็อดกลั้นเสียงหัวเราะมิได้

“ต้องขออภัย หน้าท่านตอนนี้ตลกยิ่งนัก อุ๊บ”

สิ่งที่ทำให้นางตกใจจนเก็บอาการไม่อยู่นั้นมิใช่เรื่องที่ตนถูกแอบกินเต้าหู้เเต่เป็นเรื่องที่นางเมาจนไม่ได้สติต่างหากเล่า! คราเเรกที่ตื่นมาแล้วจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ก็คิดว่านางอาจแค่เมาแล้วหลับไป แต่จากคำกล่าวของหยางเหวินนางเมาและนางก็เล่าเรื่องอะไรบางอย่างด้วย!

“เอ่อ ว่าแต่ข้าเล่าเรื่องอะไรบ้างหรือ?”

ซูเมิ่งกลับมาสงบจิตสงบใจให้เป็นเป็นปรกติ นางรอลุ้นคำตอบของหยางเหวินอย่างจดจ่อ

“อืม คือข้าก็ฟังที่ท่านพูดไม่ค่อยเข้าใจนัก” 

หยางเหวินนึกถึงคำพูดของคนเมาตรงหน้าเมื่อคืน เขาฟังแล้วไม่เข้าใจหลายคำมากผสมกับน้ำเสียงยามเมาทำให้ยิ่งฟังยากเข้าไปใหญ่ ฝ่ายซูเมิ่งพอได้ยินดังนั้นก็พรูลมหายใจออกอย่างโล่งอก

“ข้าก็นึกว่าท่านจะเซียนสุราเสียอีก ไฉนเมาเสียคนแรกเลย” 

หยางเหวินไม่พูดเปล่า น้ำเสียงในเชิงล้อเลียนนั่นทำเอาใบหน้าขาวราวหิมะภายใต้หน้ากากขึ้นสีเลือดฝาด

“ข้าไม่ได้ดื่มนาน มิคิดว่าจะเมาเสียได้ อับอายทุกคนแล้ว ฮ่า”

…ต้องโทษเจ้าร่างอันบอบบางนี้ที่ไร้ความสามารถในการต้านทานฤทธิ์สุรา ซูเมิ่งก็ลืมคิดไปแม้ตนจะฝึกฝนร่างกาย หมั่นออกกำลัง แต่มันก็คนละเรื่องกับการดื่มสุรา เมาไร้สติไม่เข้าท่าเลย หากตนเผลอพูดความลับเรื่องการมาเกิดในร่างนี้ขึ้นมามีหวังซวยแน่ ในวงเหล้านั้นพี่ใหญ่ก็ฟังอยู่เสียด้วย

“อาหารมาพอดีเลย เชิญทานได้ตามสบายเถิดมื้อนี้ข้าเลี้ยงในฐานะที่ได้รู้จักท่านเป็นทางการแล้วกัน”

หยางเหวินพูดจบเสี่ยวเอ้อก็ยกอาหารทั้งหมดมาวางตรงหน้าครบพอดี กลิ่นหอมโชยเข้าจมูกทำเอาน้ำย่อยในท้องของซูเมิ่งรีบประท้วงให้มือเรียวตักอาหารตรงหน้าเข้าปาก ระหว่างนั้นท่านหมอหยางเหวินก็ชวนซูเมิ่งคุยทำให้บรรยากาศคลายความเคอะเขินยามคนแปลกหน้ามาร่วมทานอาหารด้วยกันลง เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ได้จากอาหารเลิศรสแฝงความอบอุ่นอันมีผลมาจากความอัชฌาสัยดีของชายตรงหน้า

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทส่งท้าย

    #####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 50

    #####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 49

    #####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 48

    #####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47 (ต่อ)

    บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47

    #####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status