ログイン#####บทที่ 4 (ต่อ)
“อ่อว ข้าน้อยช่างเบาปัญญา งั้นเหตุใดคุณชายไม่ประมูลด้วยล่ะเจ้าคะ หรือว่า…” ...ไม่มีเงิน
สามคำหลังจากเอ่ยในใจแต่ใครได้มองสบตานางก็รู้ว่าต้องการจะพูดอะไรทั้งสิ้น ทำให้คนที่ถูกดูถูกถึงกลับเลือดขึ้นหน้า
“เจ้า ๆ ….”
“เหมยฮวา”
หยางเหวินเอ่ยเตือนน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ไม่เหมือนการดุว่าแต่เป็นการช่วยเสียมากกว่า
“เหตุใดเจ้าเข้าข้างนางบ่าวนี่ล่ะ ข้าสหายเจ้านะ!!”
เจียฉวี่ลุกขึ้นหันไปจ้องเขม็งเจ้าของบ่าวที่พูดดูถูกเขาอย่างมิสมเป็นบ่าว
“ข้าน้อยก็เป็นบ่าวของคุณชายเหวินเหมือนกัน นอนเรือนเดียวกันด้วย ชิ”
สิ้นคำของนางทุกคนเบิกตาตกตะลึงประโยคก่อนหน้า ส่วนเจ้าคนเจ้าของคำพูดก็อดกอดอกทำหน้าภูมิใจไม่ได้
…ฮ่า ฮ่า เป็นไงล่ะอึ้งไปเลย
“ฮะเเฮ่ม เอ่อ ใช่น่ะสิ เป็นบ่าวรับใช้ข้าก็ต้องนอนในเรือนบ่าวรับใช้ของเรือนข้าอยู่แล้ว เจ้าอย่าถือสานางเลยนางยังเด็ก”
หยางเหวินใบหน้าขึ้นสีเลือดฝาด แต่ก็รีบปรับสีหน้าก่อนหันมาปรามสหายตน
“เห็นว่าเจ้าเป็นเด็กหรอกนะข้าจะไม่ถือสาคำพูดเจ้า ชิงซาทีหลังหัดสอนสั่งมารยาทนางบ้าง เป็นสตรีไยพูดจาหน้าไม่อาย"
เจียอวี่หันไปโบ้ยขี้ใส่บ่าวอีกคน …อย่างน้อยเขาต้องได้ระบายอารมณ์ใส่ใครสักคน ไม่งั้นไม่ยอมแน่
“หาาา ขอรับ ๆ”
ชิงซาเงยหน้าขึ้นตอบรับด้วยอาการงงงวย เเต่ก็ยอมรับคำ
…เขาเป็นชายจะให้ไปสอนเรื่องแบบนี้ให้หญิงสาวได้ไงเล่า โธ่…คุณชายหลิง มาลงที่เขาเฉย
พอเห็นคู่กรณีเปลี่ยนเป้าหมายไปยังอีกคนที่ไม่เกี่ยวด้วยนางก็ทำท่าไม่ยอมอ้าปากโต้กลับ
“ข้าน้อยไม่ใช่เด็ก ….”
พูดยังไม่ทันจบก็ต้องหุบปากลงเพราะเห็นสายตาดุดันของเจ้านายตน ทำให้นางรู้สึกตัว ลืมตนไปว่าตอนนี้อยู่ในฐานะเพียงบ่าว หาใช้คนธรรมดาหรือคุณหนูตระกูลใหญ่
“เอ่อ ข้าน้อยขออภัยคุณชายเจ้าค่ะ ข้าน้อยยังเด็กนักพูดจาอะไรไปไม่คิดก่อน โปรดอย่าถือสาข้าน้อยเลย”
พร้อมก้มหน้าสำนึกผิด
“ชิ บ่าวที่บ้านข้าเด็กกว่าเจ้ายังทำอะไรรู้ความกว่าเสียอีก”
พูดจบก็หันหน้าไปอีกทางพร้อมนั่งลงอย่างแรงจนเก้าอี้สั่นสะเทือน
“นี่เจ้าก็เกรงใจเจ้าของห้องบ้างเถอะ”
หลางฮุ่ยฟูเอ่ยขึ้นปลอบเพื่อน เขาสังเกตการณ์มานานสตรีตรงหน้านี้เป็นคนเเรกที่ตอบโต้สหายเขาชนะอย่างง่ายดาย
หึ น่าสนใจจริง ๆ
“พวกเจ้ามัวแต่เถียงกัน มีคนประมูลได้ไปแล้วนะ”
ฮุ่ยฟูกล่าวต่อหลังเห็นศึกภายในห้องสงบแล้ว
พอทุกคนหันมองไปยังแท่นหินเบื้องหน้าขวดยาก็หายไปเสียแล้ว ส่วนคนด้านล่างเริ่มทยอยออกจากหอเพราะงานประมูลจบลงเป็นที่เรียบร้อย
“เป็นคหบดีลู่น่ะ เเต่กว่าจะสิ้นสุดก็เเข่งกับคหบดีอื่นแทบตาย ยังมีท่านเจ้าเมืองที่ดูไม่ยินยอมเสียด้วย จบแบบอีกฝ่ายดูท่าจะไม่ยอมกันเลย”
เขาเห็นว่าสหายทั้งหลายอาจพลาดเหตุการณ์การประมูลไปจึงบอกเล่าคร่าว ๆ
“เจ้าก็เตรียมตัวไว้นะ ข้าว่าท่านเจ้าเมืองเราอาจอยากไปซื้อกับเจ้าโดยตรง”
“ขอบใจเจ้ามาก อืม ข้าคงประเมินความต้องการคนต่ำไป ไม่คิดว่าจะแย่งกันเพียงนี้” หยางเหวินยกมือขึ้นลูบคางครุ่นคิด
“อืม งั้นพวกข้าไปก่อนนะ”
พูดจบก็ลากเจี่ยฉวี่ไปด้วยแม้เจ้าตัวจะไม่เต็มใจก็ตาม
“งั้นชิงซา เจ้าไปบอกคนข้างล่างเถอะว่าจะกลับแล้ว”
หลังจากชิงซาจากไปจู่ ๆมีเสียงเคาะประตูขึ้น
“คุณชายเย่ขอรับ นายท่านเจ้าของหอสรรพสิ่งมาขอพบขอรับ”
บ่าวรับใช้ข้างหน้าห้องตะโกนเข้ามา หยางเหวินเดิมที่เหม่อมองไปยังลานเบื้องล่างอันว่างเปล่าครุ่นคิดเรื่องที่สหายเตือนก่อนหน้าก็หลุดจากภวังค์ พอบ่าวรับใช้เฝ้าประตูได้ยินการตอบรับ ประตูจึงค่อย ๆเปิดออก ไป๋ซูเมิ่งยืนอยู่ข้างเก้าอี้ของหยางเหวินแอบเหลือบตามองไปยังประตู นางอยากรู้ว่าเจ้าของหอสรรพสิ่งจะหน้าตาเป็นอย่างไร แก่หรือไม่ เป็นสตรีหรือบุรุษ มีความคิดจากไหนถึงสร้างเครือข่ายที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้ได้
ไม่รู้ว่านางเพ่งมากไปหรืออย่างไรพอแขกคนเเรกเดินเข้ามาก็สบตากับนางทันทีนางสบตากับเขาครู่หนึ่งก่อนรีบหลบสายตาก้มหน้าลงต่ำ หัวใจเต้นแรงราวคนหนีความผิด
…แววตาดูมีเลศนัยแล้วใบหน้ายิ้มร้ายนั่นอีกล่ะ ราวกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ชัด ๆ
รูปร่างสูงโปร่งท่วงท่าผ่อนคลาย เขาสวมใส่อาภรณ์สีดำมีลายปักแดงเป็นดอกไม้ ตรงเอวคาดเข็มขัดหยกน้ำงาม ในมือถือพัดจีบสีดำดังเช่นชุด ส่วนใบหน้านั้นสวมหน้ากากกินพื้นที่บนใบหน้ากว่าเจ็ดส่วน
“สบายดีหรือไม่คุณชายเย่”
ชายสวมหน้ากากพอเข้ามาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ดูนอบน้อมสามส่วนแต่แฝงอำนาจบางอย่างเป็นเสียส่วนใหญ่
“คนของท่านดูเเลดีมากเชียว ว่าแต่ท่านมาด้วยเหตุใดรึ เรื่องการตกลงราคาข้าเขียนสัญญาซื้อขายกับลูกน้องท่านไปแล้วคงเปลี่ยนไม่ได้กระมัง"
หยางเหวินไม่ได้ชวนผู้มาใหม่นั่งแต่อย่างใด ทำเอานางแอบเหลือบไปยังคนมาใหม่อีกครั้ง เขาพาลูกน้องมาด้วยอีกคนซึ่งสวมหน้ากากดำเช่นกันเเต่เป็นแบบเรียบ ๆไม่ดูอู้อ้าฟุ้งเฟ้อแบบผู้เป็นเจ้านาย
นางอยากดูหน้าเจ้าคนหน้าด้านเสียหน่อย ดูก็รู้ว่าหยางเหวินไม่ได้อยากสนทนาด้วย เชิญนั่งก็ไม่ได้เชิญ และยังคำถามนั้นอีก
“ฮ่าฮ่า คุณชายไยพูดตัดรอนกันเยี่ยงนั้น เชิญนั่งก่อน ๆ ลู่หมิงรินน้ำชาที”
พูดจบร่างสูงก็เดินท่วงหน้าสง่างามมือขยับพัดเดินผ่านหน้านางไปนั่งเก้าอี้ที่ว่างอยู่ ลูกน้องหน้ากากดำที่ชื่อลู่หมิงก็ยกน้ำชาที่นำมาเองจากบ่าวข้างนอกนำมาวางบนโต๊ะ รินชาสองถ้วยก่อนถอยออกมายืนข้างโต๊ะเจ้านาย
ซูเมิ่งที่ยืนอยู่ก่อนหน้าจำต้องเขยิบถอยออกอย่างไม่เต็มใจ เพราะนายกับบ่าวทั้งสองทำราวกับในห้องนี้ไม่มีนาง ส่วนหยางเหวินก็ยืนอยู่ที่เดิมมองสองนายบ่าวอย่างไม่รู้สึกเเปลกใจมากอย่างนาง เเต่แววตาดูลึกขึ้น
“นี่เป็นชาที่ข้าชอบช่วงนี้อย่างยิ่งเชียวนะ” พูดพลางยกชากลิ่นหอมกรุ่นขึ้นดื่ม
ขนาดนางอยู่ไกลพอได้กลิ่นก็รู้สึกกระหาย หยางเหวินที่ใกล้กว่าคงทรมานน่าดู
พอมองไปที่เจ้านายตนก็ต้องแอบยกย่องเขาในใจ ท่าทางยังคงสง่ายืนเหยียดหลังตรงเช่นเดิม เนื่องจากเขาใส่ชุดขาวนวลสีประจำ พอมายืนข้างชายเจ้าของหอสรรพสิ่ง สองหนุ่มดูราวหยินหยาง แตกต่างกันสุดขั้ว
“ขอบคุณคุณชายช่างอิ่น ข้ามีธุระต้องไปทำต่อหากคุณชายไม่มีเรื่องสำคัญไว้เราค่อยคุยคราหน้า…”
ก่อนหยางเหวินพูดจบช่างอิ่นเอ่ยขัดราวกับรู้อยู่แล้วว่าคนตรงหน้าจะพูดอะไร
“อืม สำคัญแน่นอน เชิญคุณชายนั่งก่อน ดื่มชาไปคุยไปพลาง คุณชายเห็นว่าอย่างไร”
ริมฝีปากโค้งขึ้นแต่จากน้ำเสียงกดดัน ขาดก็แต่ใช้กำลังพาหยางเหวินมานั่งแล้ว
“คุณชายพูดธุระมาเถอะข้ายืนได้”
“งั้นแล้วเเต่คุณชายเลย”
เขาขยับขาให้สบายขึ้น “เรื่องโอสถเสริมกำลังภายในน่ะ ข้าต้องการทำสัญญาซื้อขายกับท่านอย่างเป็นทางการ”
“ข้าบอกท่านไปแล้วนะว่าเราทำกันไปเรียบร้อยแล้วกับลูกน้องท่าน ไย…”
“ข้าหมายถึงโอสถที่ท่านยังไม่ได้ผลิตต่างหาก โสมพันปีที่ทางหอโอสถตระกูลเย่ขุดได้คงไม่สามารถทำโอสถได้เพียงเม็ดสองเม็ดหรอกกระมัง”
ชายสวมหน้ากากดำขลิบขอบทองหันมาสบสายตากับหยางเหวิน สองชายหนุ่มจ้องนิ่งอย่างไม่มีใครยอมใคร หยางเหวินเป็นฝ่ายละสายตาออกก่อน
“เหตุใดข้าต้องทำการค้ากับท่านด้วย ในเมื่อมีคนตั้งมากมายอยากได้เช่นเดียวกับท่าน”
บรรยากาศในห้องพลันต่ำลงน่าใจหาย
“หึ คุณชายเย่พูดจาน่าขันเชียว ท่านให้ผู้คนรู้จักโอสถผ่านทางหอสรรพสิ่งพอสมปรารถนาท่านก็รื้อสะพานเสียแล้ว”
เสียงหัวเราะทำเอานางขนลุกชัน เจ้าหน้ากากดำนี่สามารถกดดันคนได้ผ่านคำพูดที่ดูสบายและท่าทางผ่อนคลาย ดูน่ากลัวเชียว หากเป็นนางเลือกได้ก็ไม่อยากทำการค้ากับจิ้งจอกอย่างนี้เช่นกัน
“ข้าได้ตอบแทนคุณชายไปแล้ว งั้นข้าขอนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับท่านพ่อก่อน ท่านเห็นว่าเป็นอย่างไร?”
“ได้สิ ข้ามาวันนี้ไม่คิดกดดันคุณชายเย่อยู่แล้ว หวังว่าข้าจะได้ทำการค้ากับท่าน เดินทางปลอดภัย”
พูดจบช่างอิ่นก็เดินนำลูกน้องหน้ากากดำออกจากห้องไป ฝีเท้าผ่อนคลายราวกับเรื่องเมื่อครู่นี้ไม่สามารถทำให้เขากังวลใจได้
“นายท่านคิดว่าคุณชายเย่จะทำการค้ากับเราหรือขอรับ คำพูดนั่นดูเหมือนผลัดไปก่อนชัด ๆ”
“รอดูเถอะ ข้ามีวิธีให้เขายอมทำการค้ากับเราอย่างเต็มใจแน่นอน”
#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







