แชร์

บทที่ 45 (3)

ผู้เขียน: มายุมายูมายา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-12-01 21:28:44

บทที่ 45 (3)

“ย่อมเป็นคุณหนูอยู่แล้วน่ะสิ”

ซูเมิ่งละสายตาที่มองไปด้านหน้าและหูที่เงี่ยฟังมามองที่เย่าถิงพลางส่ายหน้าระอา

...บ่าวของนางคนไหนคนไหนก็อวยนายเก่งเป็นที่หนึ่งจริง ๆ

แต่พอซูเมิ่งกลับมาสนใจแม่นางทั้งสองคนก็พบว่าพวกนางจากไปเสียแล้ว พอจะหาฟังคนกลุ่มอื่นรอบกายก็ไม่มีอะไรน่าสนใจจึงรีบดื่มชาให้หมดและกลับจวน

ทันทีที่กลับถึงจวนนางได้รับคำเชิญจากองค์หญิงเฟิงอี้ให้ไปงานชมดอกไม้ที่พระองค์จัดขึ้นในตำหนักพระองค์ หากนับจากวันนี้ก็อีกสองวันถึงวันกำหนดการ และแน่นอนคำเชิญนี้ซูเมิ่งไม่สามารถเลี่ยงได้แม้ใจนางจะไม่ค่อยถูกจริตกับองค์หญิงองค์นี้เพียงใดก็เถิด 

งานชมดอกไม้ที่ว่าจะเป็นงานอารมณ์แบบสาว ๆไปรวมกันกินดื่มน้ำผลไม้ ขนม แล้วก็ไปชมดอกไม้ที่บานอยู่ที่ตำหนักขององค์หญิงเฟิงอี้นั่นแหละ สำหรับซูเมิ่งแล้วนางยังไม่สามารถเดาได้เลยว่าเจตนาที่องค์หญิงเชิญนางไปนั้นมีอะไรแอบแฝงหรือไม่ เพราะครั้งล่าสุดที่เจอกันก็คือตอนที่ถูกกลุ่มชายชุดดำลอบโจมตีที่ป่าในงานล้อมป่าล่าสัตว์ ซึ่งดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ตอนนั้นก็ไม่ได้จบแบบเป็นเพื่อนที่ดีติดจะอึดอัดประหลาดมากกว่า แล้วยิ่งซูเมิ่งได้แต่งงานกับชินหวังผู้ซึ่งคือคนที่องค์หญิงชอบเป็นพิเศษอาจจะมีเจตนาต้องการทำอะไรบางอย่างกับนางก็ได้ ใครจะไปรู้เล่า

และวันงานชมดอกไม้ที่องค์หญิงเฟิงอี้เชิญก็มาถึง ซูเมิ่งถูกปลุกให้ขึ้นมาแต่งตัวตั้งแต่เช้าตรู่ ทั้งชุดและเครื่องประดับนั้นเป็นเย่าถิงที่จัดการไว้ให้นางเรียบร้อย โดยซูเมิ่งขอให้บ่าวผู้เรียบร้อยของนางคงความเรียบไว้หน่อย แต่พอแต่งออกมาก็ดูเกินหน้าเกินตาไปนิดซูเมิ่งจึงหยิบเครื่องประดับที่อยู่ตามตัวออกไปเสียมาก จนเหลือเพียงชุดสีเขียวสบายตาลวดลายดอกไม้ถูกปักตามชายขอบแขนเสื้อและริมกระโปรง ส่วนเครื่องประดับก็เน้นเป็นหยกเนื้องามและไม่ลืมปักปิ่นคู่ใจของซูเมิ่งเสียบบนผมหนึ่งและพกไว้อีกหนึ่ง เผื่อเกิดเรื่องอันใดจะได้ใช้ได้ทันการ

พอซูเมิ่งแต่งตัวเรียบร้อยแล้วนางจึงเดินออกมาพอถึงหน้าประตูจวนก็เห็นทั้งท่านแม่ของนางและเจียงเหมยยืนรออยู่ก่อนแล้ว

...ดูท่านางจะไม่ได้ถูกเชิญคนเดียวแล้วล่ะ

“เดินทางไปกลับดีดีล่ะ”

น้ำเสียงแฝงความห่วงใยของเฟยจินเอ่ยแก่ผู้เป็นหลาน นางชายตามองซูเมิ่งชั่ววาบเดียวแล้วหันกลับมา ตั้งแต่วันที่ตนถูกหักหน้าที่ซูเมิ่งไม่ยอมทำตามคำสั่ง เฟยจินไม่ได้คุยกับซูเมิ่งอีกเลย หน้าก็ไม่เห็นจนเพิ่งมาพบกันอีกคราก็วันนี้แหละ

“เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านป้ามากเจ้าค่ะ ที่เป็นผู้เลือกชุดและเครื่องประดับให้ข้า หากไม่มีท่านป้าข้าอาจต้องขายหน้าเป็นแน่”

เสียงดังพอให้เข้าหูซูเมิ่งทำเอาซูเมิ่งลอบเบะบาง 

...พูดไปเถอะ คนอย่างนางไม่มานั่งน้อยใจเรื่องไร้สาระจำพวกนี้หรอก

“หลานรักข้า ข้าย่อมต้องใส่ใจเจ้าอยู่แล้ว ไปเถอะ”

เฟยจินส่งหลานตัวเองขึ้นรถม้าเสร็จก็เดินเข้าจวนทันที ส่วนซูเมิ่งรอเผยหนิงขึ้นก่อนนางจึงขึ้นรถม้าตามขึ้นไป เนื่องด้วยไปเพียงสี่คน ก็คือนาง ถิงเย่ เจียงเหมย และบ่าวของเจียงเหมยอีกคน จึงใช้รถม้าของตระกูลไป๋เพียงคันเดียว พอทุกคนขึ้นรถเรียบร้อยรถม้าก็ออกตัวมุ่งสู่พระราชวังทันที

ตรงบริเวณทางเข้าพระราชวังมีคนรอรับเหล่าคุณหนูอยู่แล้วเพียงยื่นป้ายทางเข้าซึ่งจะมีเฉพาะคนที่ได้รับคำเชิญจะมีกงกงมารับไปยังตำหนักขององค์หญิงทันที

ภายในตำหนักขนาดจุคนได้มากประมาณนึงถูกจัดแบ่งเป็นโต๊ะทานอาหาร โดยทุกโต๊ะจะพยายามหันรวมไปยังโต๊ะขนาดใหญ่ศูนย์กลางห้องนี้ ซึ่งน่าจะเป็นขององค์หญิงเจ้าของงานนั่นเอง ตอนนี้ทั้งซูเมิ่งและเจียงเหมยเข้ามาข้างในตำหนักที่จัดงานได้สักพักแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นแม้เงาขององค์หญิงเฟิงอี้เลย จนภายในงานมีเหล่าคุณหนูจองที่นั่งเกือบเต็มแล้ว และเวลาผ่านไปอีกหนึ่งเค่อเฟิงอี้จึงออกมาพร้อมความอลังการของชุดสีแดงเพลิงโดดเด่นมิมีใครเกิน

พอเจ้าของงานมานั่งฉับพลับภายในห้องก็เงียบลง มีเพียงเสียงคนคุยโดยบทสนทนาจำต้องเป็นเฟิงอี้เริ่มถามเท่านั้น จวนจนคำถามของเฟิงอี้มาตกที่ซูเมิ่งบ้าง

“อ้อ ข้าลืมยินดีกับคุณหนูซูเมิ่งจริงเชียว ที่สามารถเอาชนะใจท่านอาซือหมิงของข้าได้ สงสารก็เพียงแต่ท่านพี่เทียนเหิง ข้าจำได้ว่าเจ้าตามติดท่านพี่ข้ามากนานอยู่ ๆเจ้าไปแต่งงานกับท่านอาเข้า คงใจโหวงบ้างแหละ”

สิ้นคำเสียงสนทนาถึงหัวข้อที่องค์หญิงเปิดมาก็ดังขึ้นเบาบาง ต่างวิจารณ์กันสนุกปาก เพราะหัวข้อการสนทนานี้ไม่ใช่ว่าไม่มีใครคิดแต่เพียงไม่มีใครกล้าเปิดเพียงเท่านั้นเพราะมันคือเรื่องเกี่ยวกับราชวงศ์ที่ไม่ใช่ใครที่ไหนก็พูดถึงได้

ซูเมิ่งเงยหน้าขึ้นสบตาแกมเย้ยหยันของเฟิงอี้ ซึ่งสายตาดวงนี้คือคู่เดียวกันกับที่เจอกันครั้งแรกที่ป่าแต่ต่างอารมณ์ยิ่งนัก ทว่าซูเมิ่งเองก็แอบไม่เข้าใจว่าเพียงนางได้แต่งกับท่านอาสุดที่รักของพระนางแล้วถึงขนาดต้องนำเรื่องราวในครอบครัวมาเดิมพลันเพื่อทำให้ซูเมิ่งอับอายเชียวหรือ 

“ขอบพระทัยสำหรับความยินดีเพคะ”

ซูเมิ่งเลือกที่จะไม่ต่อความยาวเรื่องที่เฟิงอี้ตั้งใจยั่วโมโหนาง พอซูเมิ่งเอ่ยขอบคุณเสร็จก็ก้มหน้าลงทานต่อ บนใบหน้านางไม่มีแม้อารมณ์ใดใดเปลี่ยนไป 

“งั้นข้าทานพอแล้ว ไปชมดอกไม้ที่สวนกันเถอะ”

เป็นนางกำนัลคนหนึ่งพาเหล่าคุณหนูราวสิบคนที่มาในงานนี้ทั้งหมดไปยังสวนดอกไม้ที่ว่า โดยไม่ลืมห่มผ้าคลุมเพิ่มด้วยเพราะข้างนอกมีหิมะตกประปรายยังไม่หายและอากาศก็หนาวพอตัว พอมาถึงนางกำนัลคนพามาก็ปล่อยให้เหล่าคุณหนูเดินชมได้ตามอัชฌาสัย ส่วนองค์หญิงเฟิงมาเดินด้วยสักพักก็เดินกลับเข้าไปบอกว่าตัวเองอยากพักผ่อนเสียแล้ว 

ประหลาดคน ตัวเองชวนมาแท้ ๆแต่ตลอดทั้งงานไยนางรู้สึกได้ว่าองค์หญิงดูไม่เต็มใจจัดงานเลยสักนิด

ระหว่างซูเมิ่งคิดเพลิน ๆ นางเดินกับถิงเย่กันสองคนตามลำพังก็มีนางกำนัลคนหนึ่งเดินเข้ามาหาซูเมิ่ง พร้อมเอ่ยว่าองค์หญิงเชิญไปคุยด้วยสักครู่ ตอนนี้นางกับถิงเย่จึงเดินแยกตามนางกำนัลมา

“เชิญคุณหนูเข้าไปด้านในเลยเจ้าค่ะ ส่วนบ่าวที่ติดตามมาโปรดรออยู่ด้านนอก”

ถิงเย่จำต้องรออยู่ด้านนอกและให้ซูเมิ่งเข้ามาอย่างขัดไม่ได้ ส่วนซูเมิ่งก็เดินเข้าไปยังตำหนักรับรองแห่งหนึ่ง พอนางเข้ามาประตูด้านหลังก็ปิดลงทันที

องค์หญิงคงไม่คิดทำอะไรแผง ๆหรอกกระมัง อย่างเช่นมุกเรียกนางมาแต่กลับให้ในห้องมีบุรุษรอทำมิดีมิร้ายนางอยู่เป็นต้น

“หือ ไม่มั้ง”

พอเดินเข้าไปภายในห้องลึกหน่อยซูเมิ่งถึงกับลืมตัวอุทานเสียงเบา เพราะตรงหน้านางคือคนแสนคุ้ยเคย

“ข้ามาหาองค์หญิงเฟิงอี้ นางกำนัลคงนำข้ามาผิดห้องกระมัง ขอประทานอภัยด้วยเพคะ”

เว่ยเทียนเหิง หรือก็คือองค์ไท่จื่อนั่นเอง

“ไม่ผิดหรอก ข้าเป็นคนขอให้เฟิงอี้พาเจ้ามาพบกับข้าเองแหละ ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า”

เสียงทุ้มเอ่ยพลางยิ้มบางเบา สายตาที่เขาส่งมาให้นางทำเอาขนลุกประหลาด เหมือนสายตาที่ใช้มองคนรักอย่างไรอย่างนั้น

“หากพระองค์ต้องการคุยกับหม่อมฉันจริงเอาไว้นัดกันคราหลังเถอะเพคะ คุยกันในที่เยี่ยงนี้ไม่เป็นดีทั้งกับพระองค์และหม่อมฉัน”

สิ้นคำซูเมิ่งหมุนตัวจะเดินออกทางประตูที่ตนเข้ามา แต่เท้าบางจำต้องหยุดเพราะแรงที่ดึงรั้งแขนข้างหนึ่งของนาง พอหันกลับมาก็เป็นเทียนเหิงที่ก้าวมาจับมือนางไว้เมื่อครู่

ซูเมิ่งใช้สายตาแข็งกร้าวมองไปที่มือตนที่ถูกจับก่อนเงยขึ้นมองเจ้าของมือหนา 

“ปล่อยเพคะ พระองค์อย่าลืมว่าอีกไม่กี่สิบวันข้างหน้าหม่อมฉันจะออกเรือนแล้วทำเช่นนี้คงไม่เหมาะกระมัง”

แต่เหมือนเจ้าของมือหนาจะไม่สนใจคำพูดของนางเขาใช้สายตาอาลัยอาวรณ์ส่งมาอย่างไม่ยอมแพ้ จนสุดท้ายความอดทนของซูเมิ่งหมดลง ร่างบางหมุนแขนข้างที่เขาจับนางสุดแรงจนเทียนเหิงจำใจต้องปล่อย ก่อนที่ซูเมิ่งจะก้าวถอยหลังสร้างระยะห่างเพิ่ม

“ข้าไม่ได้อยากแต่งงานกับเผยหนิง แต่มันเป็นเรื่องจำยอม ข้าไม่สามารถขัดท่านแม่ได้”

ซูเมิ่งแค่นเสียงหัวเราะมองตอบกลับ สายตานางไร้ความรู้สึกรักใคร่ใดใด

“พระองค์มีเพียงเท่านี้ใช่หรือไม่ งั้นหม่อมฉันขอทูลลา”

“หากเจ้าต้องการข้าจะทูลขอเสด็จพ่อให้แต่งตั้งเจ้าเป็นชายาเอกและให้เผยหนิงเป็นชายารอง!”

หึ มิเคยมีใครบอกเขาหรอกหรือว่าเขาช่างเห็นแก่ตัวเป็นที่สุด ซูเมิ่งรู้สึกสงสารซูเมิ่งคนก่อนที่ไปหลงรักผู้ชายมักมากคนนี้ และตอนนี้นางชักเริ่มสงสารเผยหนิงบ้างเสียแล้ว 

ซูเมิ่งได้ฟังดังขั้นนางถอนหายใจโดยพลัน ก่อนเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังหันหลังให้เทียนเหิงอยู่

“เป็นพระกรุณายิ่งเจ้าค่ะ แต่หม่อมฉันไม่ต้องการ ทูลลาเพคะ”

ซูเมิ่งไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้า ตอนนี้แม้เสียงนางก็ไม่แม้จะอยากฟัง ส่วนเทียนเหิงนั้นนิ่งอึ้งกับความเปลี่ยนไปของสตรีที่เคยรักเขาหมดใจยิ่ง การที่นางจากไปโดยไม่แม้แยแสข้อเสนอที่เขายื่นให้ทำเอาผู้มีตำแหน่งไท่จื่อถึงกับหน้าชา และนอกจากพวกเขาทั้งสองคนแล้วหารู้ไม่ว่าเบื้องหลังลึกสุดของห้องนั้นสตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นว่าที่ชายาเอกแต่จะถูกถอดให้เป็นเพียงชายารองยืนฟังอยู่ สองมือกำแน่น ใบหน้าเปลี่ยนสีเดี๋ยวซีดเดี๋ยวคล้ำอย่างอดกลั้น

“ไป๋ซูเมิ่ง ไยเจ้าถึงได้รอดกลับมาขวางข้าอยู่ร่ำไป ทำไมเจ้าไม่ตาย ๆไปเสีย”

 

“คุณหนูเจ้าคะเกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”

ไป๋จื่อวิ่งเข้ามาหาซูเมิ่งที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องมาพักหนึ่งแล้ว นางมองใบหน้าแตกตื่นของบ่าวอย่างไม่นึกประหลาดใจ เพราะไม่ว่าเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ไป๋จื่อก็จะวิ่งเข้ามาด้วยใบหน้านี้เสมออยู่แล้ว

“ดื่มน้ำก่อน ๆ”

ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งพยักหน้าไปยังชุดน้ำชาที่น่าจะเย็นระดับหนึ่งแล้ว เนื่องจากว่าตอนนี้อากาศหนาวเย็นขึ้นอีก และตรงโต๊ะที่วางชุดน้ำชาก็อยู่ตรงหน้าต่างห้องพอดี

ไป๋จื่อรีบดื่มน้ำชา ก่อนรีบเอ่ย

  “ท่านแม่ทัพเรียกคุณหนูไปพบเจ้าค่ะ”

พอได้ยินดังนั้นซูเมิ่งจึงละมือจากกองหนังสือตรงหน้าไปยังโถงกลาง ระหว่างทางไป๋จื่อก็บอกว่านางไปได้ยินบ่าวในครัวพูดถึงข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับนางมา การที่ท่านพ่อเรียกซูเมิ่งไปพบอาจเป็นเพราะเรื่องนี้ก็เป็นได้ ซึ่งพอซูเมิ่งไปถึงนางก็พบทั้งพี่ชายทั้งสอง ท่านพ่อ เฟยจิน เจียงเหมย และครอบครัวสายรองด้วย

บรรยากาศนี้คล้ายเมื่อยามที่นางเพิ่งเข้าร่างใหม่ ๆและหาทางกลับมาจวนเองได้เลย ตอนนั้นนางก็ถูกเรียกมาคุยท่ามกลางคนตระกูลไป๋อย่างนี้ บรรยากาศกดดันพร้อมแววตาหลายคู่ที่มองมาที่ซูเมิ่งราวแฝงความไม่พอใจบางอย่าง

“นั่งสิ”

ไป๋หย่งคังเอ่ยขึ้นหลังจากที่ซูเมิ่งย่อคารวะทุกคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“เมื่อวานก่อนกลับจวน เจ้าไปไหนมา”

ซูเมิ่งย่นคิ้วเพราะความสงสัยในคำถามนั่น เมื่อวานนี้นางว่าท่านพ่อก็รู้นี่นาว่าซูเมิ่งถูกเชิญไปงานชมดอกไม้ขององค์หญิงเฟิงอี้ เหตุใดถึงถามอย่างนี้

“ข้าก็ไปงานชมดอกไม้ไงเจ้าคะ มีอะไรหรือเปล่า” 

สายตาที่มองนางราวโกรธแค้นอันใดมาของเฟยจิน เจียงเหมย และสายรอง ทั้งยังคำถามแปลกๆนี่อีก

“หึ หากเจ้าไปงานชมดอกไม้อย่างคนธรรมดาทั่วไปจริง คงไม่มีข่าวว่าเจ้าลักลอบคบชู้อย่างเช่นในข่าวลือหรอก”

เฟยจินเอ่ยขึ้น นางอดทนมองใบหน้าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ของซูเมิ่งมิได้ แต่กลับได้สายตาดุดันจากผู้เป็นสามีแทน

“ชู้? อย่างนั้นหรือ” อย่าบอกนะว่าหมายถึงตอนที่นางถูกหลอกให้ไปพบไท่จื่อ

“เมื่อวานตอนช่วงท้ายของงาน เจ้าหายไปไหนข้าตามหาเจ้าตั้งนาน หาจนทั่วก็ไม่เห็นอยู่ที่สวนเลย คงไม่ได้แอบไปพบองค์ไท่จื่อตามที่คนด้านนอกพูดใช่หรือไม่?”

เจียงเหมยเอ่ยถามซูเมิ่ง น้ำเสียงใสกระจ่างนั้นเหมือนคนสงสัยจริง แต่อย่างไรนางก็มองออกว่าเจียงเหมยต้องการใส่ไฟนางต่างหาก 

“ข้าถูกองค์หญิงเรียกไปพบ ตะ...”

“หากเจ้าจะบอกว่าอยู่กับองค์หญิงคงมิใช่กระมัง ก่อนข้าออกมาตามหาท่าน องค์หญิงหญิงเฟิงอี้เพิ่งถามถึงเจ้าไปเอง พระนางกลับเข้ามาในสวนคราหลังตอนที่เจ้าไม่อยู่นานแล้ว”

เจียงเหมยพูดจบบนใบหน้าประดับรอยยิ้มสะใจส่งมาให้นางชั่ววาบหนึ่ง ทั้งห้องหันมามองที่ซูเมิ่งหวังรอคำตอบ

เหอะ เมื่อวานมิรู้เป็นแผนของผู้เป็นพี่หรือผู้เป็นน้อง คนนึงให้นางกำนัลมาเชิญ ส่วนอีกคนก็รออยู่ในห้องพร้อมเสร็จสรรพ แต่ที่คาดไม่ถึงคือเทียนเหิงจะกล้านำชื่อเสียงของตัวเองมาเสี่ยงเพื่อขัดขวางนางถึงเพียงนี้

...มันออกจะได้ไม่คุ้มเสียไปหน่อย

ตอนนี้หากนางบอกไปว่าตนถูกหลอกให้ไปพบองค์ไท่จื่อ และมันเป็นแผนของใครบางคน ถึงอย่างไรข่าวเสียหายก็แพร่ออกไปเสียแล้ว ก็คงไม่มีใครเชื่อนางหรอกกระมัง ก็ในเมื่อพวกนั้นตั้งใจให้เรื่องนี้มันเกิดนี่

“ที่เจ้าเงียบหมายความว่าเป็นข่าวลืออย่างนั้นใช่หรือไม่!”

เป็นเฟยจินแม่บังเกิดเกล้าของซูเมิ่งที่เอ่ยขึ้นมา ในใจของเฟยจินรู้สึกรังเกียจสตรีผู้นี้ยิ่งนัก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซูเมิ่งเป็นต้นเหตุให้คนในตระกูลไป๋อับอาย ตั้งแต่มีข่าวลื่อเรื่องที่คุณหนูซูเมิ่งลักลอบคบชู้ขึ้นมา นางไม่กล้าแม้จะย่างเท้าออกนอกจวนเลย ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนรุ่มในใจแทบทนมองหน้าไม่ไหว

“พูดมาเถิดเมิ่งเอ๋อ” ไป๋หย่งคังเอ่ยเสียงราบเรียบแต่ทรงพลัง

“เจ้าค่ะ ข้าไปพบองค์ไท่จื่อจริงแต่มิได้ตั้งใจ ข้าถูกอง...”

“หุบปากไปเลย เจ้าได้รับความกรุณาจากองค์ชินหวังไม่พอหรือจำต้องลักลอบพบเป็นชู้กับไท่จื่อด้วยหรือไร นิสัยนี้ถ่ายทอดมาจากสายเลือดมิผิดเพี้ยนจริงเชียว”

“หุบปาก!” 

ไป๋หย่งคังตะคอกเฟยจินเสียงดังลั่นเรือน ทุกคนล้วนตกใจเสียงนั่นและท่าทีกรุ่นโกรธของหย่งคังยิ่งนัก ฝ่ายเฟยจินเมื่อถูกตะคอกใส่ก็เผยสีหน้าไม่พอใจ นางมองไปยังผู้เป็นสามีอย่างอดกลั้นใบหน้าขึ้นสีแดงอัดอั้นตันใจ เมื่อเห็นว่าทำอะไรไม่ได้ก็สะบัดตัวจากไป พร้อมน้ำเสียงและท่าทีน้อยอกน้อยใจแฝงอัดอั้นตันใจบางอย่าง

“เรื่องที่คนข้างนอกพูดหากใครในเรือนนำเข้ามาพูดที่จวนไป๋ ข้าจะไล่ออกให้หมด” 

พูดจบร่างหนาแผ่นหลังเหยียดตรงก็เดินจากไป เมื่อทุกคนเห็นผู้เป็นใหญ่ในตระกูลจากไปจึงค่อย ๆ ทยอยลุกขึ้นจนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่ง และเจียงเหมยที่นางยืนรอให้คนอื่นออกไปจนหมด

“ชุดที่ข้าตัดไว้เพื่อร่วมงานแต่งงานของเจ้าจะได้ใช้ไหมน้า ทำเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงเพียงนี้คุณหนูซูเมิ่งผู้สง่างามอย่าหวังเลยว่าจะยังได้แต่งกับท่านชินหวังอยู่ คริคริ”

ซูเมิ่งตื่นจากภวังค์ที่กำลังคิดถึงท่าทีแปลกประหลากของท่านพ่อและคำพูดของเฟยจิน นางลุกขึ้นเดินไปทางประตูโดยไม่สนใจคำพูดของเจียงเหมยเลยสักนิด

“ชิ เจ้าอวดดีไปเถอะ หากถูกยกเลิกแต่งงานเมื่อไหร่เจ้าพูดไม่ออกแน่”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทส่งท้าย

    #####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 50

    #####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 49

    #####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 48

    #####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47 (ต่อ)

    บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47

    #####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status