เข้าสู่ระบบ#####บทที่ 6
หลังจากทุกคนในจวนรู้เรื่องที่หยางเหวินถูกโจรปล้น จนได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการเสียเลือดมากเกินไป นอนพักในเรือนนานสามวันพอเข้าวันที่สี่เขาเดินออกมาสูดอากาศในสวนของเรือน นางจึงได้เจอหน้าเป็นครั้งเเรกนับจากเรื่องวันนั้น
ซูเมิ่งเบนทิศการเดินเปลี่ยนไปทางบริเวณที่หยางเหวินยืนอยู่ ข้างกายชายหนุ่มมีบ่าวรับใช้ชื่อมู่ลี่ยืนเบื้องหลัง พอนางเห็นซูเมิ่งก็ถลึงตาใส่ แต่นางหาสนไม่…
ซูเมิ่งทำความเคารพเขาเช่นเดิม
“คุณชายหายดีหรือยังเจ้าค่ะ?” นางยิ้มตาหยี
“ฮึ่ม เอ่อ ดีขึ้นมากแล้ว เจ้าล่ะบาดเจ็บอะไรหรือไม่?”
หยางเหวินกลับมาทำสีหน้าสงบอีกครั้งเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ เพราะวันนั้นพอเขากลับถึงจวนก็แยกจากนางทันที ยังไม่ทันสังเกตว่านางบาดเจ็บหรือไม่ และตลอดเวลาก็เป็นบ่าวของท่านแม่ที่คอยดูเเลเขาตลอด ไม่เห็นนางไปเยี่ยมเขาสักนิด ก็นึกว่าอาจบาดเจ็บหนัก
…แต่ดูจากสีหน้าท่าทางนางดูสบายดีจึงอดน้อยใจไม่ได้
“บ่าวมีรอยช้ำเล็กน้อยเจ้าค่ะ ตอนนี้หายดีแล้ว”
เอาจริงคือนางพูดปด มีแค่รอยช้ำจริงแต่มันยังไม่หาย! หากเป็นคน ทั่วไปนางเชื่อว่าสามวันรอยช้ำจากการกระเเทกเหล่านี้หายไปแล้วแน่ แต่พอมาเป็นร่างนี้นางทายาทุกวันรอยช้ำยังไม่เลือนเลย หากแก้เสื้อผ้านางออกหมดจะเห็นจ้ำเเดงจ้ำม่วงเกือบทั้งตัว
ส่วนหยางเหวินก็ดูเป็นปกติแล้วมีเพียงใบหน้ายังซีดเซียวอยู่บ้าง พอเห็นดังนั้นนางจึงลุกขึ้นหมุนตัวเตรียมจะกลับไปทำงานเเต่นึกบางเรื่องได้จึงหันกลับมา
“เอ้อ บ่าวขอบคุณคุณชายมากเลยนะเจ้าคะที่ช่วยพูดกับฮูหยินใหญ่ให้”
วันนั้นฮูหยินใหญ่มีคำสั่งให้โบยนางและชิงซาคนละหนึ่งร้อยไม้ โทษฐานดูเเลเจ้านายไม่ดี แต่ได้หยางเหวินระงับการลงโทษไว้ มิเช่นนั้นป่านนี้นางคงยังนอนติดเตียงลุกไม่ขึ้นเป็นแน่
พูดจบนางก็เดินจากมา แต่ก่อนไปหยางเหวินเรียกไว้จึงหมุนตัวกลับมาอีกรอบคิ้วขมวดมุ่น
“ข้าสิต้องขอบคุณเจ้า ไม่ได้เจ้าคงไม่มีข้ายืนอยู่ตรงนี้”
รอยยิ้มจริงใจส่งมายังนางทำเอาบรรยากาศรอบข้างดูอบอุ่นขึ้นทันตา
…มีใครเคยบอกเขาไหมเนี่ยว่ารอยยิ้มเขาทำคนใจละลายได้ ซูเมิ่งได้เเต่เอ่ยในใจ
“แล้วนี่เจ้าจะไปไหน?”
...ไม่ใช่ว่านางเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายเขาก็ต้องมารับใช้เขาไม่ใช่หรือ?
“ฮูหยินใหญ่ย้ายบ่าวไปทำงานในครัวแล้วเจ้าค่ะ งั้นบ่าวขอตัวก่อน”
หยางเหวินอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่เขาก็ต้องหุบปากลง เพราะไม่ไกลมีหญิงวัยกลางคนผู้เป็นเเม่ และหญิงสาวอีกคนซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องเขาชื่อกุ้ยอินเดินตรงมาทางเขาเสียก่อน หยางเหวินจึงได้เเต่มองตามแผ่นหลังอดีตบ่าวรับใช้ตนจนสุดสายตา ก่อนหันมาแย้มยิ้มงามสง่า
“ไยท่านแม่และน้องกุ้ยอินมาที่นี่ได้”
หนิงหลินดันหลานสาวสุดที่รักไปข้างหน้าให้ใกล้ลูกชายตนมากขึ้น
“ก็อินเอ๋อน่ะสิ บ่นอยากมาเยี่ยมเจ้า เห็นบอกเคี่ยวน้ำแกงไก่มาให้เจ้าด้วย”
หญิงสาวเจ้าของชื่อเมื่อถูกอ้างถึงก็ออกอาการบิดม้วนตัว ใบหน้าขึ้นสีอย่างเขินอาย มือบางยื่นน้ำแกงให้บ่าวข้างหลังหยางเหวินนำไปใส่ถ้วย
“น้องไม่รู้ว่าพี่หยางเหวินจะชอบหรือไม่ ปกติอินเอ๋อทำให้ท่านพ่อแล้วท่านชอบจึงลองทำให้ท่านพี่ชิมดูเจ้าค่ะ”
เสียงหวานเสนาะหูกล่าว ท่วงท่าสง่างามดูนอบน้อม
“ยืนนานแล้วข้าเมื่อยขา เดี๋ยวเข้าไปคุยกันข้างในดีกว่า ร่างกายเจ้ายังไม่หายดี”
ฮูหยินใหญ่พูดจบก็เดินนำทุกคนเข้าไปในเรือนโดยไม่สนว่าเจ้าของเรือนชวนหรือไม่ หยางเหวินปรายตามองทางที่ซูเมิ่งหายไปอีกครั้งก่อนเดินตามเข้าไป
ซูเมิ่งเดิมทำอาหารเป็นอยู่แล้วแต่อาหารที่นางทำเป็นนั้นจะออกแนวอาหารแถบยุโรป เพราะชาติที่แล้วของซูเมิ่งเติบโตต่างประเทศ พ่อแม่และพี่ชายของนางประสบอุบัติเหตุบนเครื่องบินจนเหลือนางคนเดียวที่ไม่ได้เดินทางในรอบนั้น ตอนนั้นนางอายุได้ห้าขวบเท่านั้น นางถูกนำไปปล่อยที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่งในประเทศจีน และถูกซื้อตัวโดยครอบครัวชาวต่างชาติและถูกนำไปฝึกเป็นสายลับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ถูกบังคับให้เรียนทุกสาขาวิชา ที่มีประโยชน์ต่องานที่นางต้องทำ
แต่นี่มันยุคจีนโบราณ อาหารก็เป็นอาหารจีน เครื่องปรุงนางพอรู้จักบ้าง แต่จะให้ทำอาหารจีนคงนึกรายการอาหารไม่ออก นางจึงคอยเป็นลูกมือหั่นผัก ล้างของ เก็บกวาดห้องครัวเสียมากกว่า แต่ที่นางชอบเลยก็คือบ่าวในส่วนงานนี้จำเป็นต้องแบ่งคนออกไปซื้อของข้างนอกจวน ซึ่งนางมักอาสาไปเสมอ
ครั้งนี้ก็เช่นกัน ตอนนี้ยามเหม่าเป็นช่วงที่นางต้องออกไปซื้อของข้างนอก โดยมี นาง บ่าวรับใช้ในครัวนามชิงฮวา และบ่าวชราอายุน่าจะประมาณห้าสิบกว่าซึ่งทำหน้าที่นำของเสียออกไปทิ้งนอกจวนและขับรถเทียมวัวสำหรับบ่าว
สามวันมานี้นางมักหาเวลาสำรวจรอบจวนหาว่ามีทางออกทั้งหมดกี่ทาง เก็บข้อมูลเวลาเฝ้าและผลัดเปลี่ยนผู้คุ้มกันของจวน เพื่อวางเเผนหนีออกไปจากจวนนี้ เพราะนางคิดว่านางเอาทรัพย์สินที่นางได้จากการตอบแทนที่ช่วยชีวิตคุณชายใหญ่เย่ไว้ออกไปเริ่มชีวิตข้างนอกจวนจะดีกว่า มันทั้งสะดวกในการหาทางกลับตระกูลไป๋ และเพื่อรักษาเกียรติของคุณหนูอย่างนาง
“เจ้าไปซื้อตามที่บอกล่ะ รีบมาให้ทันด้วย”
ชิงฮวาพูดจบนางก็หันเดินออกไปอีกทาง นางกับชิงฮวามักเเยกกันไปหาซื้อของตามที่ต้องการโดยห้ามใช้เวลาเกินครึ่งชั่วยาม ไป๋ซูเมิ่งมักจะเร่งซื้อของให้ครบและแอบเดินรอบเมืองเท่าที่ทำได้ แต่ครานี้นางนำกำไลทองที่ฮูหยินมอบให้นางเป็นของตอบเเทนมาด้วยเก็บปิ่นทองที่ฮูหยินผู้เฒ่าให้ไว้ก่อน นางว่าจะไปที่โรงรับซื้อของเเลกเงินเพื่อประเมินราคาดู
กำไลนี้เป็นกำไลทั่วไปพอเอาไปแลกเงินได้เพียงห้าตำลึงเท่านั้น พอเเลกเงินมาก็เก็บในตัว รีบเดินกลับไปรถของจวน
ขณะที่ซูเมิ่งและชิงฮวาถือของที่ซื้อมาเดินเข้าไปในครัวก็มีบ่าวผู้ชายของเรือนหย่งชางวิ่งมาตามนาง บอกว่าหยางเหวินต้องการพบตอนนี้ ซูเมิ่งจึงต้องวางของในมือแล้วเดินตามบ่าวคนนั้นไป
ตอนซูเมิ่งเข้ามาก็เห็นหยางเหวินนั่งเขียนบางอย่างลงกระดาษอย่างตั้งใจจึงเข้าไปเงียบ ๆ สักครู่ชายหนุ่มจึงเงยหน้ามาเห็นนางยืนอยู่
“นั่งลงสิ”
ซูเมิ่งเดินมานั่งแต่พอสายตากวาดรอบห้องไม่เห็นบ่าวที่ชื่อมู่ลี่ก็อดแปลกใจไม่ได้
“คุณชายมีอะไรให้บ่าวรับใช้หรือเจ้าคะ?”
“เปล่าหรอก ข้ามีเรื่องจะถามเจ้าน่ะ”
หยางเหวินเลิกสนใจกองหนังสือตรงหน้า เขาเงยหน้ามองนางแววตาลึกล้ำ
“เจ้าเป็นใครกันแน่?"
พอซูเมิ่งได้ยินคำถามนั้นแววตาตระหนกเกิดขึ้นวาบหนึ่งก่อนกลับมาสงบตั้งเดิม และเเทนที่ด้วยความฉงน
“ข้าก็เป็นบ่าวไงเจ้าคะ”
…หากมีคนมาจับมือเธอตอนนี้จะรู้ว่าเย็นเฉียบและชุ่มเหงื่อมาก แต่นางจำเป็นต้องตีเนียนต่อไป
“ไยเจ้าสู้กับคนร้ายได้ ไยรู้จักใช้ยา” และฉลาดล้ำลึก เขาได้เเต่เอ่ยในใจ
เมื่อครั้งตอนประสบเหตุนั้นเขาได้เเต่สงสัยไม่มีโอกาสถามนาง เก็บไว้ในใจมาตลอด ไม่ใช่เขาไม่ไว้ในผู้มีพระคุณ แต่หากนางเข้าจวนมาด้วยจุดประสงค์แอบแฝงเขาก็เอาไว้ไม่ได้
“เอ่อ นายท่านคนก่อนของบ่าวเป็นพ่อค้าต้องเดินทางจึงฝึกให้บ่าวที่ติดตามต่อสู้เป็นเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องยาข้าน้อยก็อาศัยลักจำเพิ่งได้ใช้เมื่อครานี้เอง ช่างโชคดีเสียจริง แฮะ ๆ"
ซูเมิ่งแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน
“ข้าน้อยไร้วรยุทธิ์ ทำเพียงเตะ ต่อย เหวี่ยงดาบอาศัยกำลังที่ได้ยกน้ำทำงานหนักเจ้าค่ะ”
หยางเหวินยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม เขาไม่ได้เชื่อเต็มสิบส่วนแต่ดูหน้าตาใสซื่อของนางจึงรู้ว่าคงยากที่จะให้นางบอกความจริงทั้งหมด
“อืม ต้องขอบใจฝีมือเพียงเตะต่อยของเจ้าที่ช่วยชีวิตข้าไว้ด้วย ข้าให้นี่เจ้าเป็นการตอบแทนแล้วกัน”
พูดจบมือหนาหยิบปิ่นเงินอันหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ที่ปลายปิ่นมีผีเสื้อตัวน้อยห้อยระย้า ดูสวยแบบเรียบง่าย
“หากเจ้าไม่รับ ข้าคงรู้สึกติดค้างเจ้ามาก”
หยางเหวินเอ่ยเพราะเห็นท่าทางนางเหมือนจะบอกปัด
“ฮ่า ฮ่า ข้าน้อยรับไว้แน่นอนเจ้าค่ะ งามมากเลย”
นางรับปิ่นมาถือไว้ เรื่องปิ่นนี้ทำเอานางลืมสนใจประโยคจิกกัดก่อนหน้าของเขาไป
หลังจากนั้นหยางเหวินก็มีคำถามถามนางอีกนิดหน่อยแล้วปล่อยให้ไปทำงานต่อ ซูเมิ่งเก็บปิ่นไว้ก่อนรีบเดินเข้าโรงครัว ป่านนี้สหายบ่าวทั้งหลายของนางคงคิดถึงนางแล้วกระมัง
ทางหยางเหวินพอเห็นว่าหญิงสาวเดินออกไปแล้วเขาเรียกชิงซาเข้ามาและสั่งงานบางอย่างไป จนกระทั่งในห้องเหลือเขาคนเดียว เสียงถอนหายใจดังขึ้นแต่สีหน้าชายหนุ่มยังไม่คลายกังวลลง
…เมื่อนางไม่ยอมบอกอะไรเขาจึงต้องสืบเอง ได้แต่หวังว่านางจะเป็นเพียงบ่าวธรรมดาคนหนึ่งอย่างที่นางบอกไว้
ภายในห้องหรูหราแห่งหนึ่ง ผ้าม่านเนื้อเงาปลิวสะไหว โต๊ะเขียนหนังสือตัวกว้างทำจากไม้เนื้องาม หลังโต๊ะมีร่างสง่าภายใต้หน้ากากนั่งอยู่ มือเรียวงามขยับขึ้นใช้นิ้วเคาะโต๊ะสร้างเสียงดังกังวาล ทำเอาชายอีกสองคนในห้องพากันสั่นสะท้านหัวใจเต้นรัว
“ตามที่สืบจากบ่าวในจวนเย่บอกว่าคุณชายหยางเหวินเจอนางระหว่างทางกลับจากเมืองซีหนานขอรับ เห็นว่าเป็นบ่าวที่มีนายเก่าเป็นพ่อค้าที่ถูกโจรปล้น รับเข้ามาทำงานเพราะความสงสาร เพิ่งได้รับเลือกเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายคุณชายหยางเหวินเมื่อไม่นานมานี้ ส่วนความเป็นมาก่อนหน้าไม่มีใครรู้ขอรับ”
พูดจบเขาก็ปล่อยลมหายใจออกเสียงเบา ยืนรอรับคำสั่งต่อไป เขารู้ว่าข้อมูลที่หามาได้ผู้เป็นนายต้องไม่พอใจเป็นแน่ แต่ทำอย่างไรได้ เขาหาได้เพียงเท่านี้นี่นา
“พ่อค้าที่ไหน?” เสียงทุ้มแฝงความกดดันดังขึ้น
“ไม่มีใครทราบขอรับแม้เเต่คุณชายหยางเหวิน จากที่ข้าน้อยสำรวจคดีดักปล้นในสองสามวันที่คุณชายหยางเหวินเดินทางกลับซีเปียน ไม่มีใครแจ้งว่ามีถูกปล้นกับทางการ เป็นไปได้สองทางคือ โจรทำลายหลักฐานรวมทั้งฆ่ากลุ่มพ่อค้าตายหมดจนไม่มีใครแจ้งหรือพบเห็น หรือไม่บ่าวคนนั้นอาจอาศัยในป่าแถบนั้นมานานแล้ว เพราะหนึ่งเดือนก่อนหน้ามีคดีดักปล้นสินค้าของพ่อค้าที่เดินทางมาค้าขายที่ซีเปียน”
“สืบต่อไป ดูว่าคดีปล้นหนึ่งเดือนก่อนนั้นมีใครตายใครรอดชีวิตบ้าง”
เขาหยุดเคาะโต๊ะ ยกชาซานจงชิงหลานขึ้นดื่มดับกระหาย
“ขอรับ”
“นายท่านขอรับ แต่ในช่วงสองสามวันนั้นมีขบวนคนจากหอบุปผางามเดินทางมุ่งมาเมืองซีเปียน แต่ระหว่างทางเหมือนจะวกกลับไปเมืองหนานเปียนแต่ไม่ทราบด้วยใดขอรับ”
“อืม งั้นไปสืบมาให้ละเอียด”
“ขอรับ แล้วเรื่องคุณชายหยางเหวินเอาอย่างไรต่อขอรับ?"
ลมจากหน้าต่างโบกสะบัดผ่าม่านทำลายความเงียบ
“ข้าคงต้องไปเยี่ยมเขาสักหน่อยแล้วล่ะ จัดเตรียมของปลอบขวัญอย่างสมเกียรติ”
สิ้นเสียงมือเรียวก็ยกขึ้นโบกไล่ ยกชาขึ้นจิบอีกคราพร้อมริมฝีปากหยักโค้งขึ้น
#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







