เช้าแรกของวันใหม่กับการตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของใครสักคน ทำเอาหนิงเซียนหน้าแดงอายแทบจะมุดแผ่นดินหนี นางจะไม่รู้สึกอะไรเลยหากว่าไม่เห็นสายตาล้อเลียนของอีกฝ่าย ที่น่าอายยิ่งกว่านั้นสายตานางได้บังเอิญเห็นรอยบนแขนเสื้อพ่อตัวดี ไม่ต้องเดาอะไรให้ยุ่งยาก มันคือรอยที่เกิดจากน้ำลายหยดนั่นเอง กี่ครั้งแล้วที่ทำเรื่องน่าอายเช่นนี้
“เรียนท่านอ๋องน้ำอุ่นเตรียมพร้อมแล้วเพคะ” เหล่านางกำนัลทั้งแปดได้รอปรนนิบัติเจ้านายทั้งสองภายในห้องชั้นนอก โดยที่พวกนางจะแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน คนเก็บห้องนอน อาบน้ำ ช่วยแต่งตัว และเตรียมสำหรับอาหาร แต่ละนางเป็นคนที่เหลียงอ๋องคัดเลือกมาเป็นอย่างดี
หนิงเซียนหาจังหวะหนีออกจากความน่าอายนั้นได้ นางก็รีบแบกท้องที่เริ่มโตออกมาจากตรงนั้นทันที ตั้งแต่ปรับความเข้าใจกันได้ อาการแพ้ท้องเหม็นหน้าและเหม็นกลิ่นตัวก็ไม่มีให้เห็นอีกเลย เมื่อพ้นออกมาจากห้องนอนมาได้ หญิงสาวก็ถูกเหล่านางกำนัลพาไปอาบน้ำขัดนวดตัวให้จนสะอาดหมดจด ที่น่าแปลกใจไปกว่านั้น
เหล่านางกำนัลแต่งองค์ทรงเครื่องให้อลังการมากกว่าทุกวัน ทั้งเครื่องหัว เสื้อผ้าหน้าผม ราวกับจะมีแขกมาเยี่ยมเยียน หากเป็นเช่นนั้นจริงแล้วมันเกี่ยวอะไรกับอนุตำแหน่งต๊อกต๋อย ผู้ต้อยต่ำเช่นนางเล่า
“วัน ๆ ไม่ได้ไปที่ใดอยู่แต่ในวัง ข้าต้องแต่งตัวเต็มยศเช่นนี้เชียวหรือ” ร่างบางที่กำลังถูกดึงทึ้งผมให้ตึงแทบจะหงายหลัง อดที่จะถามเสียไม่ได้ ปกติก็สวมใส่เพียงชุดธรรมดา
“วันนี้มีเรื่องน่ายินดี จะให้ท่านน้อยหน้าได้อย่างไรเจ้าคะ เอาเครื่องทองชุดนี้ก็แล้วกัน เหมาะกับชุดที่ท่านใส่วันนี้มากเลยเจ้าค่ะ” หนึ่งในนางกำนัลกำลังเลือกเครื่องหัวให้เข้ากับชุดเอ่ยขึ้น อีกไม่นานขบวนท่านข้าหลวงก็จะเดินทางมาถึงแล้ว พวกนางคงจะต้องเร่งมือให้เร็วขึ้น เพื่อให้ทันเวลาเสียแล้ว
“เรื่องน่ายินดี เรื่องอะไร แล้วข้าต้องเข้าร่วมด้วยหรือ อ๊ะ! ข้าไม่สวมชิ้นนั้น” มงกุฎนกกระเรียนนั่นอะไรกัน สวมเข้าไปจะต่างอะไรกับการเล่นงิ้ว ปากและแก้มก็แดงพอ ๆ กัน ปัดไปก่อนอ่อนทีหลังหรือไร ดูตลกสิ้นดี
“ได้อย่างไรเจ้าคะ คนของวังเหลียงอ๋องจะน้อยหน้าได้อย่างไร” ชุดมงกุฎชิ้นนี้ราคาหนึ่งชิ้นเท่ากับซื้อจวนขุนนางได้ทั้งจวนเชียวนะ อนุหนิงที่อยู่แต่ภายในวังคงยังไม่รู้ตัว ว่าตนนั้นกำลังเป็นสตรีที่น่าอิจฉามากที่สุดผู้หนึ่ง อีกทั้งท่านอ๋องก็มิได้ปิดบังอันใด ออกจะแสดงความรักความเอาใจใส่อย่างที่ไม่เคยทำกับผู้ใดมาก่อนเสียด้วยซ้ำ
“ข้าจะสวมแค่ปิ่นเงินชุดนั้นก็พอ ต่างหู แหวน กำไล เท่านี้ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ใส่” ผู้ใดจะหาว่านางเรื่องมากก็ช่างปะไร นางกำนัลพวกนี้ไม่รู้จักความพอดีหรือไร
หลังจากเกิดสงครามสวมมงกุฎ ก็ยังมีเรื่องการแต่งหน้าให้หนิงเซียนต้องปวดหัว ไม่เข้าใจรสนิยมของคนสมัยนี้เอาเสียเลย การแต่งหน้าจัดและชุดสีสดที่กำลังเป็นที่นิยม จะทำให้สตรีที่สวมใส่ดูงดงามทันสมัยและร่ำรวย ช่างเป็นรสนิยมที่แปลกซะจริง
“จะดีหรือเจ้าคะนายหญิง ปล่อยให้ท่านแต่งกายล่อนจ้อนเช่นนี้จะไม่เป็นการดูหมิ่นเกียรติท่านอ๋องหรอกหรือ” นางกำนัลทั้งหลายต่างก็มีสีหน้ากังวล มิเคยมีนายหญิงคนใดที่แต่งกายน้อยชิ้นถึงเพียงนี้
“ดีแล้ว ๆ แต่งเท่านี้ก็พอ” หญิงสาวไม่รู้จะพูดอย่างไรดี แต่งกายล่อนจ้อนอะไรกัน เพชร พลอย เครื่องเงินทั้งหลายที่อยู่บนตัว มองอย่างไรนางก็เหมือนร้านขายเครื่องประดับเคลื่อนที่
“นายหญิงเราต้องออกไปแล้วเจ้าค่ะ ขบวนจากวังหลวงจะมาถึงแล้ว ระวังนะเจ้าคะ” นางกำนัลคนเดิมปราดเข้ามาประคองนายหญิงทันที คนอื่น ๆ ออกมายืนตั้งแถวรออย่างเป็นระเบียบ
“เดี๋ยวก่อน ผู้ใดมา มาทำไม ข้าต้องไปทำอะไร” จนบัดนี้นางก็ยังไม่ได้คำตอบ หนิงเซียนจึงขืนตัวไว้ไม่ยอมเดินตาม นางจะไม่ยอมเดินเด็ดขาดจนกว่าจะมีคนยอมบอกเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น
“ขบวนข้าหลวงเชิญราชโองการเจ้าค่ะ แต่รายละเอียดอย่างอื่นท่านอ๋องมิได้แจ้งเอาไว้” พวกนางก็เอาแต่กังวลมากเกินไป จึงไม่ทันได้บอกนายหญิง
หนิงเซียนพยักหน้ารับรู้ จากนั้นจึงยอมเดินตามไปแต่โดยดี เมื่อนางไปถึงลานด้านหน้าขบวนข้าหลวงได้มาถึงพอดี หลังจากถูกกงกงผู้เชิญราชโองการมาขานชื่อ ร่างบางจึงได้คุกเข่าลงโดยมีเบาะรองอย่างดี เพื่อรอรับราชโองการ
“อนุหนิงเซียนรับราชโองการ ด้วยความดีความชอบที่มีส่วนในการแก้ไขปัญหาโรคระบาด ทั้งยังเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน สร้างผลงานโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เห็นสมควรให้เลื่อนขั้นเป็นชายารองในเหลียงอ๋อง จบราชโองการ”
“หนิงเซียนรับราชโองการ ขอให้ฝ่าบาทจงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี”
“ยินดีด้วยขอรับ”
“ไฉฉือหยุดความคิดของเจ้าเดี๋ยวนี้” คำพูดจากปากสาวเจ้าไม่ค่อยจะเข้าหู มู่หลางพยายามข่มกลั้นความโกรธของตนเองอย่างสุดความสามารถ“พวกเจ้าเป็นอันใดกัน น่ารำคาญยิ่งนัก จะไปไหนก็ไป” หลังจากเขากับภรรยาแอบฟังมู่หลางพูดคุยอยู่นาน ได้จังหวะเหมาะจึงแสร้งทำเป็นไม่พอใจไล่คนทั้งสองไปที่อื่นเสีย“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง กระหม่อมขอเวลาสักครู่พ่ะย่ะค่ะ” หากวันนี้ตกลงกันไม่เข้าใจ เห็นทีว่าไฉฉือคงต้องได้ยืดเวลากลับบ้านไปหาท่านป้าแล้ว“ไม่ต้อง อีกสองวันค่อยกลับมาทำหน้าที่ของเจ้า ไปแก้ปัญหาให้จบ อย่าให้ข้าเห็นเช่นนี้อีก” เหลียงเฟิงตวาดเสียงดุ ความจริงแล้วเขาก็อยากจะเล่นงิ้วต่อ แต่ภรรยาสุดที่รักกลับให้เขารีบจบบทบาทเจ้านายอารมณ์ร้ายนั่นเสีย ช่างน่าเสียดาย“ขออภัยอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก” องครักษ์หนุ่มสำนึกผิดที่ตนทำให้นายเหนือหัวต้องรำคาญใจ ทั้งที่วันนี้ท่านอ๋องกับหวังเฟยควรจะได้ออกมาทานข้าวนอกอย่างสำราญใจแท้ ๆ กายหนาหันกลับไปคว้ามือเล็กคนข้างกาย พาอีกฝ่ายขึ้นชั้นสามไปอย่างรวดเร็ว“ว๊าย! พี่มู่เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” ไฉฉือร้องทัดทาน มือบางรวบเก็บชุดส่วนบนไว้แน่น ยิ่งพี่มู่ของนางดึงแรงเพียงใด
“เป็นอะไรไปไฉฉือ” หนิงเซียนเอ่ยถามขึ้น เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินผิด ๆ ถูก ๆ“นายหญิงเจ้าคะ ให้ข้ากลับเถอะเจ้าค่ะ คนมองเต็มเลย สงสัยข้าน้อยแต่งตัวประหลาด” หญิงสาวกระซิบกระซาบเสียงเบา ตั้งแต่นางพาเข้าในโรงเตี๊ยม ก็ถูกผู้คนจับต้องตลอดทางเดิน ทำให้นางไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าใดนัก“เป็นเพราะเจ้างดงามพวกเขาจึงได้มอง ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่อยากเจอพี่มู่ของเจ้าหรือ”“พี่มู่อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ” เมื่อนายหญิงเอ่ยชื่อพี่ชายที่แสนดี หญิงสาวก็หูผึ่งขึ้นมาทันที หลงลืมความอายไปชั่วขณะ“ใช่แล้ว ไปกันเถอะ” มู่หลางจงจำไว้ที่เจ้าพูดว่าจะไม่แต่งงานน่ะ ข้าจำคำนั้นขึ้นใจเชียวละ หุ หุเพราะหลายครั้งที่นางได้ยินคำนี้ออกจากปากองครักษ์หนุ่ม หนิงเซียนก็เฝ้ารอวันที่มู่หลางจะพลาดพลั้งบ้าง ส่วนมากคนพูดเช่นนี้ก็มักจะไม่พ้นผิดไปจากที่พูดเสียทุกรายมู่หลางหายใจฟึดฟัดเมื่อเห็นอีกคนเดินเข้ามาด้านในโรงเตี๊ยม วันนี้ไม่รู้ว่าท่านอ๋องคิดอะไรอยู่ ถึงได้ออกมานั่งรอหวังเฟยที่โต๊ะด้านนอก แทนที่จะเปิดห้องพิเศษเหมือนทุกครั้งไป นั่นใครสั่งใครสอนให้แต่งกายประหลาดเช่นนั้น เดินทีกระโปรงเปิดเปลือยไปถึงขาอ่อน แต่งมายั่
“น้องสาวทางสายเลือดหรือไม่” ตรงส่วนนี้ที่นางรู้สึกสงสัย ก็ไหนมู่หลางเคยบอกว่าไม่มีครอบครัวแล้วอย่างไร เหตุใดถึงได้มีน้องสาวโผล่มาได้“ไม่ ๆ เจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นเพียงบุตรสาวคนข้างบ้านพี่มู่ แต่ว่าเติบโตมาด้วยกันจึงสนิทกันเจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบชี้แจงให้นายหญิงคนงามเข้าใจ นางและพี่มู่ห่างกันตั้งหกปี แม้จะเคยสนิทสนมกันมาก ทว่าเมื่อโตขึ้นพี่มู่กลับเว้นระยะห่าง แม้แต่เคยเล่นกอดคอกันเมื่อตอนเด็ก ๆ เขายังสั่งห้ามมิให้เข้าใกล้ ซึ่งนางก็ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าใดนัก“จริงหรือ แล้วเขาดูแลเจ้าดีหรือไม่” ที่หนิงเซียนซักถามเช่นนั้น ก็เพราะว่ามู่หลางเป็นคนค่อนข้างจะทึ่มทื่อปากหนักในเรื่องชายหญิง นางก็อยากจะรู้เขาจะมีความรู้สึกพิเศษอะไรกับไฉฉือหรือไม่ สตรีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักออกปานนี้ ไม่มีความรู้สึกอันใดก็คงจะแปลกไม่น้อย“ดีมากเจ้าค่ะ มีอะไรก็นึกถึงข้ากับท่านแม่ตลอดเลย นี่ก็ห่วงว่าพี่มู่จะหาภรรยาไม่ได้ แก่ไปคงได้อยู่ตัวคนเดียว ท่านแม่จึงให้ข้ามาดูให้เห็นกับตาเจ้าค่ะ” ด้วยความใสซื่อ ไฉฉือจึงพูดออกมาอย่างไม่มีปิดบัง แต่เมื่อถึงตอนนั้น หากเขามีคนรักขึ้นมาจริง นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะทำใจรับได้หรือไม่ ที่ผ่านมาต
ไฉฉือสาวน้อยจากหมู่บ้านชนบทยืนชะเง้อคอยาวอยู่หน้าประตูวังอันใหญ่โต นางไม่คิดว่าพี่มู่จะอยู่ดีเกินคาดไปมาก เมื่อได้เห็นกับตาก็สบายใจไปเปลาะหนึ่งที่ผ่านมานางและมารดากลัวว่าเขาจะอยู่อย่างยากลำบาก เงินที่แบ่งปันให้นางกับครอบครัวทุกเดือนก็มากโข แล้วไหนจะมีของฝากราคาแพงอีกมากมาย เพราะแบบนี้มารดาจึงไม่สบายใจ เกรงว่ามู่หลางจะเอาแต่ทำงานหนักไม่รู้จักดูแลตนเอง เงินที่ได้มาก็คงจะส่งให้พวกตนทั้งหมด ด้วยเขามีนิสัยคิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเองเสมอครอบครัวไฉฉือและมู่หลางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด เป็นเพียงเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันเท่านั้น ตอนเด็กนางและเขาสนิทกันมาก ในตอนมู่หลางอายุได้สิบหนาวบิดามารดาตายจากด้วยโรคระบาด ไม่มีญาติมิตรคอยดูแล มารดาไฉฉือสงสารจึงได้ส่งเสียเลี้ยงดูราวกับลูกในไส้ สำหรับสายตาของหญิงสาว มารดาออกจะรักมู่หลางมากกว่านางที่เป็นบุตรสาวแท้ ๆ เสียอีกเมื่อเติบโตต่างฝ่ายต่างแยกย้าย ไฉฉือเป็นเพียงสตรีจึงทำได้แค่ช่วยมารดาทำสวนทำไร่อยู่บ้านนอก ส่วนมู่หลางเขาได้เดินทางมาเมืองหลวงเพื่อหางานทำ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย มีเพียงจดหมายพร้อมกับตั๋วเงินแนบมาให้ในทุก ๆ เดื
เด็ก ๆ สามคน รวมไปถึงมู่หลางนั่งล้อมวงดื่มชากินขนมกันอยู่ศาลาพัก พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จวนแม่ทัพหยางให้ความเอ็นดูเด็กแฝดเป็นอย่างมาก ฮูหยินหยางอยากให้บุตรชายได้มีบุตรแบบนี้สักคู่ทว่าแต่งงานมาได้สองปีกลับยังไม่มีหลานให้อุ้ม พวกเขาจึงแก้เหงาด้วยการขอท่านหญิงน้อย ท่านอ๋องน้อย มาเล่นที่จวนแม่ทัพในบางครั้งขนมพร้อมกับน้ำชาแสนอร่อยถูกลำเลียงมาวางจนเต็มโต๊ะ ทำเอาเด็ก ๆ ทั้งสามตาลุกวาวอย่างถูกอกถูกใจ มาจวนแม่ทัพทีไรล้วนแล้วแต่มีของอร่อยให้ได้กินจนเต็มคราบแต่เมื่อกลับถึงวังของหวานเหล่านี้จะกินตามใจปากไม่ได้แล้ว เพราะท่านแม่มักจะจำกัดการกินของพวกเขาเสมอ ท่านแม่บอกว่าเด็กกินของหวานไม่ดี ฟันจะผุ ถูกแมลงตัวร้ายกินหมดปาก“เฮ้อ” เด็กหญิงเคี้ยวขนมแก้มตุ่ย นั่งถอนหายใจราวกับมีเรื่องให้หนักใจเป็นหนักหนา กระนั้นก็ยังยกขนมในมือขึ้นกัดเข้าไปอีกคำโต“ไม่สบายตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะท่านหญิง” หลี่หยุนรีบวางขนมในมือทันที พร้อมกับถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง“เราไม่เป็นไร เราแค่กังวลใจ”“ท่านหญิงกังวลใจเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ เล่าให้กระหม่อมฟังได้หรือไม่” มู่หลางรู้สึกเป็นห่วง ท่านหญิงเป็นเด็กร่าเริง น้อยนักท
“หนิงหนิง พี่ทนไม่ไหวแล้ว”กายหนาจับภรรยาหันหน้าเข้าผนังห้องทันที ก่อนจะถลกกระโปรงหญิงสาวขึ้นถึงเอว จากนั้นท่อนเนื้ออันใหญ่โตสอดเข้าผสานเนินสาวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังออกแรงโยกไปตามอารมณ์ดิบเข้าออกเป็นจังหวะช้าเร็วตามแรงอารมณ์ ไม่แม้แต่จะเล้าโลมให้เสียเวลา“ท่านพี่เดี๋ยวก่อน” หนิงเซียนบัดนี้นางได้ถูกคนตัวโตตอกอัดตนเองเข้ากับผนังอย่างไม่ทันตั้งตัว นางและเขาใช้ชีวิตรักฉันสามีภรรยามานาน จนบุตรแฝดทั้งสองอายุได้สามหนาวแล้ว ทว่าความต้องการของสามีก็มิได้ลดน้อยลงจากเดิม ในบางครั้งออกจะมีความต้องการมากล้นเสียด้วยซ้ำตั้งแต่เจ้าสองแสบเริ่มโต นางและเขาก็มิได้มีเวลาให้กันมากเท่าใดนัก ด้วยบุตรทั้งสองต่างงอแงอ้อนขอนอนด้วยทุกค่ำคืน แม้พวกเขาจะโตมากพอที่จะแยกห้องนอนกันได้แล้ว แต่ก็ยังเกาะติดผู้เป็นมารดาราวกับลูกลิง บิดาผู้หลงบุตรมีหรือจะไม่ยอมตามใจ ผลกรรมทั้งหมดได้ตกมาอยู่ที่เขาแทน“พี่ขอเถอะ ประเดี๋ยวลูกก็คงกลับจากเรียนวิชาดาบแล้ว” เขาอดกินภรรยามาเกือบเจ็ดวันแล้ว เวลานี้ได้โอกาสเหมาะ จึงไม่พลาดที่จะกลืนกินภรรยาสาว ทุกเวลาล้วนมีค่าสำหรับเขา“อ๊ะ! แรงไปแล้วนะเจ้าคะ” หนิงเซียนหัวโยกหัวคลอน เขาไม่ยอมผ่อน