“เอาล่ะ ๆ ข้าไม่เย้าเจ้าแล้ว วันนั้นข้าถูกวางยาจึงสั่งให้คนพาไปหาเจ้า แต่ก็ไม่คิดว่ายามนั้นเจ้าจะมีไข้อ่อน ๆ ปลุกอย่างไรก็ไม่ยอมตื่นมากินยา พิษกำเริบมากขึ้นเรื่อย ๆ ข้าก็เลยหักห้ามใจไม่ได้” ที่เขาพูดไปมีส่วนอยู่เพียงครึ่ง แต่อีกครึ่งที่ไม่ได้บอกความจริงนั้นเขาตั้งใจ เพื่อให้นางคลายกำหนัดให้อยู่แล้ว หากพูดความจริงไป คงโดนเกลียดขี้หน้ากันพอดี
“แล้วเหตุใดตอนเช้าไม่อยู่รอบอกหม่อมฉันก่อนเพคะ หากพระองค์บอกหม่อมฉันสักนิด หม่อมฉันจะได้ดื่มยาห้ามครรภ์ทัน หรือไม่ถ้าหม่อมฉันรู้ก็จะพอเดาอาการได้ ไม่ออกไปเดินเข้าทำสวนให้เป็นอันตรายต่อเด็กคนนี้”
“ข้าขอโทษ ข้ายอมรับผิดทั้งหมด เอาเป็นว่าเด็กคนนี้ข้าตั้งใจให้เขาเกิดมาก็พอ” หลังจากปล่อยให้คนตัวเล็กระบายด้วยการฟาดมือใส่เขาไม่ยั้ง ดูมือนางที่เกิดรอยแดงนั่นสิ คงจะเจ็บน่าดู เขาไม่อาจทนให้นางทำเช่นนั้นต่อไปได้
“ถ้าท่านอ๋องทรงอนุญาตให้หม่อมฉันทำการค้า หม่อมฉันถึงจะยกโทษให้เพคะ” ดีล่ะเข้าทางนางพอดีเลย นางจะปล่อยให้โอกาสดี ๆ เช่นนี้หลุดมือไปไม่ได้ เรื่องเก่าก็ช่างมันเถิดในเมื่อย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว มาเริ่มต้นใหม่ต่อจากนี้ดีกว่า อย่างเช่นการเริ่มสร้างอาชีพให้กับตนเอง เมื่อมีอาชีพนางก็จะมีเงินโดยที่ไม่ต้องแบมือขอผู้ใด
“ข้าเลี้ยงเจ้าไม่ดีหรือ เหตุใดถึงได้อยากทำงานให้เหนื่อย” คิ้วหนาขมวดมุ่น อยู่วังอย่างสุขสบาย มีบ่าวไพร่คอยดูแล เงินทองหรือก็มีมากมายให้นางใช้สุขสบายไปทั้งชาติ
“หม่อมฉันอยากมีเป็นของตนเองเพคะ”
“ได้ เอาไว้เมื่อพร้อมเราค่อยมาคุยกันอีกที” ชายหนุ่มมีท่าทีอ่อนลง ในยามนี้นางอยากได้อะไรก็ให้ไปก่อน เพราะเกรงว่าหนิงเซียนจะไม่ยอมยกโทษให้ตนเอง ถึงอย่างไรเขาก็จัดหาคนมาช่วยทำงานอยู่แล้ว
“ขอบพระทัยเพคะที่ทรงอนุญาต” หนิงเซียนยิ้มหวานอย่างยินดี ไม่คิดว่าตนเองจะหว่านล้อมให้ท่านอ๋องคล้อยตามได้อย่างง่ายดาย
สายตาเจ้าเล่ห์จ้องมองหน้าหวานของภรรยา ก่อนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ อยู่ด้วยกันนานถึงขั้นนางตั้งครรภ์ไปแล้ว ทว่ายังไม่เคยแม้แต่จะทำให้ถูกต้อง เช่นนั้นก็ทำให้มันจบไปเสียตั้งแต่ตอนนี้
“หนิงเซียนเรามาแต่งงานกันดีหรือไม่”
“ไม่เพคะ” หญิงสาวตอบเสียงดังฟังชัด นางก็มีเหตุผลของตนเองเช่นกัน มิใช่ว่าจะตกลงปลงใจง่ายดายเสียเมื่อไรกัน
“เฮอะ! เจ้าทำให้เสียบรรยากาศหมดรู้หรือไม่”
“ก็พระองค์ไม่เคยขอคบหาดูใจกับหม่อมฉันเลยนี่เพคะ อยู่ ๆ จะมาขอแต่งงาน ผู้ใดจะตกลงกันเล่า”
หนิงเซียนเริ่มมีน้ำโหพร้อมกับร่ายยาวเหยียดให้อีกฝ่ายได้เข้าใจ นางไม่ใช่สตรีบ้า ที่มีใครมาขอแต่งงานก็ตกลงแต่ง
“คนเราจะอยู่ด้วยกันได้นาน ก็ต้องทำความเข้าใจซึ่งกันและกันก่อนสิเพคะ อยู่กันด้วยความรักความเข้าใจจึงจะอยู่ด้วยกันได้ถึงยามแก่เฒ่า ผมเราสองเปลี่ยนสีดอกเลาเพคะ หม่อมฉันก็ชอบพระองค์อยู่หน่อย ๆ ถ้าขอคบหาดูใจก่อนหม่อมฉันก็ตกลงเพคะ” หนิงเซียนพูดอย่างเหนียมอาย เป็นครั้งแรกที่คนไม่เคยมีความรักต้องมาเปิดเผยความในใจออกมาจนเกินงาม
“ข้าก็พอใจเจ้าอยู่หน่อย ๆ เหมือนกัน เช่นนั้นเราสองคนมาคบหาดูใจกันเถอะ” เมื่อสตรีเปิดทางให้แล้ว มีหรือเขาจะไม่รีบคว้าโอกาสนั้นไว้
“ตกลงเพคะ หลังจากพรุ่งนี้ไปเรามาเป็นแฟนกัน” หญิงสาวรู้สึกเขินอายกับคำพูดของตนเอง ทั้งที่ท้องโย้ แต่ก็เพิ่งจะตกลงคบหาดูใจ
“อันใดคือแฟน” นี่คงจะเป็นภาษาบ้านเกิดนางสินะ มันค่อนข้างจะเข้าใจยากไปสักหน่อยสำหรับเขา
“แฟนคือคนสองคนคบหาดูใจกันเพคะ เป็นคำเรียกที่ใช้สำหรับคู่รัก”
“ได้ตกลงเราเป็นแฟนกัน”
เหลียงเฟิงจุมพิตหน้าผากมน เขาใช้ริมฝีปากแตะเพียงบางเบาเท่านั้น ชายหนุ่มรวบมือข้างหนึ่งของภรรยาวางพาดไว้ที่ตรงซอกคอตนเอง มือเขาข้างที่ยังว่างเกาหลังหญิงสาวเบา ๆ เพื่อขับกล่อมให้นางผ่อนคลายมากขึ้น
แต่เมื่อทำไปได้สักพักหนิงเซียนก็หลับไปอย่างง่ายดาย ทั้งที่ใจอยากจะด่าทออีกฝ่ายให้สาแก่ใจ แต่ความเหนื่อยอ่อนสะสมทำให้นางไม่อาจฝืนทนต่อไปได้ จึงหลับไปทั้งที่อยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่งนั่นทั้งคืน
“ไฉฉือหยุดความคิดของเจ้าเดี๋ยวนี้” คำพูดจากปากสาวเจ้าไม่ค่อยจะเข้าหู มู่หลางพยายามข่มกลั้นความโกรธของตนเองอย่างสุดความสามารถ“พวกเจ้าเป็นอันใดกัน น่ารำคาญยิ่งนัก จะไปไหนก็ไป” หลังจากเขากับภรรยาแอบฟังมู่หลางพูดคุยอยู่นาน ได้จังหวะเหมาะจึงแสร้งทำเป็นไม่พอใจไล่คนทั้งสองไปที่อื่นเสีย“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง กระหม่อมขอเวลาสักครู่พ่ะย่ะค่ะ” หากวันนี้ตกลงกันไม่เข้าใจ เห็นทีว่าไฉฉือคงต้องได้ยืดเวลากลับบ้านไปหาท่านป้าแล้ว“ไม่ต้อง อีกสองวันค่อยกลับมาทำหน้าที่ของเจ้า ไปแก้ปัญหาให้จบ อย่าให้ข้าเห็นเช่นนี้อีก” เหลียงเฟิงตวาดเสียงดุ ความจริงแล้วเขาก็อยากจะเล่นงิ้วต่อ แต่ภรรยาสุดที่รักกลับให้เขารีบจบบทบาทเจ้านายอารมณ์ร้ายนั่นเสีย ช่างน่าเสียดาย“ขออภัยอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก” องครักษ์หนุ่มสำนึกผิดที่ตนทำให้นายเหนือหัวต้องรำคาญใจ ทั้งที่วันนี้ท่านอ๋องกับหวังเฟยควรจะได้ออกมาทานข้าวนอกอย่างสำราญใจแท้ ๆ กายหนาหันกลับไปคว้ามือเล็กคนข้างกาย พาอีกฝ่ายขึ้นชั้นสามไปอย่างรวดเร็ว“ว๊าย! พี่มู่เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” ไฉฉือร้องทัดทาน มือบางรวบเก็บชุดส่วนบนไว้แน่น ยิ่งพี่มู่ของนางดึงแรงเพียงใด
“เป็นอะไรไปไฉฉือ” หนิงเซียนเอ่ยถามขึ้น เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินผิด ๆ ถูก ๆ“นายหญิงเจ้าคะ ให้ข้ากลับเถอะเจ้าค่ะ คนมองเต็มเลย สงสัยข้าน้อยแต่งตัวประหลาด” หญิงสาวกระซิบกระซาบเสียงเบา ตั้งแต่นางพาเข้าในโรงเตี๊ยม ก็ถูกผู้คนจับต้องตลอดทางเดิน ทำให้นางไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าใดนัก“เป็นเพราะเจ้างดงามพวกเขาจึงได้มอง ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่อยากเจอพี่มู่ของเจ้าหรือ”“พี่มู่อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ” เมื่อนายหญิงเอ่ยชื่อพี่ชายที่แสนดี หญิงสาวก็หูผึ่งขึ้นมาทันที หลงลืมความอายไปชั่วขณะ“ใช่แล้ว ไปกันเถอะ” มู่หลางจงจำไว้ที่เจ้าพูดว่าจะไม่แต่งงานน่ะ ข้าจำคำนั้นขึ้นใจเชียวละ หุ หุเพราะหลายครั้งที่นางได้ยินคำนี้ออกจากปากองครักษ์หนุ่ม หนิงเซียนก็เฝ้ารอวันที่มู่หลางจะพลาดพลั้งบ้าง ส่วนมากคนพูดเช่นนี้ก็มักจะไม่พ้นผิดไปจากที่พูดเสียทุกรายมู่หลางหายใจฟึดฟัดเมื่อเห็นอีกคนเดินเข้ามาด้านในโรงเตี๊ยม วันนี้ไม่รู้ว่าท่านอ๋องคิดอะไรอยู่ ถึงได้ออกมานั่งรอหวังเฟยที่โต๊ะด้านนอก แทนที่จะเปิดห้องพิเศษเหมือนทุกครั้งไป นั่นใครสั่งใครสอนให้แต่งกายประหลาดเช่นนั้น เดินทีกระโปรงเปิดเปลือยไปถึงขาอ่อน แต่งมายั่
“น้องสาวทางสายเลือดหรือไม่” ตรงส่วนนี้ที่นางรู้สึกสงสัย ก็ไหนมู่หลางเคยบอกว่าไม่มีครอบครัวแล้วอย่างไร เหตุใดถึงได้มีน้องสาวโผล่มาได้“ไม่ ๆ เจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นเพียงบุตรสาวคนข้างบ้านพี่มู่ แต่ว่าเติบโตมาด้วยกันจึงสนิทกันเจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบชี้แจงให้นายหญิงคนงามเข้าใจ นางและพี่มู่ห่างกันตั้งหกปี แม้จะเคยสนิทสนมกันมาก ทว่าเมื่อโตขึ้นพี่มู่กลับเว้นระยะห่าง แม้แต่เคยเล่นกอดคอกันเมื่อตอนเด็ก ๆ เขายังสั่งห้ามมิให้เข้าใกล้ ซึ่งนางก็ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าใดนัก“จริงหรือ แล้วเขาดูแลเจ้าดีหรือไม่” ที่หนิงเซียนซักถามเช่นนั้น ก็เพราะว่ามู่หลางเป็นคนค่อนข้างจะทึ่มทื่อปากหนักในเรื่องชายหญิง นางก็อยากจะรู้เขาจะมีความรู้สึกพิเศษอะไรกับไฉฉือหรือไม่ สตรีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักออกปานนี้ ไม่มีความรู้สึกอันใดก็คงจะแปลกไม่น้อย“ดีมากเจ้าค่ะ มีอะไรก็นึกถึงข้ากับท่านแม่ตลอดเลย นี่ก็ห่วงว่าพี่มู่จะหาภรรยาไม่ได้ แก่ไปคงได้อยู่ตัวคนเดียว ท่านแม่จึงให้ข้ามาดูให้เห็นกับตาเจ้าค่ะ” ด้วยความใสซื่อ ไฉฉือจึงพูดออกมาอย่างไม่มีปิดบัง แต่เมื่อถึงตอนนั้น หากเขามีคนรักขึ้นมาจริง นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะทำใจรับได้หรือไม่ ที่ผ่านมาต
ไฉฉือสาวน้อยจากหมู่บ้านชนบทยืนชะเง้อคอยาวอยู่หน้าประตูวังอันใหญ่โต นางไม่คิดว่าพี่มู่จะอยู่ดีเกินคาดไปมาก เมื่อได้เห็นกับตาก็สบายใจไปเปลาะหนึ่งที่ผ่านมานางและมารดากลัวว่าเขาจะอยู่อย่างยากลำบาก เงินที่แบ่งปันให้นางกับครอบครัวทุกเดือนก็มากโข แล้วไหนจะมีของฝากราคาแพงอีกมากมาย เพราะแบบนี้มารดาจึงไม่สบายใจ เกรงว่ามู่หลางจะเอาแต่ทำงานหนักไม่รู้จักดูแลตนเอง เงินที่ได้มาก็คงจะส่งให้พวกตนทั้งหมด ด้วยเขามีนิสัยคิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเองเสมอครอบครัวไฉฉือและมู่หลางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด เป็นเพียงเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันเท่านั้น ตอนเด็กนางและเขาสนิทกันมาก ในตอนมู่หลางอายุได้สิบหนาวบิดามารดาตายจากด้วยโรคระบาด ไม่มีญาติมิตรคอยดูแล มารดาไฉฉือสงสารจึงได้ส่งเสียเลี้ยงดูราวกับลูกในไส้ สำหรับสายตาของหญิงสาว มารดาออกจะรักมู่หลางมากกว่านางที่เป็นบุตรสาวแท้ ๆ เสียอีกเมื่อเติบโตต่างฝ่ายต่างแยกย้าย ไฉฉือเป็นเพียงสตรีจึงทำได้แค่ช่วยมารดาทำสวนทำไร่อยู่บ้านนอก ส่วนมู่หลางเขาได้เดินทางมาเมืองหลวงเพื่อหางานทำ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย มีเพียงจดหมายพร้อมกับตั๋วเงินแนบมาให้ในทุก ๆ เดื
เด็ก ๆ สามคน รวมไปถึงมู่หลางนั่งล้อมวงดื่มชากินขนมกันอยู่ศาลาพัก พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จวนแม่ทัพหยางให้ความเอ็นดูเด็กแฝดเป็นอย่างมาก ฮูหยินหยางอยากให้บุตรชายได้มีบุตรแบบนี้สักคู่ทว่าแต่งงานมาได้สองปีกลับยังไม่มีหลานให้อุ้ม พวกเขาจึงแก้เหงาด้วยการขอท่านหญิงน้อย ท่านอ๋องน้อย มาเล่นที่จวนแม่ทัพในบางครั้งขนมพร้อมกับน้ำชาแสนอร่อยถูกลำเลียงมาวางจนเต็มโต๊ะ ทำเอาเด็ก ๆ ทั้งสามตาลุกวาวอย่างถูกอกถูกใจ มาจวนแม่ทัพทีไรล้วนแล้วแต่มีของอร่อยให้ได้กินจนเต็มคราบแต่เมื่อกลับถึงวังของหวานเหล่านี้จะกินตามใจปากไม่ได้แล้ว เพราะท่านแม่มักจะจำกัดการกินของพวกเขาเสมอ ท่านแม่บอกว่าเด็กกินของหวานไม่ดี ฟันจะผุ ถูกแมลงตัวร้ายกินหมดปาก“เฮ้อ” เด็กหญิงเคี้ยวขนมแก้มตุ่ย นั่งถอนหายใจราวกับมีเรื่องให้หนักใจเป็นหนักหนา กระนั้นก็ยังยกขนมในมือขึ้นกัดเข้าไปอีกคำโต“ไม่สบายตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะท่านหญิง” หลี่หยุนรีบวางขนมในมือทันที พร้อมกับถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง“เราไม่เป็นไร เราแค่กังวลใจ”“ท่านหญิงกังวลใจเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ เล่าให้กระหม่อมฟังได้หรือไม่” มู่หลางรู้สึกเป็นห่วง ท่านหญิงเป็นเด็กร่าเริง น้อยนักท
“หนิงหนิง พี่ทนไม่ไหวแล้ว”กายหนาจับภรรยาหันหน้าเข้าผนังห้องทันที ก่อนจะถลกกระโปรงหญิงสาวขึ้นถึงเอว จากนั้นท่อนเนื้ออันใหญ่โตสอดเข้าผสานเนินสาวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังออกแรงโยกไปตามอารมณ์ดิบเข้าออกเป็นจังหวะช้าเร็วตามแรงอารมณ์ ไม่แม้แต่จะเล้าโลมให้เสียเวลา“ท่านพี่เดี๋ยวก่อน” หนิงเซียนบัดนี้นางได้ถูกคนตัวโตตอกอัดตนเองเข้ากับผนังอย่างไม่ทันตั้งตัว นางและเขาใช้ชีวิตรักฉันสามีภรรยามานาน จนบุตรแฝดทั้งสองอายุได้สามหนาวแล้ว ทว่าความต้องการของสามีก็มิได้ลดน้อยลงจากเดิม ในบางครั้งออกจะมีความต้องการมากล้นเสียด้วยซ้ำตั้งแต่เจ้าสองแสบเริ่มโต นางและเขาก็มิได้มีเวลาให้กันมากเท่าใดนัก ด้วยบุตรทั้งสองต่างงอแงอ้อนขอนอนด้วยทุกค่ำคืน แม้พวกเขาจะโตมากพอที่จะแยกห้องนอนกันได้แล้ว แต่ก็ยังเกาะติดผู้เป็นมารดาราวกับลูกลิง บิดาผู้หลงบุตรมีหรือจะไม่ยอมตามใจ ผลกรรมทั้งหมดได้ตกมาอยู่ที่เขาแทน“พี่ขอเถอะ ประเดี๋ยวลูกก็คงกลับจากเรียนวิชาดาบแล้ว” เขาอดกินภรรยามาเกือบเจ็ดวันแล้ว เวลานี้ได้โอกาสเหมาะ จึงไม่พลาดที่จะกลืนกินภรรยาสาว ทุกเวลาล้วนมีค่าสำหรับเขา“อ๊ะ! แรงไปแล้วนะเจ้าคะ” หนิงเซียนหัวโยกหัวคลอน เขาไม่ยอมผ่อน