ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกในที่สุดด้วยฝีมือของหนิงเซียน ภายในตำหนักเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุยของใครสักคน เป้าหมายของนางในตอนนี้คือห้องบรรทมของท่านอ๋อง ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าใดใจดวงน้อยก็ยิ่งเต้นเร็วมากขึ้นเท่านั้น
ภาพแรกที่หนิงเซียนเห็นเมื่อเข้าไปถึง ชุดของบุรุษและสตรีที่ถูกทิ้งระเกะระกะบนพื้น อีกทั้งบนเตียงยังยับย่นเหมือนเพิ่งผ่านการใช้งานไปไม่นาน
“บนเตียงก็มีหรือ คนมักมาก” น้ำตาเม็ดโตไหลอาบแก้ม เมื่อเห็นว่าบนเตียงมีอาภรณ์สตรีและเอี๊ยมตัวเล็กจิ๋วกองรวมกัน ก็ไหนเคยสัญญาว่าจะมีนางเพียงคนเดียวอย่างไรเล่า ถึงจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาก็เถอะ นางทำใจไม่ได้อยู่ดี
“ข้าบอกไม่ให้มาที่นี่ไม่ใช่หรือ ดื้อนักนะ” เหลียงเฟิงใช้ผ้าผืนบางพันเพียงเอวสอบอย่างหมิ่นเหม่ออกมาจากห้องอาบน้ำต้องตกใจ คำสั่งของเขาใช้กับนางไม่ได้เลยจริง ๆ
“เฮอะ! ท่านกับข้าเราเลิกกัน” ไม่เพียงแต่น้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ปากล่างก็ยังยื่นออกมาราวกับเด็กน้อยถูกขัดใจ
“เลิกกัน เจ้าหมายความว่าเช่นไร” ชายหนุ่มไม่เข้าใจสิ่งที่นางต้องการ งงงวยกับคำพูดที่แสนจะไม่เข้าใจเอาเสียเลย กายหนาปราดเข้าไปกอดรัดร่างอวบเอาไว้ไม่ให้นางจากไป
“ท่านกับข้าต่างคนต่างอยู่ ท่านมีคนอื่นข้ารังเกียจ อย่ามาแตะต้องนะ” หนิงเซียนพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอด รู้สึกรังเกียจเหลือแสน ที่อ้อมกอดนี้เพิ่งจะโอบกอดสตรีอื่นไปหมาด ๆ
“หยุดดิ้นก่อน ข้ามิได้มีใครอื่นเลย เจ้าเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน” หลังจากแยกกันกับภรรยา เขาก็ตรงดิ่งมาตำหนักไป๋อวี้ทันที นี่นางไปได้ยินอะไรผิด ๆ มา
“หม่อมฉันรู้ว่าพระองค์ถูกวางยา อย่างไรก็ต้องมีสตรีคอยช่วยระบายอารมณ์ นั่นไงเพคะ ชุดพวกนี้คือหลักฐาน” หญิงสาวชี้หลักฐานชั้นดี ชุดสตรีสีฟ้าอ่อนที่กองอยู่บนเตียงมือไม้สั่น เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ยังมีหน้ามาหัวเราะอีกหรือ
“เช่นนั้นเจ้าก็ดูให้ดี นั่นคืออาภรณ์ของผู้ใด” เหลียงเฟิงย่อกายลง อุ้มแม่ของลูกขึ้นแนบอก พร้อมกันนั้นเขาพานางเดินตรงไปที่เตียงยับย่น ก่อนจะวางหญิงสาวลงอย่างเบามือ
“นั่น ๆ หม่อมฉันง่วงแล้วเพคะ ขอตัวกลับตำหนักได้หรือไม่” ใบหน้างามแดงซ่านลามไปจนถึงใบหู เมื่อพิจารณาให้ดีแล้ว อาภรณ์ทั้งหลายที่กองอยู่มันคือของนางทั้งหมด และยิ่งน่าอายไปกว่านั้นก็เพราะเจ้าคราบเหนียวเหนอะ ที่มันยังหลงเหลืออยู่บนเอี๊ยมของนาง เห็นแล้วคิดดีไม่ได้เอาเสียเลย
“จะไปไหน ไหน ๆ เจ้าก็มาแล้วอาการข้ายังไม่ดีขึ้นเลย ช่วยสามีสักหน่อยไม่ได้หรือ ถือเสียว่าเอาบุญ” เหลียงเฟิงนึกสนุกอยากกลั่นแกล้งภรรยาตัวน้อยให้สำนึก บังอาจขอเลิกราและยังคิดไปเองจนเป็นตุเป็นตะอย่างไร
“ตะ... แต่หม่อมฉันตั้งครรภ์อยู่นะเพคะ” นี่เป็นทางรอดสุดท้ายของนางแล้ว ไม่น่าเลย รู้เช่นนี้นางน่าจะเชื่ออาผิงเสียตั้งแต่แรก หรือไม่ก็ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดของท่านอ๋องเสียก็ดี
“หมอหลวงต้วนบอกแล้วทำได้ แค่ต้องระวัง” เรื่องพวกนี้เขาศึกษามาหมดแล้ว ทั้งท่วงท่าที่ไม่เป็นอันตรายต่อมารดาและบุตรในครรภ์
หนิงเซียนยังไม่ทันจะได้โต้แย้งอะไร ปากของนางก็โดนประกบด้วยปากหนาทันที ชายหนุ่มใช้ปลายลิ้นเลียเบา ๆ ไปตามปากบางที่พยายามเม้มไม่ให้เขารุกล้ำเข้าไปโดยง่าย แต่มีหรือคนอ่อนประสบการณ์จะสู้กับคนอย่างเขาได้
ในที่สุดคนตัวเล็กก็ยอมเปิดปากให้ปลายลิ้นอีกฝ่ายได้เข้ามาสมปรารถนา จุมพิตอันดูดดื่มทำให้หนิงเซียนลืมเลือนความอับอายไปชั่วขณะ ตอบรับคนตัวโตอย่างเผลอไผล ไม่คิดว่าตนที่ท้องโย้กลับมีอารมณ์ร่วมได้เป็นอย่างดี
เหลียงเฟิงปลดอาภรณ์ภรรยาออกทีละชิ้น ซึ่งบัดนี้เหลือเพียงแต่กายเปล่าเปลือยพานทำให้ใจสั่น แม้พิษในกายจะได้รับยาถอนและระบายอารมณ์ไปบ้างแล้ว แต่ทว่าตอนนี้ความรู้สึกเช่นนั้นได้กลับมาอีกครั้ง เพียงแค่เห็นผิวขาวผุดผ่อง มือหนาแตะต้องไปแทบทุกสัดส่วน ไม่ว่าผ่านส่วนใดก็ทำเอาร่างเล็กสั่นไหวไปเสียทุกที
“ไม่ต้องกลัว”
เหลียงเฟิงพยายามทำให้เบามือที่สุด และระมัดระวังให้ได้มากที่สุด เล้าโลมให้คนตัวเล็กมีอารมณ์ร่วมเพื่อที่ว่านางจะได้ไม่รู้สึกเจ็บ พร้อมกันนั้นยังจัดท่วงท่าที่ไม่เป็นอันตรายต่อแม่และเด็ก มอบความสุขสุดแสนหฤหรรษ์ ให้ภรรยาตัวน้อยได้มีความสุขร่วมไปด้วยกัน
เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวได้ร่วมรักในขณะที่ยังมีสติดีครบถ้วน ครั้งนี้นางได้สัมผัสรสรักอย่างแท้จริง ไม่คิดเลยว่าพ่อตัวร้ายของนางจะอ่อนโยนได้ถึงเพียงนี้
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจเยี่ยมลูกน้อยในครรภ์ภรรยา อ๋องหนุ่มก็เอาแต่กอดจูบลูบคลำร่างนุ่มนิ่มไม่ห่าง เฝ้าวนเวียนหอมร่างอวบอิ่มอย่างไม่รู้จักเบื่อ หนิงเซียนเองที่เหนื่อยอ่อนเหงื่อท่วมกาย ได้แต่นอนตาปรือไร้เรี่ยวแรงขัดขืน แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง ความง่วงงุนที่มีหายไปเป็นปลิดทิ้ง นางจะหลับสนิทอยู่แล้วเชียวหากไม่ได้ยินเสียงพูดของคนข้างกายเสียก่อน
“ภรรยาจะว่าอะไรหรือไม่ หากสามีจะขออีกสักรอบ”
“ไฉฉือหยุดความคิดของเจ้าเดี๋ยวนี้” คำพูดจากปากสาวเจ้าไม่ค่อยจะเข้าหู มู่หลางพยายามข่มกลั้นความโกรธของตนเองอย่างสุดความสามารถ“พวกเจ้าเป็นอันใดกัน น่ารำคาญยิ่งนัก จะไปไหนก็ไป” หลังจากเขากับภรรยาแอบฟังมู่หลางพูดคุยอยู่นาน ได้จังหวะเหมาะจึงแสร้งทำเป็นไม่พอใจไล่คนทั้งสองไปที่อื่นเสีย“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง กระหม่อมขอเวลาสักครู่พ่ะย่ะค่ะ” หากวันนี้ตกลงกันไม่เข้าใจ เห็นทีว่าไฉฉือคงต้องได้ยืดเวลากลับบ้านไปหาท่านป้าแล้ว“ไม่ต้อง อีกสองวันค่อยกลับมาทำหน้าที่ของเจ้า ไปแก้ปัญหาให้จบ อย่าให้ข้าเห็นเช่นนี้อีก” เหลียงเฟิงตวาดเสียงดุ ความจริงแล้วเขาก็อยากจะเล่นงิ้วต่อ แต่ภรรยาสุดที่รักกลับให้เขารีบจบบทบาทเจ้านายอารมณ์ร้ายนั่นเสีย ช่างน่าเสียดาย“ขออภัยอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก” องครักษ์หนุ่มสำนึกผิดที่ตนทำให้นายเหนือหัวต้องรำคาญใจ ทั้งที่วันนี้ท่านอ๋องกับหวังเฟยควรจะได้ออกมาทานข้าวนอกอย่างสำราญใจแท้ ๆ กายหนาหันกลับไปคว้ามือเล็กคนข้างกาย พาอีกฝ่ายขึ้นชั้นสามไปอย่างรวดเร็ว“ว๊าย! พี่มู่เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” ไฉฉือร้องทัดทาน มือบางรวบเก็บชุดส่วนบนไว้แน่น ยิ่งพี่มู่ของนางดึงแรงเพียงใด
“เป็นอะไรไปไฉฉือ” หนิงเซียนเอ่ยถามขึ้น เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินผิด ๆ ถูก ๆ“นายหญิงเจ้าคะ ให้ข้ากลับเถอะเจ้าค่ะ คนมองเต็มเลย สงสัยข้าน้อยแต่งตัวประหลาด” หญิงสาวกระซิบกระซาบเสียงเบา ตั้งแต่นางพาเข้าในโรงเตี๊ยม ก็ถูกผู้คนจับต้องตลอดทางเดิน ทำให้นางไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าใดนัก“เป็นเพราะเจ้างดงามพวกเขาจึงได้มอง ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่อยากเจอพี่มู่ของเจ้าหรือ”“พี่มู่อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ” เมื่อนายหญิงเอ่ยชื่อพี่ชายที่แสนดี หญิงสาวก็หูผึ่งขึ้นมาทันที หลงลืมความอายไปชั่วขณะ“ใช่แล้ว ไปกันเถอะ” มู่หลางจงจำไว้ที่เจ้าพูดว่าจะไม่แต่งงานน่ะ ข้าจำคำนั้นขึ้นใจเชียวละ หุ หุเพราะหลายครั้งที่นางได้ยินคำนี้ออกจากปากองครักษ์หนุ่ม หนิงเซียนก็เฝ้ารอวันที่มู่หลางจะพลาดพลั้งบ้าง ส่วนมากคนพูดเช่นนี้ก็มักจะไม่พ้นผิดไปจากที่พูดเสียทุกรายมู่หลางหายใจฟึดฟัดเมื่อเห็นอีกคนเดินเข้ามาด้านในโรงเตี๊ยม วันนี้ไม่รู้ว่าท่านอ๋องคิดอะไรอยู่ ถึงได้ออกมานั่งรอหวังเฟยที่โต๊ะด้านนอก แทนที่จะเปิดห้องพิเศษเหมือนทุกครั้งไป นั่นใครสั่งใครสอนให้แต่งกายประหลาดเช่นนั้น เดินทีกระโปรงเปิดเปลือยไปถึงขาอ่อน แต่งมายั่
“น้องสาวทางสายเลือดหรือไม่” ตรงส่วนนี้ที่นางรู้สึกสงสัย ก็ไหนมู่หลางเคยบอกว่าไม่มีครอบครัวแล้วอย่างไร เหตุใดถึงได้มีน้องสาวโผล่มาได้“ไม่ ๆ เจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นเพียงบุตรสาวคนข้างบ้านพี่มู่ แต่ว่าเติบโตมาด้วยกันจึงสนิทกันเจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบชี้แจงให้นายหญิงคนงามเข้าใจ นางและพี่มู่ห่างกันตั้งหกปี แม้จะเคยสนิทสนมกันมาก ทว่าเมื่อโตขึ้นพี่มู่กลับเว้นระยะห่าง แม้แต่เคยเล่นกอดคอกันเมื่อตอนเด็ก ๆ เขายังสั่งห้ามมิให้เข้าใกล้ ซึ่งนางก็ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าใดนัก“จริงหรือ แล้วเขาดูแลเจ้าดีหรือไม่” ที่หนิงเซียนซักถามเช่นนั้น ก็เพราะว่ามู่หลางเป็นคนค่อนข้างจะทึ่มทื่อปากหนักในเรื่องชายหญิง นางก็อยากจะรู้เขาจะมีความรู้สึกพิเศษอะไรกับไฉฉือหรือไม่ สตรีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักออกปานนี้ ไม่มีความรู้สึกอันใดก็คงจะแปลกไม่น้อย“ดีมากเจ้าค่ะ มีอะไรก็นึกถึงข้ากับท่านแม่ตลอดเลย นี่ก็ห่วงว่าพี่มู่จะหาภรรยาไม่ได้ แก่ไปคงได้อยู่ตัวคนเดียว ท่านแม่จึงให้ข้ามาดูให้เห็นกับตาเจ้าค่ะ” ด้วยความใสซื่อ ไฉฉือจึงพูดออกมาอย่างไม่มีปิดบัง แต่เมื่อถึงตอนนั้น หากเขามีคนรักขึ้นมาจริง นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะทำใจรับได้หรือไม่ ที่ผ่านมาต
ไฉฉือสาวน้อยจากหมู่บ้านชนบทยืนชะเง้อคอยาวอยู่หน้าประตูวังอันใหญ่โต นางไม่คิดว่าพี่มู่จะอยู่ดีเกินคาดไปมาก เมื่อได้เห็นกับตาก็สบายใจไปเปลาะหนึ่งที่ผ่านมานางและมารดากลัวว่าเขาจะอยู่อย่างยากลำบาก เงินที่แบ่งปันให้นางกับครอบครัวทุกเดือนก็มากโข แล้วไหนจะมีของฝากราคาแพงอีกมากมาย เพราะแบบนี้มารดาจึงไม่สบายใจ เกรงว่ามู่หลางจะเอาแต่ทำงานหนักไม่รู้จักดูแลตนเอง เงินที่ได้มาก็คงจะส่งให้พวกตนทั้งหมด ด้วยเขามีนิสัยคิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเองเสมอครอบครัวไฉฉือและมู่หลางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด เป็นเพียงเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันเท่านั้น ตอนเด็กนางและเขาสนิทกันมาก ในตอนมู่หลางอายุได้สิบหนาวบิดามารดาตายจากด้วยโรคระบาด ไม่มีญาติมิตรคอยดูแล มารดาไฉฉือสงสารจึงได้ส่งเสียเลี้ยงดูราวกับลูกในไส้ สำหรับสายตาของหญิงสาว มารดาออกจะรักมู่หลางมากกว่านางที่เป็นบุตรสาวแท้ ๆ เสียอีกเมื่อเติบโตต่างฝ่ายต่างแยกย้าย ไฉฉือเป็นเพียงสตรีจึงทำได้แค่ช่วยมารดาทำสวนทำไร่อยู่บ้านนอก ส่วนมู่หลางเขาได้เดินทางมาเมืองหลวงเพื่อหางานทำ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย มีเพียงจดหมายพร้อมกับตั๋วเงินแนบมาให้ในทุก ๆ เดื
เด็ก ๆ สามคน รวมไปถึงมู่หลางนั่งล้อมวงดื่มชากินขนมกันอยู่ศาลาพัก พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จวนแม่ทัพหยางให้ความเอ็นดูเด็กแฝดเป็นอย่างมาก ฮูหยินหยางอยากให้บุตรชายได้มีบุตรแบบนี้สักคู่ทว่าแต่งงานมาได้สองปีกลับยังไม่มีหลานให้อุ้ม พวกเขาจึงแก้เหงาด้วยการขอท่านหญิงน้อย ท่านอ๋องน้อย มาเล่นที่จวนแม่ทัพในบางครั้งขนมพร้อมกับน้ำชาแสนอร่อยถูกลำเลียงมาวางจนเต็มโต๊ะ ทำเอาเด็ก ๆ ทั้งสามตาลุกวาวอย่างถูกอกถูกใจ มาจวนแม่ทัพทีไรล้วนแล้วแต่มีของอร่อยให้ได้กินจนเต็มคราบแต่เมื่อกลับถึงวังของหวานเหล่านี้จะกินตามใจปากไม่ได้แล้ว เพราะท่านแม่มักจะจำกัดการกินของพวกเขาเสมอ ท่านแม่บอกว่าเด็กกินของหวานไม่ดี ฟันจะผุ ถูกแมลงตัวร้ายกินหมดปาก“เฮ้อ” เด็กหญิงเคี้ยวขนมแก้มตุ่ย นั่งถอนหายใจราวกับมีเรื่องให้หนักใจเป็นหนักหนา กระนั้นก็ยังยกขนมในมือขึ้นกัดเข้าไปอีกคำโต“ไม่สบายตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะท่านหญิง” หลี่หยุนรีบวางขนมในมือทันที พร้อมกับถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง“เราไม่เป็นไร เราแค่กังวลใจ”“ท่านหญิงกังวลใจเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ เล่าให้กระหม่อมฟังได้หรือไม่” มู่หลางรู้สึกเป็นห่วง ท่านหญิงเป็นเด็กร่าเริง น้อยนักท
“หนิงหนิง พี่ทนไม่ไหวแล้ว”กายหนาจับภรรยาหันหน้าเข้าผนังห้องทันที ก่อนจะถลกกระโปรงหญิงสาวขึ้นถึงเอว จากนั้นท่อนเนื้ออันใหญ่โตสอดเข้าผสานเนินสาวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังออกแรงโยกไปตามอารมณ์ดิบเข้าออกเป็นจังหวะช้าเร็วตามแรงอารมณ์ ไม่แม้แต่จะเล้าโลมให้เสียเวลา“ท่านพี่เดี๋ยวก่อน” หนิงเซียนบัดนี้นางได้ถูกคนตัวโตตอกอัดตนเองเข้ากับผนังอย่างไม่ทันตั้งตัว นางและเขาใช้ชีวิตรักฉันสามีภรรยามานาน จนบุตรแฝดทั้งสองอายุได้สามหนาวแล้ว ทว่าความต้องการของสามีก็มิได้ลดน้อยลงจากเดิม ในบางครั้งออกจะมีความต้องการมากล้นเสียด้วยซ้ำตั้งแต่เจ้าสองแสบเริ่มโต นางและเขาก็มิได้มีเวลาให้กันมากเท่าใดนัก ด้วยบุตรทั้งสองต่างงอแงอ้อนขอนอนด้วยทุกค่ำคืน แม้พวกเขาจะโตมากพอที่จะแยกห้องนอนกันได้แล้ว แต่ก็ยังเกาะติดผู้เป็นมารดาราวกับลูกลิง บิดาผู้หลงบุตรมีหรือจะไม่ยอมตามใจ ผลกรรมทั้งหมดได้ตกมาอยู่ที่เขาแทน“พี่ขอเถอะ ประเดี๋ยวลูกก็คงกลับจากเรียนวิชาดาบแล้ว” เขาอดกินภรรยามาเกือบเจ็ดวันแล้ว เวลานี้ได้โอกาสเหมาะ จึงไม่พลาดที่จะกลืนกินภรรยาสาว ทุกเวลาล้วนมีค่าสำหรับเขา“อ๊ะ! แรงไปแล้วนะเจ้าคะ” หนิงเซียนหัวโยกหัวคลอน เขาไม่ยอมผ่อน