หลังจากพาสามีตัวร้ายกลับมาพักรักษาตัวที่กระท่อมน้อยอันแสนคับแคบ ก็ทำเอาหนิงเซียนแทบนั่งไม่ติด หญิงสาวพยายามขบคิดเนื้อเรื่องในนิยายที่พอจะจำได้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เดิมทีตัวร้ายจะได้พบกับนางเอกของเรื่อง ทำให้เขาตกหลุมรักเยว่สืออย่างแท้จริง แต่ดูเหมือนว่าเวลาที่เกิดขึ้นจะคลาดเคลื่อน เพราะว่ามันเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เขียนไว้ในนิยาย
มันต้องมีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน ทุกอย่างเกิดขึ้นจริงแต่ทว่า ช่วงเวลา เหตุการณ์ที่ไม่เป็นไปตามเนื้อเรื่อง คาดการณ์อะไรที่แน่นอนมิได้เลย ราวกับว่ามีอะไรสักอย่างที่มองไม่เห็นอยู่เบื้องหลังเรื่องราวอันวุ่นวาย
ในตอนนี้สิ่งที่นางควรระวังที่สุดก็คือ การร่วมหอกับสามีตัวร้ายอีกครั้ง จะให้เกิดเหตุการณ์อันเลวร้ายแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด ความพยายามทั้งหมดที่นางทำมาจะสูญเปล่า
หลายวันมานี้หญิงสาวได้แต่นั่งเฝ้าคนเจ็บด้วยความเอือมระอา เทวดามองลงมาจากบนฟ้าก็ยังรู้เลยว่าพ่อตัวร้ายนั้นแกล้งเจ็บ ทั้งที่ตัวเขาก็แทบจะหายดีแล้วด้วยซ้ำ บาดแผลเพียงเล็กน้อยแค่นั้นจะทำอะไรคนหนังหนาเช่นเขาได้หรือ
คนที่ผ่านศึกรบมามากมายฆ่าคนเป็นว่าเล่นราวกับผักปลา ต้องมานอนเจ็บทำอะไรด้วยตนเองไม่ได้ ต้องให้ป้อนข้าวป้อนน้ำราวกับเด็กไม่รู้จักโต
“อีกคำนะเพคะจะหมดแล้ว เก่งมากเพคะ” หญิงสาวตักข้าวคำสุดท้ายป้อนให้คนเจ็บ พร้อมกับพยายามฉีกยิ้มและพูดให้น่าฟังที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้นางจะไม่เต็มใจจะปรนนิบัติ แต่เหล่าองครักษ์ทั้งหลายก็พร้อมใจหนีหายไปกันหมด เป็นองครักษ์ประสาอะไรเหตุใดถึงได้ไม่ห่วงเจ้านายเอาเสียเลย
“ข้ามิใช่เด็กน้อย” เหลียงเฟิงแสดงออกชัดเจนว่าเขานั้นไม่พอใจกับคำพูดยกยอของนาง สายตาคมดุตวัดมอง เขามิใช่เด็กน้อยที่จะต้องให้คนมาหลอกล่อเวลากินข้าว
“เพคะ หม่อมฉันก็มิได้หมายความเช่นนั้น ก็เห็นว่ากินข้าวเองไม่ได้จนต้องให้ป้อน ก็มีแต่เด็กเท่านั้นแหละที่ทำได้” หญิงสาวบ่นอุบอิบเสียงเบากลัวว่าคนป่วยจะได้ยิน เพราะนางก็ยังรักตัวกลัวตาย “พระองค์คงจะอิ่มแล้ว หม่อมฉันไม่รบกวนเวลาพักผ่อนแล้วเพคะ” เพื่อเอาตัวรอดหนิงเซียนจึงรีบหลบออกมาทันที เรื่องอะไรที่นางจะอยู่ตรงนั้นให้เขาจ้วงแทงด้วยสายตาดุจนพรุนไปทั้งตัว
หลังจากที่หนีเอาตัวรอดออกมาได้สำเร็จก็เริ่มหายใจได้คล่องขึ้น แต่ก่อนจะเดินพ้นประตูเรือนด้านนอกองครักษ์คนสนิทท่านอ๋องได้เดินผ่านหน้าไปพอดี หญิงสาวได้แต่พยักหน้าให้เมื่ออีกฝ่ายหยุดทำความเคารพ
หนิงเซียนได้แต่มองตามหลังด้วยความมึนงงเล็กน้อย แม้ในใจจะสงสัยว่ามีเรื่องสำคัญอะไรถึงได้ดูรีบร้อนอย่างนั้น แต่พอนึกให้ดีมันก็มิใช่เรื่องของนางที่ควรจะเข้าไปยุ่ง จึงหันไปหยิบเอาตะกร้าเดินเข้าสวนหลังบ้านไปมิได้สนใจอีก
คล้อยหลังหนิงเซียนออกไปได้ไม่นาน เหลียงเฟิงก็เอาแต่ครุ่นคิดถึงการเปลี่ยนไปของหญิงสาว ก่อนหน้านางไม่แม้แต่จะกล้าสบตา เอาแต่นั่งก้มหน้ารับคำสั่งจนน่ารำคาญ แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ นางกล้าที่จะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไม่หลบเลี่ยง
อีกทั้งยังกล้าต่อปากต่อคำได้อย่างไม่เกรงกลัว นอกจากเสด็จแม่แล้วก็ไม่มีผู้ใดกล้าล้อเลียนเขาเช่นนี้ แม้แต่เสด็จพ่อก็ยังไม่เคยพูดอย่างเป็นกันเองด้วยซ้ำไป เพราะไม่ว่าเมื่อไรคนพวกนั้นก็เอาแต่เกรงกลัวและก้มหัวให้อย่างน่าสมเพช ทั้งที่เขาก็ทำเพียงนิ่งเฉยเท่านั้น
“ไฉฉือหยุดความคิดของเจ้าเดี๋ยวนี้” คำพูดจากปากสาวเจ้าไม่ค่อยจะเข้าหู มู่หลางพยายามข่มกลั้นความโกรธของตนเองอย่างสุดความสามารถ“พวกเจ้าเป็นอันใดกัน น่ารำคาญยิ่งนัก จะไปไหนก็ไป” หลังจากเขากับภรรยาแอบฟังมู่หลางพูดคุยอยู่นาน ได้จังหวะเหมาะจึงแสร้งทำเป็นไม่พอใจไล่คนทั้งสองไปที่อื่นเสีย“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง กระหม่อมขอเวลาสักครู่พ่ะย่ะค่ะ” หากวันนี้ตกลงกันไม่เข้าใจ เห็นทีว่าไฉฉือคงต้องได้ยืดเวลากลับบ้านไปหาท่านป้าแล้ว“ไม่ต้อง อีกสองวันค่อยกลับมาทำหน้าที่ของเจ้า ไปแก้ปัญหาให้จบ อย่าให้ข้าเห็นเช่นนี้อีก” เหลียงเฟิงตวาดเสียงดุ ความจริงแล้วเขาก็อยากจะเล่นงิ้วต่อ แต่ภรรยาสุดที่รักกลับให้เขารีบจบบทบาทเจ้านายอารมณ์ร้ายนั่นเสีย ช่างน่าเสียดาย“ขออภัยอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก” องครักษ์หนุ่มสำนึกผิดที่ตนทำให้นายเหนือหัวต้องรำคาญใจ ทั้งที่วันนี้ท่านอ๋องกับหวังเฟยควรจะได้ออกมาทานข้าวนอกอย่างสำราญใจแท้ ๆ กายหนาหันกลับไปคว้ามือเล็กคนข้างกาย พาอีกฝ่ายขึ้นชั้นสามไปอย่างรวดเร็ว“ว๊าย! พี่มู่เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” ไฉฉือร้องทัดทาน มือบางรวบเก็บชุดส่วนบนไว้แน่น ยิ่งพี่มู่ของนางดึงแรงเพียงใด
“เป็นอะไรไปไฉฉือ” หนิงเซียนเอ่ยถามขึ้น เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินผิด ๆ ถูก ๆ“นายหญิงเจ้าคะ ให้ข้ากลับเถอะเจ้าค่ะ คนมองเต็มเลย สงสัยข้าน้อยแต่งตัวประหลาด” หญิงสาวกระซิบกระซาบเสียงเบา ตั้งแต่นางพาเข้าในโรงเตี๊ยม ก็ถูกผู้คนจับต้องตลอดทางเดิน ทำให้นางไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าใดนัก“เป็นเพราะเจ้างดงามพวกเขาจึงได้มอง ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่อยากเจอพี่มู่ของเจ้าหรือ”“พี่มู่อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ” เมื่อนายหญิงเอ่ยชื่อพี่ชายที่แสนดี หญิงสาวก็หูผึ่งขึ้นมาทันที หลงลืมความอายไปชั่วขณะ“ใช่แล้ว ไปกันเถอะ” มู่หลางจงจำไว้ที่เจ้าพูดว่าจะไม่แต่งงานน่ะ ข้าจำคำนั้นขึ้นใจเชียวละ หุ หุเพราะหลายครั้งที่นางได้ยินคำนี้ออกจากปากองครักษ์หนุ่ม หนิงเซียนก็เฝ้ารอวันที่มู่หลางจะพลาดพลั้งบ้าง ส่วนมากคนพูดเช่นนี้ก็มักจะไม่พ้นผิดไปจากที่พูดเสียทุกรายมู่หลางหายใจฟึดฟัดเมื่อเห็นอีกคนเดินเข้ามาด้านในโรงเตี๊ยม วันนี้ไม่รู้ว่าท่านอ๋องคิดอะไรอยู่ ถึงได้ออกมานั่งรอหวังเฟยที่โต๊ะด้านนอก แทนที่จะเปิดห้องพิเศษเหมือนทุกครั้งไป นั่นใครสั่งใครสอนให้แต่งกายประหลาดเช่นนั้น เดินทีกระโปรงเปิดเปลือยไปถึงขาอ่อน แต่งมายั่
“น้องสาวทางสายเลือดหรือไม่” ตรงส่วนนี้ที่นางรู้สึกสงสัย ก็ไหนมู่หลางเคยบอกว่าไม่มีครอบครัวแล้วอย่างไร เหตุใดถึงได้มีน้องสาวโผล่มาได้“ไม่ ๆ เจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นเพียงบุตรสาวคนข้างบ้านพี่มู่ แต่ว่าเติบโตมาด้วยกันจึงสนิทกันเจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบชี้แจงให้นายหญิงคนงามเข้าใจ นางและพี่มู่ห่างกันตั้งหกปี แม้จะเคยสนิทสนมกันมาก ทว่าเมื่อโตขึ้นพี่มู่กลับเว้นระยะห่าง แม้แต่เคยเล่นกอดคอกันเมื่อตอนเด็ก ๆ เขายังสั่งห้ามมิให้เข้าใกล้ ซึ่งนางก็ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าใดนัก“จริงหรือ แล้วเขาดูแลเจ้าดีหรือไม่” ที่หนิงเซียนซักถามเช่นนั้น ก็เพราะว่ามู่หลางเป็นคนค่อนข้างจะทึ่มทื่อปากหนักในเรื่องชายหญิง นางก็อยากจะรู้เขาจะมีความรู้สึกพิเศษอะไรกับไฉฉือหรือไม่ สตรีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักออกปานนี้ ไม่มีความรู้สึกอันใดก็คงจะแปลกไม่น้อย“ดีมากเจ้าค่ะ มีอะไรก็นึกถึงข้ากับท่านแม่ตลอดเลย นี่ก็ห่วงว่าพี่มู่จะหาภรรยาไม่ได้ แก่ไปคงได้อยู่ตัวคนเดียว ท่านแม่จึงให้ข้ามาดูให้เห็นกับตาเจ้าค่ะ” ด้วยความใสซื่อ ไฉฉือจึงพูดออกมาอย่างไม่มีปิดบัง แต่เมื่อถึงตอนนั้น หากเขามีคนรักขึ้นมาจริง นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะทำใจรับได้หรือไม่ ที่ผ่านมาต
ไฉฉือสาวน้อยจากหมู่บ้านชนบทยืนชะเง้อคอยาวอยู่หน้าประตูวังอันใหญ่โต นางไม่คิดว่าพี่มู่จะอยู่ดีเกินคาดไปมาก เมื่อได้เห็นกับตาก็สบายใจไปเปลาะหนึ่งที่ผ่านมานางและมารดากลัวว่าเขาจะอยู่อย่างยากลำบาก เงินที่แบ่งปันให้นางกับครอบครัวทุกเดือนก็มากโข แล้วไหนจะมีของฝากราคาแพงอีกมากมาย เพราะแบบนี้มารดาจึงไม่สบายใจ เกรงว่ามู่หลางจะเอาแต่ทำงานหนักไม่รู้จักดูแลตนเอง เงินที่ได้มาก็คงจะส่งให้พวกตนทั้งหมด ด้วยเขามีนิสัยคิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเองเสมอครอบครัวไฉฉือและมู่หลางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด เป็นเพียงเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันเท่านั้น ตอนเด็กนางและเขาสนิทกันมาก ในตอนมู่หลางอายุได้สิบหนาวบิดามารดาตายจากด้วยโรคระบาด ไม่มีญาติมิตรคอยดูแล มารดาไฉฉือสงสารจึงได้ส่งเสียเลี้ยงดูราวกับลูกในไส้ สำหรับสายตาของหญิงสาว มารดาออกจะรักมู่หลางมากกว่านางที่เป็นบุตรสาวแท้ ๆ เสียอีกเมื่อเติบโตต่างฝ่ายต่างแยกย้าย ไฉฉือเป็นเพียงสตรีจึงทำได้แค่ช่วยมารดาทำสวนทำไร่อยู่บ้านนอก ส่วนมู่หลางเขาได้เดินทางมาเมืองหลวงเพื่อหางานทำ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย มีเพียงจดหมายพร้อมกับตั๋วเงินแนบมาให้ในทุก ๆ เดื
เด็ก ๆ สามคน รวมไปถึงมู่หลางนั่งล้อมวงดื่มชากินขนมกันอยู่ศาลาพัก พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จวนแม่ทัพหยางให้ความเอ็นดูเด็กแฝดเป็นอย่างมาก ฮูหยินหยางอยากให้บุตรชายได้มีบุตรแบบนี้สักคู่ทว่าแต่งงานมาได้สองปีกลับยังไม่มีหลานให้อุ้ม พวกเขาจึงแก้เหงาด้วยการขอท่านหญิงน้อย ท่านอ๋องน้อย มาเล่นที่จวนแม่ทัพในบางครั้งขนมพร้อมกับน้ำชาแสนอร่อยถูกลำเลียงมาวางจนเต็มโต๊ะ ทำเอาเด็ก ๆ ทั้งสามตาลุกวาวอย่างถูกอกถูกใจ มาจวนแม่ทัพทีไรล้วนแล้วแต่มีของอร่อยให้ได้กินจนเต็มคราบแต่เมื่อกลับถึงวังของหวานเหล่านี้จะกินตามใจปากไม่ได้แล้ว เพราะท่านแม่มักจะจำกัดการกินของพวกเขาเสมอ ท่านแม่บอกว่าเด็กกินของหวานไม่ดี ฟันจะผุ ถูกแมลงตัวร้ายกินหมดปาก“เฮ้อ” เด็กหญิงเคี้ยวขนมแก้มตุ่ย นั่งถอนหายใจราวกับมีเรื่องให้หนักใจเป็นหนักหนา กระนั้นก็ยังยกขนมในมือขึ้นกัดเข้าไปอีกคำโต“ไม่สบายตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะท่านหญิง” หลี่หยุนรีบวางขนมในมือทันที พร้อมกับถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง“เราไม่เป็นไร เราแค่กังวลใจ”“ท่านหญิงกังวลใจเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ เล่าให้กระหม่อมฟังได้หรือไม่” มู่หลางรู้สึกเป็นห่วง ท่านหญิงเป็นเด็กร่าเริง น้อยนักท
“หนิงหนิง พี่ทนไม่ไหวแล้ว”กายหนาจับภรรยาหันหน้าเข้าผนังห้องทันที ก่อนจะถลกกระโปรงหญิงสาวขึ้นถึงเอว จากนั้นท่อนเนื้ออันใหญ่โตสอดเข้าผสานเนินสาวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังออกแรงโยกไปตามอารมณ์ดิบเข้าออกเป็นจังหวะช้าเร็วตามแรงอารมณ์ ไม่แม้แต่จะเล้าโลมให้เสียเวลา“ท่านพี่เดี๋ยวก่อน” หนิงเซียนบัดนี้นางได้ถูกคนตัวโตตอกอัดตนเองเข้ากับผนังอย่างไม่ทันตั้งตัว นางและเขาใช้ชีวิตรักฉันสามีภรรยามานาน จนบุตรแฝดทั้งสองอายุได้สามหนาวแล้ว ทว่าความต้องการของสามีก็มิได้ลดน้อยลงจากเดิม ในบางครั้งออกจะมีความต้องการมากล้นเสียด้วยซ้ำตั้งแต่เจ้าสองแสบเริ่มโต นางและเขาก็มิได้มีเวลาให้กันมากเท่าใดนัก ด้วยบุตรทั้งสองต่างงอแงอ้อนขอนอนด้วยทุกค่ำคืน แม้พวกเขาจะโตมากพอที่จะแยกห้องนอนกันได้แล้ว แต่ก็ยังเกาะติดผู้เป็นมารดาราวกับลูกลิง บิดาผู้หลงบุตรมีหรือจะไม่ยอมตามใจ ผลกรรมทั้งหมดได้ตกมาอยู่ที่เขาแทน“พี่ขอเถอะ ประเดี๋ยวลูกก็คงกลับจากเรียนวิชาดาบแล้ว” เขาอดกินภรรยามาเกือบเจ็ดวันแล้ว เวลานี้ได้โอกาสเหมาะ จึงไม่พลาดที่จะกลืนกินภรรยาสาว ทุกเวลาล้วนมีค่าสำหรับเขา“อ๊ะ! แรงไปแล้วนะเจ้าคะ” หนิงเซียนหัวโยกหัวคลอน เขาไม่ยอมผ่อน