บทที่ 11
ความอยุติธรรมในยุคศักดินา
พอเก็บร้านเสร็จ จิ่งฝานก็วิ่งมาหาตงตงที่ร้านโดยที่ยังไม่ถึงเวลานัด บนใบหน้าของจิ่งฝานยังมีรอยช้ำตรงเบ้าตาข้างซ้าย และดูเหมือนว่าจะเป็นของใหม่
“พี่จิ่งฝาน ใครทำร้ายท่าน!” ตงตงร้องถามด้วยความตกใจ
จางไคเฮ่อมุ่นหัวคิ้ว แม้ไม่ได้พูดอะไร แต่ก็มองจิ่งฝานด้วยสายตาเป็นห่วง
“แหะๆ พอดีข้าบอกเถ้าแก่ใหญ่ว่าจะขอลาออก เลยเบิกเงินค่าแรงทั้งหมด แต่เถ้าแก่ใหญ่บอกว่าข้าลาออกกระทันหัน ผิดสัญญาจ้าง นอกจากจะไม่จ่ายค่าแรง ยังต่อยข้าเพราะข้าพูดไม่รู้เรื่อง แล้วก็ไล่ตะเพิดข้าออกมา” ชายหนุ่มหัวเราะแห้งๆ พลางเกาแก้มไปด้วย
สองมือของตงตงกำเป็นหมัดแน่น ในอกเดือดปุดๆ ด้วยความโกรธ
จิ่งฝานถูกเอาเปรียบขนาดนี้ ทำไมยังทำเหมือนเป็นเรื่องปกติ
ไม่ว่าที่ไหนๆ ก็เหมือนกันหมด คนไม่มีเงิน คนฐานะต่ำต้อย ต้องถูกเอาเปรียบอยู่เสมอหรือไง!
“พี่จิ่งฝานมีสัญญาจ้างงานหรือไม่”
จิ่งฝานส่ายหัว
ไม่มีสินะ
สัญญาจ้างคือหลักฐานสำคัญในการทำงานและเงินเดือน ถ้าไม่มีสัญญานั้น ต่อให้ผู้ว่าจ้างเอาเปรียบลูกจ้าง ก็ไม่มีหลักฐานเอาผิดน่ะสิ!
เรื่องนี้จิ่งฝานเสียเปรียบเต็มๆ
ไม่สิ ต้องบอกว่าถูกหลอกตั้งแต่แรกถึงจะถูก
“โรงเตี๊ยมอะไรหรือ” ตงตงถามทันที
“หะ?”
“โรงเตี๊ยมที่ทำกับท่านเช่นนี้ ใครเป็นเจ้าของหรือ”
“อ๋อ โรงเตี๊ยมตระกูลฉิน…เถ้าแก่ใหญ่ชื่อว่าฉินเทียน”
โรงเตี๊ยมตระกูลฉินอยู่บนถนนฝั่งตะวันออก เป็นเส้นทางที่นักเดินทางสัญจรกันเยอะ โรงเตี๊ยมตระกูลฉินใหญ่โตไม่น้อย ห้องพักสะอาดและยังมีหลายห้อง เปลือกนอกเป็นโรงเตี๊ยมที่ดี แต่ไม่คิดว่าเบื้องหลังของเถ้าแก่ใหญ่จะสกปรกเช่นนี้
เดี๋ยวก่อน โรงเตี๊ยมตระกูลฉินหรือ!?
ทันใดนั้น ตงตงก็นึกออก เช้าตรู่วันนี้หลงจู๊โรงเตี๊ยมตะกูลฉินมากินซาลาเปาร้านของนาง ท่าทางของหลงจู๊นั่น แน่ชัดว่าไม่ได้หิวหรืออยากชิมรสชาติซาลาเปา แต่มาเพื่อสอดส่อง
หนอยแหน่ะ! เอาเปรียบคนอื่นไม่พอ ยังคิดจะมาสอดส่องซาลาเปาของคนอื่นอีก
จางไคเฮ่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์โกรธอันรุนแรงจากลูกสาว จึงรีบพูดเตือนสติ “โรงเตี๊ยมตระกูลฉินจ่ายเงินสินบนให้กับขุนนางไม่น้อย ถึงเจ้าพาจิ่งฝานไปฟ้องร้อง ทั้งทางเราไม่มีหลักฐานเอาผิด พวกเรามีแต่เสียเปรียบ”
“เรื่องนั้นข้ารู้เจ้าค่ะ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ชาวบ้านอย่างพวกเราถูกรังแกแบบนี้ ไม่ยุติธรรมเลย” ตงตงก้มหน้าบ่น
“ใช่ โลกนี้ยังมีอะไรอีกอย่างหลายที่ไม่ยุติธรรม” ท่านพ่อบอกอย่างเห็นด้วย ราวกับว่าตัวเขาก็ถูกความอยุติธรรมทำร้ายมาก่อน
จิ่งฝานแม้จะซื่อบื่อ แต่ก็เข้าใจคำพูดของสองพ่อลูก ชายหนุ่มรีบโบกมือห้ามปราม “ตงตง ข้าไม่เป็นอะไรหรอก อย่าเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อข้าเลย”
“ข้ารู้ว่าพี่จิ่งฝานไม่คิดมาก เป็นข้าที่ไม่พอใจโรงเตี๊ยมตระกูลฉินเป็นการส่วนตัวเอง”
จากนั้นตงตงก็เล่าเรื่องที่หลงจู๊โรงเตี๊ยมนั้นมากินซาลาเปาตั้งแต่ร้านเพิ่งเปิด ท่าทางของเขาเหมือนไม่ได้มากินเพราะติดใจรสชาติ แต่เหมือนมาเพื่อสอดส่อง
จางไคเฮ่อได้ยินแบบนั้นก็มุ่นหัวคิ้ว “ถ้าพวกนั้นเลียนแบบซาลาเปาของเจ้า ทางเราก็ไม่มีที่ยืนแล้ว ร้านเราเป็นร้านเล็กๆ ตรงข้ามกับโรงเตี๊ยมตระกูลฉินที่มีชื่อเสียงใหญ่โต หากพวกเขาบอกว่าเป็นต้นแบบก็ทำได้ง่ายๆ”
“ท่านพ่ออย่าเพิ่งกังวล เรื่องเลียนแบบซาลาเปาของข้า คนพวกนั้นไม่มีทางทำได้หรอกเจ้าค่ะ”
“ทำไมคิดเช่นนั้นเล่า”
ตงตงคลี่ยิ้มอย่างมั่นใจ “ก็เพราะสูตรของข้า ไม่มีใครเลียนแบบได้ยังไงล่ะ”
ท่านพ่อส่ายหัว “ช่วยไม่ได้ ถ้าเจ้ามั่นใจแบบนั้น ข้าก็มีแต่ต้องเชื่อเจ้า”
พูดจบ ท่านพ่อยกตระกร้าขึ้นสะพายหลัง
จิ่งฝานเห็นจางไคเฮ่อหิ้วของเต็มสองมือก็รีบเข้ามาช่วยถือของ
ตงตงเดินตามทั้งสองตัวปลิว ในใจครุ่นคิดไปเรื่อย
อาหารขึ้นชื่อของโรงเตี๊ยมตระกูลฉินคือเอ็นหมูตุ๋น พ่อครัวจะตุ๋นเอ็นหมูจนเปื่อยและนุ่ม คนแก่ฟันไม่ดีเคี้ยวได้สบายๆ กินคู่กับหมั่นโถวร้อนๆ ยิ่งอร่อย ยังมีบะหมี่เส้นนุ่ม น้ำซุปกลมกล่อม
แน่นอน ตงตงไม่เคยกินอาหารโรงเตี๊ยมตระกูลฉิน แค่ได้ยินมาเท่านั้น
ทว่ามาตรฐานการทำอาหารยุคนี้ค่อนข้างต่ำ ความรู้เรื่องวัตถุดิบก็มีน้อย แป้งทำซาลาเปาของพวกเขาที่ว่านุ่ม ยังเทียบกับแป้งซาลาเปาที่ตงตงทำไม่ได้เลย
เพราะอย่างนั้น ตงตงถึงมั่นใจว่าพวกเขาไม่มีทางทำซาลาเปาออกมาได้เหมือนนางอย่างแน่นอน
พอกลับถึงบ้าน ตงตงบอกให้จิ่งฝานนั่งรอสักครู่
ชายหนุ่มจึงไปช่วยจางไคเฮ่อล้างของ
เด็กสาวเข้ามาในห้อง เปิดระบบร้านค้า ซื้อยารักษาอาการพกช้ำและยาแก้ปวด จากนั้นก็แบ่งใส่กระปุกไม้เล็กๆ แล้วเอาออกไปให้จิ่งฝาน
ชายหนุ่มซาบซึ้งจนหลั่งน้ำตา โพล่งประกาศว่าจะทำงานให้ตงตงแม้ไม่ได้ค่าแรงก็ยอม
ตงตงส่ายหัว “ถ้าไม่เอาค่าแรง พี่จิ่งฝานจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อยาให้ลุงจิ่งเล่า”
จิ่งฝานเกาหัวแกรกๆ หัวเราะแห้งๆ
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม