บทที่ 12
เหยียนหลิ่วมาพร้อมกับบาดแผล
ในตอนบ่าย ตงตง จางไคเฮ่อและจิ่งฝานมาช่วยกันความสะอาดโรงเตี๊ยม
ถึงกระนั้น ตงตงก็ไม่อยากให้จิ่งฝานฝืนตัวเองมากเกินไป เลยบอกให้เขากลับไปพักที่บ้าน แต่ชายหนุ่มยืนกรานว่าทำไหว ตงตงจึงปล่อยให้เขาทำตามใจชอบ
โชคดีที่ท่านพ่อยังไม่ขายอุปกรณ์ทำครัวของท่านแม่ ภายในโรงเตี๊ยมจึงมีอุปกรณ์ครบครันให้นางใช้
ทันใดนั้น เด็กสาวก็เกิดความคิด ตั้งแต่พรุ่งนี้ นางไม่ต้องขนข้าวของจากบ้านมาที่นี่ให้ลำบาก ใช้ครัวที่นี่เตรียมของขายสะดวกกว่าเป็นไหนๆ
นอกจากนี้แล้ว หลังโรงเตี๊ยมยังมีพื้นที่ว่างเหลือนิดหน่อย ตงตงคิดว่าจะทำแปลงปลูกผัก ใช้สอยพื้นที่ให้เป็นประโยชน์ เผื่อว่าจะประหยัดขึ้นมาบ้าง
“เจ้าอยากขายอาหารอะไรหรือ”
ระหว่างเช็ดถูโต๊ะเก้าอี้ จางไคเฮ่อเงยหน้ามาถามลูกสาว
ตงตงทำสีหน้าครุ่นคิด สักครู่ก็ยิ้มแย้มแล้วตอบ
“ตอนนี้ข้าขายซาลาเปาเป็นอาหารเช้า หากคิดจะต่อยอดก็คงเป็นอาหารเช้าเหมือนกัน อย่างปาท่องโก๋กับโจ๊กร้อนๆ ช่วงบ่ายถึงเย็น อาจจะเป็นอาหารทั่วไป”
“ปาท่องโก๋?” จางไคเฮ่อถามด้วยสีหน้ามึนงง
ยุคนี้ยังไม่มีคนรู้จักปาท่องโก๋ ตงตงจึงอธิบายคร่าวๆ ว่า ปาท่องโก๋คือการเอาแป้งที่หมัก ปั้นแล้วจับเป็นคู่ ก่อนจะนำลงไปทอดในกะทะให้ฟู ข้างในจะนุ่ม ส่วนข้างนอกจะกรอบ กินคู่กับชาหรือน้ำเต้าหู้ก็อร่อย หรือจะใส่ลงไปในโจ๊กก็เข้ากัน
พอฟังนางอธิบาย จางไคเฮ่อยิ่งเกิดความสงสัย ลูกสาวของเขารู้จักอาหารแปลกๆ แบบนั้นได้ยังไง ตอนที่กำลังจะถาม เขาสังเกตสีหน้าของตงตง เวลานางพูดเรื่องอาหาร บนใบหน้าจะมีรอยยิ้มสดใส
ท้ายที่สุด จางไคเฮ่อก็ปิดปากลง ไม่ได้ถามออกไป
สูตรอาหารพวกนี้นางจะเอามาจากไหนก็เป็นเรื่องของนาง แค่นางทำในสิ่งที่ชอบก็พอ
…..
…..
เช้ามืดของวันถัดมา เหยียนหลิ่วกระโดดข้ามกำแพงมาพร้อมกับใบหน้าที่บวมฉึ่ง แขนขาก็มีรอยเขียวช้ำเต็มไปหมด
ตงตงกำลังบ้วนปากอยู่ พอเห็นสภาพของเด็กหนุ่มก็ถึงกับพ่นน้ำออกมา
พรวด!
“พี่ชายหลิ่ว หน้าท่านไปโดนอะไรมาหรือ” เด็กสาวถามอย่างเป็นห่วง
เหยียนหลิ่วเดินเข้ามาช่วยตงตงเตรียมข้าวของ พร้อมกับพูดด้วยสีหน้าและท่าทางปกติ
“ข้าซุ่มซ่ามหกล้มน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
“โกหก”
ตงตงไม่ได้โง่ อาการบวมฉึ่งบนหน้าเป็นร่องรอยของคนที่ถูกซ้อมมาชัดๆ เพราะว่าเหมือนกับที่จิ่งฝานไม่มีผิด
“ว่าแต่เจ้าเถอะ ทำไมของวันนี้มีน้อยจัง” เหยียนหลิ่วเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง
ตงตงรู้ว่าเขาไม่บอกเรื่องจริงแน่ๆ นางจึงตอบกลับไปว่า “บ่ายเมื่อวานข้ากับท่านพ่อ แล้วก็พี่จิ่งฝานช่วยกันทำความสะอาดโรงเตี๊ยม วันนี้เลยไม่ต้องขนอุปกรณ์ไป แค่ขนซาลาเปาไปนึ่งเท่านั้น”
“เจ้าจะกลับมาเปิดโรงเตี๊ยมแล้วหรือ” เด็กหนุ่มถามอย่างตื่นเต้นดีใจ
“ใช่ ข้าตั้งใจจะกลับมาเปิดโรงเตี๊ยม แต่ก็ต้องเตรียมอะไรอีกตั้งเยอะ คงใช้เวลา 2-3 วันถึงจะเรียบร้อย…พี่ชายหลิ่ว รอข้าแป๊บนึงนะ”
พูดจบ ตงตงก็วิ่งเข้าบ้าน หยิบยาทาแก้พกช้ำที่เคยแบ่งให้จิ่งฝานคราวก่อน เอามาให้กับเหยียนหลิ่ว
“นั่นอะไรหรือ”
“ยาทาแก้พกช้ำ”
“จริงๆ ไม่ต้องลำบากเจ้าก็ได้ แผลพวกนี้ปกติแล้วจะหายเองน่ะ” เด็กหนุ่มบอกด้วยสีหน้าลำบากใจ
ได้ยินแบบนี้ ความโกรธพลันผุดขึ้นในใจ
คนยุคนี้จิตใจทำด้วยอะไร ไม่พอใจก็ลงไม้ลงมือหรือ น่ารังเกียจที่สุด
ระหว่างคิด มือของนางกำแน่นอย่างไม่รู้ตัว
“ข้าทนเห็นไม่ได้ ท่านนั่งลงสิ”
ไม่พูดเปล่า ตงตงยังชี้ไปที่เก้าอี้ สั่งให้เขานั่งลง
เหยียนหลิ่วเห็นว่าตงตงกำลังโกรธ เขาจึงนั่งลงนิ่งๆ อย่างเชื่อฟัง
ตงตงป้ายยาขึ้นมาเล็กน้อย ตอนที่กำลังจะทาให้เหยียนหลิ่ว เสียงกระแอมของท่านพ่อก็ดังขึ้น
ทั้งนางทั้งเหยียนหลิ่วหันไปมองจางไคเฮ่อด้วยแววตาสงสัย
“เขามีมือมีเท้า ทำไมไม่ให้ทาเอง” จางไคเฮ่อบอกเสียงเรียบ
“นั่นสิ ข้าทาเองได้” เหยียนหลิ่วเห็นด้วย
ตงตงกลับย่นหัวคิ้วพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ
“บนหน้าพี่ชายหลิ่วมีแผลเต็มไปหมด ให้ข้าช่วยทาจะไม่สะดวกกว่าหรือ”
ตงตงบอกด้วยสีหน้าเหมือนไม่ได้คิดอะไรมาก ทั้งยังป้ายยาลงบนแผลให้กับเด็กหนุ่มทันที
ลองว่าเป็นอย่างนี้ ห้ามไปก็เปล่าประโยชน์ จางไคเฮ่อกรอกตาทีหนึ่ง แล้วเดินไปล้างหน้า
ระหว่างทายา พอได้มองเหยียนหลิ่วใกล้ๆ ชัดๆ แบบนี้ เขาหน้าตาดีไม่เบาเลย
ทางด้านเหยียนหลิ่ว ตอนที่ตงตงป้ายยาลงมา หัวคิ้วของเหยียนหลิ่วกระตุก ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น เห็นชัดว่าเจ็บ
ตงตงอดจะรู้สึกสงสารเด็กหนุ่มไม่ได้ …ไม่ใช่แค่เหยียนหลิ่ว จิ่งฝานก็ด้วย แค่ฐานะต่ำต้อยกว่า ทำไมคนพวกนั้นต้องลงไม้ลงมือด้วย
“มีตรงไหนที่เจ็บอีกบ้าง” พอทายาบนหน้าให้เหยียนหลิ่วเสร็จ ตงตงมองหาจุดอื่นต่อ
เหยียนหลิ่วดีใจมาก เป็นครั้งแรกที่มีคนเป็นห่วงเป็นใยเขาขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่อยากรบกวนนางมากไปกว่านี้อีกแล้ว เลยบอกว่าจะทายาเอง
“ส่วนอื่นข้าทาเองได้ ขอบใจเจ้ามากเลยนะ ตงตง”
เด็กหนุ่มพูดด้วยความซาบซึ้งใจ
ตงตงพยักหน้า ก่อนจะยื่นตลับยาให้เขา
“ข้ายกให้”
เหยียนหลิ่วรับตลับยา ขณะกล่าวขอบคุณเด็กสาว เขายื่นมือออกมาลูบหัวตงตงด้วยความเคยชิน พร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่ก่อเกิดขึ้นในใจ
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม