บทที่ 4
ท่านพ่อยอมออกจากห้องแล้ว
ตอนกลับมาถึงบ้าน ถ้วยชามในครัวถูกล้างเก็บเรียบร้อย ฟืนก็ผ่าเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
เป็นฝีมือของเหยียนหลิ่วอย่างไม่ต้องสงสัย
ตงตงเดินไปที่หน้าห้องของท่านพ่อ เก็บจานซาลาเปาที่ว่างเปล่า
เด็กสาวส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
คิดจะทำตัวแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไรกัน ตาแก่งี่เง่า!
คิดพลางถอนหายใจเฮือก
“ท่านพ่อ ถ้าท่านคิดถึงท่านแม่ ทำไมไม่พยายามฟื้นฟูโรงเตี๊ยมให้เหมือนตอนที่ท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ ถึงท่านแม่จะจากไปแล้ว แต่ความทรงจำของพวกท่านก็คือโรงเตี๊ยมไม่ใช่หรือ ขอแค่คนอยู่ โรงเตี๊ยมอยู่ ท่านแม่ก็ยังอยู่กับพวกเรา”
…..
…..
เป็นอย่างที่คิด ท่านพ่อไม่ตอบอะไรกลับมาเลย
ตงตงรู้สึกเหนื่อยแล้ว
ชาติก่อน นางใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกเศร้าเสียใจ สิ้นหวัง หรือความยินดี นางต้องรับมือกับอารมณ์เหล่านั้นด้วยตัวคนเดียว พอเจอคนกำลังสิ้นหวังเลยไม่รู้วิธีการดึงคนแบบนั้นขึ้นมาอย่างไร
เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรเด็กสาวจึงศีรษะกับประตู พึมพำอย่างจนปัญญา
“ข้าเองก็คิดถึงท่านแม่”
…..
…..
ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกของท่านพ่อ
ความผูกพันทำให้ยึดติด ตอนที่ต้องสูญเสียอย่างกะทันหัน ท่านพ่อคงไม่รู้จะรับมือกับอารมณ์สิ้นหวังอย่างไร ท้ายที่สุดก็เลือกหนีออกจากสังคม
“ไม่เป็นไร” เด็กสาวพึมพำ “ถ้าท่านไม่อยากออกมาข้างนอก อย่างน้อยตอนที่ข้าไม่อยู่บ้าน ก็ช่วยทำงานบ้านหน่อยนะ”
เด็กสาวเดินเข้าครัว เตรียมของสำหรับไปขายวันพรุ่งนี้
ตอนนี้พอจะมีทุนหมุนเวียนสำหรับซื้อของจากร้านค้าข้างนอกนิดหน่อย ลองทำซาลาเปาไส้หวานดีไหมนะ
เด็กสาวคิดพลางมองฟักทองกับมะเขือที่เพิ่งซื้อมาระหว่างทางกลับบ้าน
เดิมตั้งใจทำผัดฟักทองใส่ไข่เป็นมื้อเย็น ถ้าแบ่งครึ่งลูกมาลองทำไส้ซาลาเปาก็น่าจะดี
คิดจบ เด็กสาวก็หยิบฟักทองไปผ่าครึ่งแล้วแช่น้ำ
จากนั้นเตรียมแป้ง เตรียมหม้อต้มน้ำเพื่อนึ่งฟักทอง
นางเติมน้ำใส่ ยกหม้อไปวางบนเตา แต่ด้วยความที่ไม่ระวังขัดขาตัวเอง
“เหวอ…แย่แล้ว!”
ในจังหวะที่ตงตงกำลังล้มหน้าคะมำพร้อมกับหม้อในมือ จู่ๆ คอเสื้อของนางก็ถูกรั้งไว้จากข้างหลัง
“ฟู่! เกือบไปๆ”
ตงตงระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะเอี้ยวศีรษะมองคนข้างหลัง
ครั้งนี้คนช่วยเหลือเด็กสาวไม่ใช่พี่ชายเหยียนหลิ่ว แต่เป็นชายร่างบึกบึน อายุอยู่ในวัยเลขสี่ หนวดเครารกเต็มใบหน้า ผมเผ้ายุ่งเยิง แถมตัวยังเหม็นตุๆ
เด็กสาวย่นหัวคิ้ว สักพัก ดวงตากลมโตก็เบิกกว้างเหมือนไข่ห่าน
แม้ผู้ชายคนนี้ไม่ทำอันตรายตงตง แต่เพราะไม่ได้เจอหน้า ‘เขา’ มานานแล้ว เลยทำให้นางหลุดอาการตกใจเหมือนเห็นผี
“ท่านพ่อ!?”
“เจ้ายังซุ่มซ่ามเหมือนเดิมเลย”
ท่านพ่อพูดเสียงเรียบ พร้อมกับเดินอ้อมมาตรงหน้า ฉวยหม้อจากมือของตงตงไปวางไว้บนเตา
ตงตงมองทุกอิริยาบทของบิดาด้วยสายตาตะลึง
“เป็นอะไร จะไม่นึ่งฟักทองแล้ว?”
บิดาหันมาถาม
“คือว่า…” ตงตงลังเล หลังจากเงียบไปสักพัก นางก็กล่าวว่า “ท่านพ่อตัวเหม็นมาก”
ครั้งนี้ฝ่ายที่ตะลึงคือจางไคเฮ่อ
“นั่นคือคำแรกที่ทักพ่อเจ้าหรือ”
เด็กสาวเม้มปาก คิดแล้วคิดอีกว่าจะทักท่านพ่อที่ไม่ได้เจอหน้าในรอบ 2 เดือนอย่างไร ท้ายที่สุด นางก็บอกให้ท่านพ่อไปอาบน้ำโกนหนวด
จางไคเฮ่อไม่ได้พูดกระไร เขาหมุนตัวก้าวเดินกลับห้อง
ตอนมองไปที่แผ่นหลังของบิดา จู่ๆ ดวงตาของตงตงก็สั่นไหว ด้วยว่าบิดาเข้าห้องไปแล้วจะขังตัวเองอยู่ในนั้นอีก
“ไม่ได้!”
เด็กสาวรีบวิ่งไปฉุดเสื้อของบิดา
จางไคเฮ่อหยุดฝีเท้า “อะไรอีก”
“คราวนี้…ข้าจะไม่ยอมให้ท่านขังตัวเองอีกแล้ว”
“ขี้บ่นเหมือนแม่เจ้าไม่ผิด”
“จากนี้ต่อไปข้าจะบ่นจนท่านหูชาเลย”
“ปล่อยพ่อได้แล้ว”
“ไม่ปล่อยเจ้าค่ะ ข้าไม่ยอมให้ท่านกลับไปใช้ชีวิตหมดอาลัยตายอยากอีกแล้ว”
“เฮ้อ…” จางไคเฮ่อพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ถ้าเจ้าไม่ปล่อย แล้วข้าจะไปอาบน้ำยังไง”
“ท่านต้องออกมานะ ข้าวเย็นวันนี้มีผัดฟักทอง อ้อ ข้าจะลองทำซาลาเปาไส้ฟักทองด้วย”
“เข้าใจแล้วน่า”
“สัญญาแล้วนะ”
“รู้แล้ว รู้แล้ว”
ท่านพ่อตอบกลับด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
ตงตงยิ้มน้อยๆ ก่อนจะปล่อยมือที่รั้งเสื้อของท่านพ่อ ตอนนี้เอง เพิ่งพบว่าเสื้อของเขาเหม็นจนติดมือนาง
“เสื้อผ้าของท่านก็หัดเอาออกมาซักซะบ้างเถอะ”
เด็กสาวตะโกนไล่หลัง
จางไคเฮ่อส่ายหน้า พึมพำว่า “นางเป็นลูกสาวหรือแม่ข้ากันแน่”
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม