บทที่ 43
คนน่าสงสัย
เช้าวันต่อมา
รถม้าขนเสบียงหลายคันเลียบไปตามถนนอย่างช้าๆ ทั้งหน้าและหลังขบวนรถม้าจะมีเหล่าทหารราชองครักษ์หลวงคอยคุ้มกัน หนึ่งในนั้นก็คือเหิงเจา
พอเหิงเจาควบม้าผ่านหน้าโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นตงตงตั้งป้ายอยู่หน้าร้าน ชายหน้าโฉดเลือดร้อนพลันยิ้มแย้ม โบกมือทักทายตงตง
เด็กสาวก้มศีรษะให้เหิงเจา ทั้งยังโบกมือแล้วยิ้มตอบ
เมื่อขบวนรถขนเสบียงเคลื่อนผ่านไปแล้ว เหล่าลูกค้าขาประจำก็ทยอยเข้าร้าน
“พี่เหิงเดินทางแล้วสิ หน่วยของเราคงเงียบเหงาอีกนานเลยเนอะ”
“นั่นสิ ต้องเหงาหูกันอีกนานเลย”
ทั้งสองคนที่เดินเข้าร้านมานั้น คือสหายผู้น้อยที่มากับเหิงเจาเมื่อวาน
จากคำพูดเหมือนพวกเขาทำงานในหน่วยเดียวกับเหิงเจา
“ว่าไปแล้ว ข้าก็อยากกินไข่เยี่ยวม้าอีกจัง”
“ใช่ๆ ถ้ายังพอมีเหลืออยู่ล่ะก็…”
พูดคุยกันมาถึงตรงนี้ ทั้งสองคนก็หันไปถามจิ่งฝางที่กำลังยกชาเข้ามาเสิร์ฟ
“เสี่ยวเอ้อ วันนี้มีเมนูไข่เยี่ยวม้าหรือไม่”
หนึ่งในสองคนเอ่ยถาม
จิ่งฝางทำหน้าลำบากใจ แล้วตอบออกไปว่า “ต้องขอประทานโทษด้วยขอรับ เมื่อวานเถ้าแก่เนี้ยน้อยของเรานำไข่เยี่ยวม้าออกมาขายหมดแล้ว”
ได้ยินคำตอบ ทั้งสองคนพลันทำหน้าเสียดาย
“อย่างนั้นหรอกหรือ”
“น่าเสียดายจัง”
“ถึงจะฉุนไปหน่อย แต่กลับอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ รสชาติยังเหมือนติดอยู่ในปากอยู่เลยนะเนี่ย”
“ใช่ๆ”
ระหว่างที่ทหารหนุ่มทั้งสองคุยกันเรื่องไข่เยี่ยวม้า จิ่งฝางส่งเสียง “เอ่อ…” ด้วยความลังเล
ชายทั้งสองหันมองจิ่งฝาง พลันผุดสีหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้
“จริงสิ ลืมสั่งอาหาร” ชายคนหนึ่งพูด
ระหว่างที่พวกเขากำลังคิดว่าจะสั่งอะไร จิ่งฝางพลันพูดขึ้น
“คือข้าน้อยจะบอกว่า เถ้าแก่เนี้ยของเรากำลังเตรียมของทำไข่เยี่ยวม้าเพิ่มขอรับ หากพวกท่านยังต้องการอยู่…”
จิ่งฝางยังพูดไม่ทันจบดี ชายทั้งสองโพล่งว่า “ต้องการสิ!”
“แล้วจะได้กินเมื่อไรหรือ!!”
“เรื่องนี้...”
จิ่งฝางตอบไม่ได้เหมือนกัน แค่เห็นว่าตงตงกำลังเตรียมของทำไข่เยี่ยวม้าเพิ่ม เรื่องระยะเวลาทำเสร็จ เขาเองก็ไม่รู้หรอก
หลังจากหายตกใจ จิ่งฝางบอกกับทั้งสองว่าให้รอประเดี๋ยว เขาจะเข้าไปถามตงตงให้
ไม่นานจากนั้น ตงตงก็เดินมาหยุดที่โต๊ะของสองหนุ่ม
“เมื่อกี้พี่จิ่งฝางบอกข้าแล้ว พวกท่านสนใจไข่เยี่ยวม้าสินะเจ้าคะ?”
“ใช่แล้ว ได้ยินจากเสี่ยวเอ้อว่าแม่ครัวน้อยจะทำเพิ่ม แล้ว…ไข่เยี่ยวม้าจะทำเสร็จเมื่อใดหรือ”
“เมื่อวานเพิ่งให้ท่านพ่อเตรียมของ ตั้งใจว่าจะทำเย็นนี้เจ้าค่ะ แต่ว่า พวกท่านช่วยรอสักหนึ่งเดือนได้หรือไม่เจ้าคะ”
“หนึ่งเดือนเลยหรือ”
“ไข่เยี่ยวม้าต้องใช้เวลาหมักอย่างน้อย 30 วันถึงจะกินได้เจ้าค่ะ”
“แบบนี้เอง”
“ต้องใช้เวลาหมักสินะ”
พวกเขาต่างพึมพำพร้อมทำสีหน้าเสียดาย
ที่สำคัญ กลัวซื้อไม่ทันคนอื่นด้วยน่ะสิ
“สั่งจองไว้ก่อนได้เจ้าค่ะ” ตงตงบอก
แม้ตั้งใจไว้ว่าจะทำไข่เยี่ยวม้าไว้เยอะๆ อยู่แล้ว แต่เปิดระบบสั่งจอง ถือเป็นการดูความต้องการของตลาด และจัดระเบียบการวางขาย ไม่ต้องเจอปัญหาลูกค้าแย่งกันซื้อเหมือนเมื่อวานด้วย
“อย่างนี้ก็เยี่ยมไปเลย”
“แม่ครัวน้อย นอกจากทำอาหารอร่อยแล้ว ยังคิดได้รอบคอบ ดีๆ เช่นนั้นข้าขอสั่งจอง”
ตงตงยิ้มสดใส เดินไปหยิบกระดาษที่โต๊ะคิดเงินมาจดชื่อ จดเลขคิว และจำนวนสินค้าที่ลูกค้าต้องการ
พอลูกค้าคนหนึ่งสั่งจองไข่เยี่ยวม้า ลูกค้าคนอื่นๆ ก็สั่งจองบ้าง
ตอนนี้ในกระดาษรายชื่อสั่งจองไข่เยี่ยวม้ามีรายชื่อยาวเหยียด เห็นแล้วน่าชื่นใจเป็นอย่างมาก
…..
…..
ตั้งแต่ขบวนขนเสบียงออกจากเมืองหลวง ลูกค้าที่เข้าร้านวันนี้ต่างก็พูดถึงหมู่บ้านหลวงที่เมืองหวงเป่ยกันไม่หยุด
บ้างบอกว่า หมู่บ้านหลวงที่เมืองหวงเป่ยเจอปัญหาความแห้งแล้งอยู่ทุกปี เหตุใดไม่ย้ายหมู่บ้านไปที่อื่น
บ้างก็พูดว่า ในเมื่อเพาะปลูกในฤดูหนาวไม่ได้ ทำไมไม่ทำอาชีพอื่นแทน
ยังมีบางคนที่พูดว่า ในเมื่อรู้ว่าฤดูหนาวปลูกอะไรไม่ได้ พวกเขาควรตุนเสบียงไว้ในยุ้งฉางเยอะๆ ในฤดูเก็บเกี่ยว
นั่นสินะ…
ตงตงเองก็สงสัยแบบเดียวกับพวกเขา
ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าหมู่บ้านที่ตนอยู่ประสบปัญหาความแห้งแล้งทุกปี ทำไมไม่ขุดคลองเก็บน้ำ หรือเพาะปลูกพืชที่เก็บเกี่ยวได้ตลอดปี แบบนั้นจะแก้ไขได้ตรงจุดกว่า
แต่ว่า นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาของตงตง เลิกคิดดีกว่า
ตอนนั้นเอง หยางอี้กับหลงเจียฮุ่ยก็มาที่ร้าน
เด็กสาวลุกจากเก้าอี้ออกไปต้อนรับ
“พี่ชายทั้งสอง วันนี้รับอะไรดีเจ้าคะ”
“ถึงอยากจะกินไข่เยี่ยวม้า แต่คงขายหมดตั้งแต่เมื่อวานสินะ เช่นนั้นขอซุปปลาใส่ยี่หร่าแล้วก็ข้าวสวย” หยางอี้บอก
“เสียงของพี่หยางอี้ดีขึ้นแล้วนี่น่า” ตงตงพูดด้วยสีหน้าเบิกบาน
“ฮะๆ คงเพราะซุปปลากับยาอมเม็ดที่น้องสาวให้มานั่นแหละ เสียงข้าเลยดีขึ้นแล้ว”
“ดีจังเลยเจ้าค่ะ”
เมื่อวานนี้ หลังจากคิดเงินค่าอาหาร ตงตงยังให้ยาเม็ดสมุนไพรที่ทำให้ชุ่มคอพร้อมกับฆ่าเชื้อหวัดกับหยางอี้ ไม่คิดว่าสรรพาคุณจะดีเกินคาด
“แล้วพี่ชายเจียฮุ่ยจะรับอะไรดีเจ้าคะ”
“ข้าขอเป็น….”
หลงเจียฮุ่ยยังพูดไม่ทันจบ หยางอี้ก็ใช้ศอกสะกิด แล้วพยักเพยิดคางไปทางประตู
จากนั้น สายตาของทั้งสองคนก็มองออกไปข้างนอก
ตงตงเองก็มองตาม แต่ไม่เห็นอะไร
ทว่า ชายหนุ่มทั้งสองซุบซิบกันว่า…
“เจ้าพวกนั้นมาที่นี่อีกแล้ว”
“มาด้อมๆ มองๆ ที่นี่ประจำ มีอะไรหรือเปล่า”
“มันก็ต้องมีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ท่าทางน่าสงสัยแบบนั้นน่ะ”
“ก็จริงแหะ”
ดูท่าว่าจะเกี่ยวกับโรงเตี๊ยมตระกูลจาง ตงตงจึงถามออกไป
“มีอะไรหรือเจ้าคะ”
หยางอี้กับหลงเจียฮุ่ยหันมาตอบ
“หลายวันนี้น่ะ….”
พวกเขาเปิดประเด็นด้วยประโยคนั้น
สรุปใจความได้ว่าช่วงนี้มีคนมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ โรงเตี๊ยมตระกูลจาง เหมือนกับลอบสังเกตพนักงานในร้าน
“น้องสาว ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็รีบบอกหน่วยราชองครักษ์ได้เลยทันที ทุกคนพร้อมใจจะช่วยเจ้าอยู่แล้ว” หยางอี้บอก ทั้งยังหันไปถามสหายโต๊ะอื่น “สหายทุกท่านจะช่วยกันปกป้องร้านนี้ใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว!”
รอบโต๊ะส่งเสียงตอบอย่างพร้อมเพรียง
“พวกเราไม่ยอมให้ร้านของน้องสาวเจอเรื่องไม่ดีหรอก เดี๋ยวอดกินของอร่อยๆ กันพอดี” หลงเจียฮุ่ยกล่าวเสริม
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
ตงตงรู้สึกซึ้งใจเป็นอย่างมากที่ได้พบมิตรสหายที่ดี
เหล่าราชองครักษ์หลวงไม่ได้โหดร้ายเหมือนอย่างข่าวลือเลยสักนิด ถ้าให้พูดจริงๆ พวกเขาแค่ชายร่างใหญ่ที่เอาจริงเอาจังกับงานมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ตงตงรู้ว่าคนที่มาด้อมๆ มองๆ เป็นพวกของกู้อวี้ชุนกับฉินเฟยอวี่นั่นเอง!
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม