บทที่ 51
สวัสดี เหล่าผู้เป็นมิจ…มิจฉาชีพ
ย้อนกลับมาที่ฉินเฟยอวี่
ทันทีที่ตงตงวิ่งหนีไปอย่างไม่เห็นฝุ่น บ่าวของเขาเร่งหาน้ำสะอาดมาล้างหน้าล้างตาให้เจ้านาย
ผ่านไปนานโข อาการปวดแสบปวดร้อนที่กระบอกตาถึงค่อยบรรเทาลง
แต่ถึงอย่างนั้น เบ้าตาของฉินเฟยอวี่ยังบวมเป่งเท่ากำปั้น และแดงก่ำอย่างกับลูกตำลึงสุก
พออาการดีขึ้น ฉินเฟยอวี่ลูบหน้าลูบตาก่อนจะเดินกลับขึ้นรถม้า ตะโกนออกคำสั่งด้วยความฉุนเฉียว
“กลับโรงเตี๊ยม!”
“ขะ ขอรับ”
ระหว่างนั่งรถม้ากลับโรงเตี๊ยม บ่าวผู้ติดตามทำสายตาล่อกแล่ก เหมือนไม่รู้จะมองทางไหนดี
ตาที่บวมเป่งของคุณชายรองฉินดึงดูดสายตาของเขาอย่างมาก แต่ถ้าเผลอมองไปละก็ เขาต้องอดใจไม่อยู่ แล้วหัวเราะออกมาแน่ๆ
อุบ…!
เอาดีๆ ตอนนี้เขาแทบกลั้นขำไม่ไหวอยู่แล้ว
แต่ว่า…
ห้ามขำ
ห้ามขำเด็ดขาดเชียว
เหตุนี้เอง สายตาของเขาจึงส่ายไปมาทั่วรถม้า
สักพักใหญ่ รถม้าของฉินเฟยอวี่ก็จอดหน้าโรงเตี๊ยม
หลงจู๊เหอที่ล่วงหน้ามาจองห้องพักก่อน พอเห็นรถม้าของคุณชายรองมาจอดเทียบหน้าโรงเตี๊ยม หลงจู๊เหอพลันปรี่มารับฉินเฟยอวี่ทันที
“คุณชายรอ…อ…เอ่อ”
ครั้นเห็นใบหน้าของคุณชายรองแทบไม่มีเค้าเดิม หลงจู๊เหอพลันนิ่งอึ้ง ใจหนึ่งก็อยากขำ แต่อีกใจรู้ว่าทำเช่นนั้นไม่ได้
“เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ” หลงจู๊เหอถามด้วยสีหน้าอดกลั้นสุดๆ
“กลับห้อง” ฉินเฟยอวี่ว่า
“อะ ทางนี้ขอรับ”
หลงจู๊เหอผายมือไปข้างหน้า ก่อนจะเดินนำฉินเฟยอวี่มายังห้องพักที่จองเอาไว้
ระหว่างทางฉินเฟยอวี่บ่นพึมพำอย่างเคียดแค้น “ข้าเจอนางเด็กตัวแสบแล้ว กะว่าจะทักทายเล่นๆ เสียหน่อย ไม่คิดว่านางเด็กนั่นจะใช้พริกสาดใส่หน้าข้า”
“พริกหรือขอรับ?” หลงจู๊เหอถาม เพราะไม่เห็นเศษพริกติดตามเสื้อผ้าของคุณชายรองสักนิด
บ่าวที่ติดตามอธิบาย “น่าจะเป็นพริกป่นผสมน้ำขอรับ”
“อ้อ”
“แสบจริงๆ” ฉินเฟยอวี่กำหมัดพูดอย่างสุดจะทน
“หมายถึงหน้าหรือว่าจางตงตงขอรับ” บ่าวผู้ติดตามเอ่ยถามหน้าตาซื่อๆ
ถ้าหมายถึงหน้า เขาจะได้รีบไปยกน้ำสะอาดมาให้ล้างทันที
ฉินเฟยอวี่เหล่มองบ่าวของตนด้วยสายตาขุ่นเคือง แล้วตะคอกเสียงดังลั่น
“ทั้งสองอย่าง!”
…..
…..
วันถัดมา โรงเตี๊ยมตระกูลจางยังคงเปิดตั้งแต่เช้าเหมือนเดิม
ลูกค้าทยอยเข้าร้านทีละคนสองคน เหล่าลูกค้าขาประจำสั่งเมนูเดิมๆ อย่างที่ตนชื่นชอบ ดูแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ
แต่ว่า…
“วันนี้ลูกค้าขาจรเยอะมาก มาจากไหนกันนะ” เสี่ยวซินเอ่ยขึ้น หลังจากเดินเข้ามาในครัว รอเสิร์ฟอาหารชุดต่อไป
“ข้าก็คิดเหมือนเจ้า เสี่ยวซิน ลูกค้าที่เข้าร้านมีแต่คนแปลกหน้าทั้งนั้นเลย” เสี่ยวกวางเอ่อออตาม
“พวกเจ้าคิดมากไปหรือเปล่า ตงตงทำอาหารอร่อยมาก คนเหล่านั้นคงได้ยินชื่อเสียงฝีมือแม่ครัวน้อยของเรา พวกเขาถึงตามมากินของอร่อยๆ ถึงที่นี่” จิ่งฝางพูดด้วยท่าทีปลื้มอกปลื้มใจ
“จะใช่แน่หรือ”
จางไคเฮ่อที่มาจากทางไหนไม่รู้ แย้งคำพูดของจิ่งฝาง
ทั้งสามคนได้ยินเช่นนั้น ต่างหันมองจางไคเฮ่อเป็นตาเดียว
“เถ้าแก่ใหญ่หมายถึงอะไรหรือ?” เสี่ยวซินถาม
“เมื่อวานนี้พวกเจ้าได้ยินจากหยูฮูหยินแล้วนี่ คุณชายรองฉินตอนนี้อยู่ท่ีเมืองหลวง ไม่รู้หรอกว่ามาทำอะไร แต่ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
ทั้งสามคนตอบพร้อมกัน
ทั้งที่เมื่อวานตงตงกับหยูฮูหยินวิ่งกระหืดกระหอบกลับมา ทั้งยังบอกว่าเจอฉินเฟยอวี่ระหว่างทาง ฝ่ายนั้นมีท่าทางคุกคาม ตงตงจึงใช้สเปร์ยพริกไทยพ่นใส่หน้า
อย่างไรก็ตาม
ถึงทั้งสองจะเล่าด้วยสีหน้าตื่นเต้น แต่ก็ยังมีเวลาเลือกซื้อของเต็มสองมือกลับมา
สรุปแล้ว ใครเป็นฝ่ายคุกคามใครกันแน่
จางไคเฮ่อคิดพลางส่ายหัว ก่อนจะบอกให้เสี่ยวซิน เสี่ยวกวางและจิ่งฝางแยกย้ายไปทำงาน
“เกี๊ยวแห้งพริกเสฉวนได้แล้ว”
เสียงตะโกนของตงตงดังออกมาจากในครัว
เสี่ยวซินรับคำว่า เจ้าค่ะ แล้ววิ่งปรู๊ดไปยกอาหารออกมาเสิร์ฟ
“ปลานึ่งราดซอสก็ได้แล้ว”
เมื่อเสียงของหยูฮูหยินดังขึ้น เสี่ยวกวางก็เข้ามายกอาหารออกไปเสิร์ฟเหมือนกับเสี่ยวซิน
ทั้งในครัวทั้งหน้าร้านต่างทำงานกันอย่างขันแข็ง
เมื่องานในครัวไม่ได้ยุ่งมาก ตงตงจึงปล่อยให้หยูฮูหยินอยู่หน้าเตา ก่อนที่นางจะออกมาหน้าร้าน เผื่อโต๊ะไหนต้องการคิดเงิน
ตอนนั้นเอง ลูกค้าโต๊ะหนึ่งยืนขึ้นแล้วตะโกนว่า “ใครคือแม่ครัวร้านนี้!”
ตงตงเดินเข้าไปหาลูกค้าท่านนั้นด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเอง ลูกค้าต้องการอะไรเพิ่มหรือเจ้าคะ”
“น้ำมันพริกเสฉวนนี้เจ้าเป็นคนปรุงเองหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นขอถามหน่อย เจ้าใช้พริกกี่ชนิด แล้วกลิ่นหอมของพริกไหม้ เจ้าตั้งใจทำหรือไม่”
“ข้าใช้พริกสามชนิด ขอไม่บอกส่วนประกอบเนื่องจากเป็นความลับทางการค้า ส่วนกลิ่นไหม้ของพริกข้าตั้งใจทำ เพราะจะทำให้น้ำมันพริกหอมน่ากินมากขึ้น”
“เช่นนั้นก็บังเอิญ”
“บังเอิญ?”
“สูตรน้ำมันพริกของทางร้านข้าก็ใช้พริกสามชนิด และเน้นกลิ่นหอมด้วยการคั่วพริกให้ไหม้”
“แล้วอย่างไรหรือเจ้าคะ” ตงตงถามกลับด้วยการตีหน้าซื่อ
“หมายความว่าเจ้าขโมยสูตรอาหารจากร้านของข้ายังไงเล่า!!”
ชายคนนั้นจงใจพูดเสียงดัง
เหล่าลูกค้าในร้านทั้งขาประจำและขาจรได้ยินแบบนั้น ต่างมองมายังตำแหน่งที่ตงตงยืนอยู่
เมื่อลูกค้าโต๊ะแรกเปิดประเด็นขึ้นมา ลูกค้าแปลกหน้าโต๊ะถัดไปก็โพล่งขึ้นตามๆ กัน
“ซี่โครงหมูย่างหอมพะโล้จานนี้ เหมือนกับร้านข้าเช่นกัน นางกล้าดียังไงขโมยสูตรอาหารจากร้านข้า”
“แย่มาก แย่จริงๆ ปลานึ่งราดซอสจานนี้ด้วย วิธีใช้มีดแล่บนเนื้อปลาอย่างพิถีพิถันแบบนี้ มีเพียงร้านข้าเท่านนั้นที่ทำ ช่างเหมือนกับร้านข้ายิ่งนัก”
ตงตงเลิกคิ้ว ฟังโต๊ะนั้นโต๊ะนี้ส่งเสียงตะโกน
เต้าหู้น้ำแดงเอย หมูกรอบน้ำผึ้งเอย ทุกคนล้วนบอกว่าตงตงขโมยสูตรมาจากร้านพวกเขา
“ไข่เยี่ยวม้านี้ด้วย นางทำเหมือนร้านข้าเปะๆ”
เอ๋?
แม้แต่ไข่เยี่ยวม้า คนพวกนี้ก็กล้าแอบอ้างด้วยหรือ
ตงตงฟังอย่างสนอกสนใจ
เหล่าพวกเป็นมิจ(มิจฉาชีพ)ช่างมโนเก่งเหลือเกิน
ไม่นานนัก ภายในร้านก็เต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวายของเหล่าเจ้าทุกข์จอมปลอม
หยางอี้กับหลงเจียฮุ่ยที่กำลังโซ้ยบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อย หมดความอดทนแล้ว พวกเขาลุกขึ้นปกป้องแม่ครัวน้อย
“พวกท่านเอาแต่กล่าวหาปากเปล่า ไหนล่ะหลักฐาน” หยางอี้บอก
“หลักฐานก็คืออาหารพวกนี้” ชายคนหนึ่งว่า พร้อมยกจานอาหารขึ้นมาโชว์
“หา!?”
สองหนุ่มแห่งราชองครักษ์หลวงร้องออกมาพร้อมกัน
“ไร้เหตุผลสิ้นดี”
“พวกเจ้าจะรู้อะไร นางกับพ่อของนางย้ายมาจากเมืองอู่เฉิง หลังจากสูตรอาหารของร้านข้าไปขายต่อ เรื่องนี้แพร่สะพัดทั่วเมือง ไม่เชื่อก็ไปสืบเอาเอง ลองคิดดูสิ ถ้านางบริสุทธิ์ใจจริงๆ จะหนีมาที่เมืองหลวงทำไม”
“เป็นแค่เด็กสาว จะเอาความรู้และฝีมือทำอาหารมาจากไหน เรื่องแค่นี้ก็สังเกตกันไม่ได้เชียวหรือ”
“เหตุผลอะไรกันเนี่ย” หยางอี้พึมพำ
“เป็นเด็กแล้วอย่างไร เป็นเด็กแล้วไม่ควรเก่งกาจเกินหน้าเกินตาพวกผู้ใหญ่หรือ” หลงเจียฮุ่ยพูดด้วยความโกรธ
“แม่ครัวน้อยของเราอายุน้อยก็จริง นี่ก็เอามาเป็นข้อกล่าวหาว่านางขโมยสูตรได้ด้วยหรือ”
“ก่อนกล่าวหาควรแสดงหลักฐานเป็นรูปธรรม เอาหลักฐานออกมา”
“เอาหลักฐานออกมา!”
“เอาหลักฐานออกมา!”
เหล่าทหารราชองครักษ์คนอื่นๆ ทนฟังคำกล่าวหาของพวกเจ้าทุกข์จอมปลอมไม่ได้ พวกเขาลุกขึ้น ช่วยกันปกป้องตงตงอีกเสียง
ตงตงรู้สึกซึ้งใจอย่างยิ่ง
แต่อย่างไรก็ตาม เถียงกันไปมาเช่นนี้อย่างไรเรื่องก็ไม่จบ
เด็กสาวตะโกนห้ามทั้งสองฝ่าย “ทุกท่านเจ้าคะ ขอบคุณพี่ชายทุกท่านที่ช่วยปกป้อง เอาเป็นว่าข้าจะรอหลักฐาน หากข้าผิดจริง ก็พาไปไต่สวนได้เจ้าค่ะ ว่าแต่ว่า พวกท่านที่มาโวยวายทั้งหลาย ร้านค้าของพวกท่านอยู่ที่ไหน ตอนลงแจ้งความก็เขียนเอาไว้ชัดๆ ด้วย เผื่อข้าว่างจะได้ลองไปชิมอาหาร ดูว่าเหมือนของร้านข้าจริงหรือไม่”
เหล่าเจ้าทุกข์จอมปลอมได้ยินแบบนั้นต่างก็เดือดดาล ชี้หน้าโวยวายใส่ตงตงยกใหญ่
“หนอย...เจ้าเด็กนี่!”
“ถ้าต้องการหลักฐานนัก เดี๋ยวพวกเราจัดให้”
“หึ จัดให้ตามคำขอ”
โวยวายเสร็จพวกเขาก็สะบัดหน้าเดินเชิดออกร้าน
ตงตงไหนเลยจะสนใจ
หากทว่า...
เจ้าทุกข์จอมปลอมทั้งหลายยังไม่ทันเดินพ้นประตูร้าน เสียงเย็นชาของจางไคเฮ่อดังขึ้น
“ช้าก่อน”
พวกเจ้าทุกข์จอมปลอมหันมามองชายร่างใหญ่ที่ยืนแผ่รังสีอำมหิต
เมื่อเห็นแบบนั้น พวกเขาต่างตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว
“ทะ ทำไม คิดจะฆ่าคนปิดปากหรือ”
จางไคเฮ่อส่ายหน้าแล้วว่า “พวกเจ้ายังไม่ได้จ่ายเงิน”
อึก!
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม