บทที่ 54
เว่ยจ้งมาเยี่ยม
ณ โรงเตี๊ยมชื่อดังกลางเมืองหลวง
ภายในห้องพัก เฟยอวี่ยิ้มชั่วร้ายหลังจากหลงจู๊เหอนำความมาบอก
“ทุกอย่างเป็นตามแผนขอรับ ตอนนี้นางเด็กแสบตงตงถูกศาลต้าหลี่จับตัวไปแล้ว”
“หึ!” ฉินเฟยอวี่แค่นเสียงขึ้นจมูกด้วยความสะใจ สักครู่หนึ่ง ราวกับนึกขึ้นมาได้ เขาจึงบอกหลงจู๊เหอว่า “ไม่สิ แบบนี้ยังน้อยเกินไป…หลงจู๊เหอ เจ้าจะติดสินบนเจ้าหน้าที่หรือจะทำยังไงก็ได้ พาคนไปสั่งสอนนางเด็กตัวแสบนั่น ให้สาสมกับที่นางทำกับข้า”
“แบบนั้นเกรงว่า…” หลงจู๊เหอส่งเสียงลังเล
“ทำไม? เจ้าไม่กล้าหรือ”
“ไม่ใช่ขอรับ เพียงแต่…ถ้าทำแบบนั้น ฝ่ายที่เสียเปรียบคดีจะกลายเป็นทางนี้ขอรับ อีกอย่าง หลินซืออิงกลับมาแล้ว เกรงว่าจะเข้าไปในคุกง่ายๆ ไม่ได้ง่ายๆ ขอรับ”
หลินซืออิงเป็นหัวหน้าของศาลต้าหลี่ ส่วนใหญ่ทำงานภาคสนาม ตลอดมาผู้ทำงานเบื้องหน้าจึงเป็นรองหัวหน้า
หลินซืออิงค่อนข้างเข้มงวด ในเมื่อหลินซืออิงอยู่ที่เมืองหลวง คนนอกก็ไม่สิทธิ์ก้าวก่ายศาลต้าหลี่ เรื่องติดสินบนยิ่งไม่ต้องไปคิด
เวลาแบบนี้กู้อวี้ชุนกลับไม่ได้มาด้วย ฉินเฟยอวี่ก็ทำอะไรไม่ได้
“ช่างเถอะ”
ทั้งที่อยากเห็นจางตงตงถูกโบ้ยสักหลายไม้ ให้สาสมกับที่เอาพริกมาสาดใส่หน้าอันหล่อเหลาของเขา
แต่ในเมื่ออำนาจเงินของเขาไปไม่ถึงศาลต้าหลี่ เช่นนั้นก็ช่างมันเถอะ
พูดถึงกู้อวี้ชุน เห็นทารุณเหยียนหลิ่วมาหลายปี ก็หลงนึกว่าจะมีจิตใจอำมหิตมากกว่านี้
อีกอย่าง ทั้งที่เกลียดชังเหยียนหลิ่วถึงขั้นอยากให้ตายแท้ๆ แทนที่จะออกตามหาแล้วฆ่าให้ตาย แต่พอมารดาบอกว่า ‘ห้ามไป’ ก็เชื่อฟังและไม่บ่นสักคำ
ที่แท้ก็เป็นลูกแหง่ เฮ้อ…
ฉินเฟยอวี่คิดพลางถอนหายใจเบาๆ
…..
…..
ย้อนกลับมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลจาง
พอเก็บร้านเสร็จ ทุกคนมาจับกลุ่มนั่งรวมตัวกันที่หลังร้าน สีหน้าของแต่ละคนล้วนตึงเครียด
เวลานั้นเอง จู่ๆ เสี่ยวกวางพลันร้อง “อ๊ะ!” ขึ้นมา
“ข้านึกออกแล้ว” เสี่ยวกวางบอก
“เจ้าคิดแผนจะช่วยตงตงได้แล้วหรือ?” จิ่งฝางเร่งถาม
เสี่ยวกวางส่ายหน้าแล้วว่า “ไม่ใช่เรื่องนั้น”
จิ่งฝางทำไหล่ห่อเหี่ยวด้วยความผิดหวังเมื่อได้ยินคำตอบ
“ถ้าไม่ใช่เรื่องนั้น แล้วเจ้านึกอะไรออกหรือ” เสี่ยวซินเอ่ยถาม
“เมื่อคืนข้าลุกมาเข้าห้องน้ำ แล้วก็ได้ยินเสียงก๊อกๆ แก๊กๆ ในครัว” เสี่ยวกวางพูดไปพร้อมทำหน้าหวนนึกถึงเรื่องเมื่อคืน
“แล้วทำไมไม่รีบพูดก่อนตงตงจะถูกจบไปเล่า” จิ่งฝางเอ็ดใส่เสี่ยวกวาง
“ก็ข้าคิดว่าเป็นเสียงหนูน่ะสิ”
หยูฮูหยินฟังแล้วก็ทอดถอนใจดังเฮ้อ ก่อนจะบอกเสี่ยวกวางว่า “ถึงเป็นเสียงหนูก็ต้องบอก ร้านของเราต้องสะอาดอยู่เสมอ เข้าใจหรือไม่”
“ขอรับ” เสี่ยวกวางตอบ
“เจ้านะเจ้า” จิ่งฝางยังคงส่งเสียงบ่น
“ว่าแต่ เถ้าแก่ใหญ่ ท่านให้อาฉีไปหน่วยราชองครักษ์หลวง แสดงว่ามีแผนช่วยเถ้าแก่เนี้ยน้อยแล้วหรือเจ้าคะ” เสี่ยวซินถาม
“ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เต็มไปด้วยพิรุธ แต่พวกเราไม่มีอำนาจพอจะพลิกสถานกาณ์ นอกเสียจากจะให้ท่านผู้นั้นเป็นคนลงมือ” จางไคเฮ่อพูดเสียงเรียบ
“ท่านผู้นั้น?” เสี่ยวซินทวนคำพร้อมเอียงศีรษะเล็กๆ ของนาง
หยูฮูหยินจึงเฉลยว่า “ท่านเว่ยจ้งน่ะ”
พอได้ยินชื่อเว่ยจ้ง สีหน้าของทุกคนก็ค่อยคลายความกังวล
เรื่องนี้มีเพียงท่านผู้นั้นที่ช่วยได้จริงๆ นั่นละนะ
…..
…..
ภายในคุกของศาลต้าหลี่ทั้งมืดและเงียบ
ตงตงนั่งอยู่ในห้องขังอย่างเรียบร้อย สองมือวางแหมะบนหัวเข่า ดวงตาหลุบมองปลายเท้าอย่างเหม่อลอย
ผู้คุมคุกทั้งสาม พอเห็นท่าทางของเด็กสาวก็อดรู้สึกสะท้อนใจด้วยความสงสารไม่ได้
แต่จริงแล้ว…
แม้ตงตงกำลังเหม่อ หากแต่ในหัวกลับคิดเรื่องต่างๆ มากมาย
มันฝรั่งที่ได้มาฟรีๆ จากร้านเถ้าแก่ลี้ ถ้าไม่รีบเอามาทำอาหารละก็ มันคงแทงหน่อกินไม่ได้แน่ๆ
หลังจากเกิดเรื่อง ท่านพ่อคงสั่งปิดร้านทันที
วัตถุดิบที่เหลือวันนี้ต้องเน่าเสียแหงๆ
น่าเสียดายจัง
“ไม่ไหว ข้ารู้สึกเจ็บปวดในอก สงสารนางจริงๆ”
ผู้คุมคุกคนหนึ่งกล่าว
แม้ว่าตงตงไม่ใช่เด็กอายุน้อยคนแรกที่ถูกจับขังคุก แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังรู้สึกหดหู่ใจอยู่ดี
พอสหายคนหนึ่งพูดขึ้น อีกสองคนที่เหลือพลันมองเด็กสาว ก่อนจะหันมาจับกลุ่มวิจารณ์
“ข้าเคยไปกินบะหมี่ร้านของนางด้วย มันอร่อยมากเชียวละ”
“เด็กสาวตัวแค่นั้นจะตะเวนไปตามโรงเตี๊ยมแล้วขโมยสูตรเนี่ยนะ ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด”
“อาหารร้านของนางรสชาติไม่เหมือนใคร มองอย่างไรข้าก็คิดว่านางถูกใส่ร้ายเห็นๆ”
“ถึงเจ้าไม่พูด พวกเราก็คิดเองได้ไหมละ? ข้าไม่ใช่คนฉลาดยังมองออกเลยว่านางถูกใส่ร้าย”
“พูดก็พูดเถอะ นางไปสร้างความแค้นอะไรให้ใคร ถึงได้มาลงเอยเช่นนี้”
“จะเป็นร้านคู่แข่งหรือไม่”
“อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้”
“โหดร้าย”
เวลานี้ภายในคุกเกิดความรู้สึกซับซ้อน ทั้งสงสารเด็กสาว ทั้งคิดว่าเรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
แค่นางมีฝีมือทำอาหารมากกว่าผู้อื่น ก็ทำร้ายกันเช่นนี้เชียวหรือ ความยุติธรรมอยู่ที่ไหนกันนะ
เหล่าเจ้าหน้าที่คุมคุกคิด ก่อนจะถอนหายใจออกมาพร้อมเพรียง
ตอนนั้นเอง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วแจ้งว่า “มีคนขอเยี่ยมจางตงตง”
ตงตงหันหน้ามองที่ประตูห้องขัง ก่อนจะเห็นเจ้าหน้าที่คุมคุกนำเว่ยจ้งมาทางนี้
เหล่าผู้คุมคุกอ้าปากเหวอ สีหน้าตกใจ
สะสะ เสนาธิการเว่ย!?
เหตุใดเสนาธิการเว่ยถึงมาอยู่ที่นี่
ไม่สิ ทำไมท่านผู้นี้ถึงมาเยี่ยมแม่ครัวน้อยกันล่ะ
แม้ทุกคนจะสงสัย หากก็ไม่มีใครปริปากออกมาสักคน
ท้ายที่สุด พวกเขาได้แต่ค่อยๆ หลบลี้ออกจากตรงนี้ ปล่อยทั้งสองคุยกันเป็นการส่วนตัว
“ท่านเว่ย?”
เด็กสาวลุกขึ้นยืน เรียกเว่ยจ้งด้วยสีหน้าแปลกใจ
เว่ยจ้งทำไม้ทำมือ แล้วบอกให้ตงตงนั่งลง
เจ้าหน้าที่คุมคุกไขกุญแจห้องขัง
พอเว่ยจ้งเดินเข้ามานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ตงตงเพิ่งสังเกตว่าห้องขังที่นางอยู่นี้ไม่ใช่ห้องขังรวม ทั้งยังสะอาดสะอ้าน
ก่อนถูกจับขัง นางคงได้รับสิทธิพิเศษตั้งแต่แรกเลยสินะ
“จางไคเฮ่อส่งคนมาบอกข้าทั้งหมดแล้ว” เว่ยจ้งเอ่ย
ตงตงยิ้มอ่อน จากนั้นประสานมือก้มศีรษะ พร้อมกล่าวขอบคุณและขอโทษที่ท่านพ่อของนางไปรบกวน
เว่ยจ้งบอกว่าไม่เป็นไร ทั้งยังพูดกับเด็กสาวด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“อยู่ที่นี่อาจทำให้เจ้าหวาดกลัวและไม่สะดวกหลายๆ เรื่อง แต่ช่วยอดทนไปก่อน”
อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นนักโทษทั้งที่ไม่ได้ทำผิด ทั้งยังถูกจับขังในคุก แม่ครัวน้อยต้องหวาดกลัวและคิดถึงบ้านมากแน่ๆ
แต่ว่า…
“มากกว่าเรื่องนั้น…ข้าเสียดายถู่โต้วที่เพิ่งได้รับมาเจ้าค่ะ”
“หือ?”
ตงตงอธิบาย “พอดีข้าเพิ่งได้ถู่โต้ว (มันฝรั่ง) มาจากเถ้าแก่ลี้ หากไม่รีบใช้ กลัวว่าจะต้องทิ้งทั้งหมด น่าเสียดายออกเจ้าค่ะ”
คำพูดที่ออกจากปากของเด็กสาว ทำเอาเว่ยจ้งหลุดสีหน้าประหลาดใจสุดๆ
หลังจากเงียบสักพัก เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ช่างเป็นเด็กที่แปลกจริงๆ ฮะฮะฮะ…แต่ก็สมกับเป็นแม่ครัวอัจฉริยะ”
“เอ๋?”
เขายกย่องให้นางเป็นแม่ครัวอัจฉริยะเลยหรือ
เด็กสาวทุกคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ล้วนร้องไห้ฟูมฟายว่าอยากกลับบ้าน แต่ตงตงกลับคิดเรื่องอาหาร
มิน่าเล่า นางถึงปรุงอาหารออกมาได้อร่อยและหลากหลาย
“ข้าก็หลงนึกว่าเหตุการณ์วันนี้จะทำให้เจ้าตกใจจนลืมวิธีปรุงอาหาร แต่เห็นแบบนี้ ข้าก็สบายใจ” ชายวัยสี่สิบที่บนใบหน้าเริ่มมีริ้วรอยของผู้สูงวัยเอ่ยด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
ตงตงไม่เข้าใจคำพูดนั้น จึงเอียงศีรษะ หน้าตางุนงง
เว่ยจ้งบอกว่า “ตอนไต่สวนคดี ใต้เท้าที่รับผิดชอบคดีนี้จะหาโอกาสให้เจ้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์”
“อย่างไรเจ้าคะ”
“สู้ด้วยฝีมือ”
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม