บทที่ 62
รถขนเสบียงที่ถูกปล้น
วันนี้ลูกค้าก็แน่นร้านเหมือนอย่างทุกที
ฝั่งร้านค้าขายส่งก็มีออเดอร์เข้ามาเรื่อยๆ
เรียกได้ว่าเป็นช่วงเฟื่องฟูของโรงเตี๊ยมตระกูลจางก็ว่าได้!
ช่วงเย็นของวันหนึ่ง หลังจากลูกค้าคนสุดท้ายออกร้านแล้ว ทุกคนกำลังช่วยกันเก็บร้านและเช็ดโต๊ะ
ตงตงดีดลูกคิดทำบัญชีรายวันที่โต๊ะคิดเงิน
ประตูหน้าร้านยังไม่ทันจะปิด บนหน้าถนนก็เกิดเสียงเอะอะผสานกับเสียงฝีเท้าม้าควบผ่านหน้าร้านด้วยความเร็วรี่
“หลบไป หลบไป!”
“หลีกทางหน่อย!!”
ด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกคนวิ่งออกมายืนดูเหตุการณ์ที่หน้าร้าน
จังหวะนั้นเอง ทหารของสำนักราชองครักษ์หลวงที่กำลังเดินออกตรวจตราในช่วงเย็น จับกลุ่มซุบซิบกันข้างถนน
“รถขนเสบียงของพี่เหิงนี่น่า?”
พี่เหิงในที่นี้ก็คือเหิงเจา ชายร่างใหญ่หน้าโฉดที่เป็นลูกค้าขาประจำของโรงเตี๊ยมตระกูลจาง
ราวๆ สองเดือนก่อน เหิงเจาคนนี้ขอเหมาไข่เยี่ยวม้าและกุนเชียงก่อนออกเดินทางไปส่งเสบียงให้กับหมู่บ้านหลวงทางเหนือ
ตงตงจำได้แม่น
“ไม่ผิดแน่ นั่นคือรถขนเสบียงของพี่เหิง” ชายคนหนึ่งยืนยัน
“เขากลับมาแล้วหรือ คราวนี้กลับมาช้านะ”
“พวกเจ้าไม่คิดว่าแปลกๆ หรือ รถขนเสบียงกลับมาแค่คันเดียว ซ้ำยังเร่งรีบขนาดนั้น เกรงว่าจะมีคนเจ็บอยู่ในรถม้า แล้วก็…”
ชายคนนั้นพูดไม่จบประโยคก็เม้มปากแน่นสนิท
สักครู่หนึ่ง ชายอีกคนก็กล่าวว่า “ชาวบ้านปล้นรถขนเสบียงแบบนี้ทุกปี แต่จากสภาพรถม้าที่ยับเยิน ครั้งนี้น่าจะสาหัสมากทีเดียว”
“ความอดอยากจากภัยแล้งช่างน่ากลัว ทำให้ชาวบ้านผลันตัวมาเป็นโจร”
“นั่นสินะ”
พูดมาถึงตรงนี้ เหล่าทหารที่ยืนซุบซิบกันข้างถนน ต่างก็ทอดถอนใจออกมา
คงเห็นว่าตงตงมองตามหลังรถม้าคันนั้นด้วยสายตาเป็นห่วง จางไคเฮ่อที่ยืนข้างๆ วางมือบนศีรษะเล็กๆ ของบุตรสาว ก่อนจะพูดขึ้น
“เป็นเรื่องปกติกับรถขนเสบียงของราชสำนัก สมัยที่ข้าเป็นทหาร ก็เจอเหตุการณ์ปล้นเสบียงอยู่บ่อยครั้ง เหิงเจาคนนั้นวรยุทธ์ไม่เลว น่าจะไม่เป็นอะไร”
ตงตงดึงสายตากลับมามองบิดา “ข้าก็แค่กลัวว่าจะไม่มีใครมาเหมาไข่เยี่ยวม้าเจ้าค่ะ”
จางไคเฮ่อส่ายหน้าพลางยิ้มน้อยๆ
บุตรสาวของเขามักเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นเสมอ แม้ว่าคนคนนั้นจะเพิ่งเจอแค่ครั้งสองครั้ง
…..
…..
ลานกว้าง หน้าสำนักราชองครักษ์หลวง
ทันทีที่รถม้าจอดสนิท เหิงเจากระโดดลงจากห้องโดยสารของรถม้า เลิกม่านหลังรถขึ้นแล้วตะโกนว่า “มีคนเจ็บ!”
เหล่าราชองครักษ์หลวงที่อยู่บริเวณนั้นช่วยกันหามคนเจ็บลงจากรถม้า เข้าไปรักษาในอาคารหลัง
ตอนที่กำลังนำคนเจ็บคนสุดท้ายออกมา
ชายคนหนึ่งท้วงว่า “พี่เหิง นี่มันคนนอก?”
“ข้ารู้ กฎของสำนักราชองครักษ์หลวงคือห้ามพาคนนอกเข้ามา แต่เด็กคนนี้เป็นข้อเว้น เขาช่วยข้าและคนอื่นๆ เจ้ารีบพาเขาเข้าไปรักษาเถอะ ข้าจะรายงานกับท่านเว่ยเอง” เหิงเจารัวเสียงพูด
“ได้ขอรับ”
เมื่อพาคนเจ็บทั้งหมดมายังหน่วยแพทย์ ซึ่งเป็นอาคารขนาดกลางที่อยู่ด้านหลังของอาคารใหญ่
อาคารนี้เน้นการใช้งานเป็นหลักจึงไม่มีของตกแต่งมากนัก ข้าวของทุกชิ้นล้วนเรียบง่าย
มิหนำซ้ำ ประตูและหน้าต่างก็เปิดกว้างเพื่อให้อากาศถ่ายเทอยู่ตลอด
ทหารหน่วยราชองครักษ์หลวงที่ร่วมเดินทางไปกับเหิงเจา หากนับรวมคนขับรถม้าแล้วมีทั้งสิ้น 10 คน
แต่ที่กลับมามีเพียง 5 คน รวมเด็กหนุ่มแปลกหน้าอีก 1 คน
คนหายไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
การปล้นครั้งนี้คงดุเดือดมากแน่ๆ
“รถม้าขนเสบียงถูกปล้นเป็นประจำทุกปี แต่ไม่เคยเกิดเหตุรุนแรงที่ทำให้มีคนตายหรือเจ็บสาหัสแบบนี้มาก่อน เหิงเจา เจ้าต้องเขียนรายงานส่งท่านเว่ยแล้วละ”
ระหว่างกำลังรักษาคนเจ็บ แพทย์ประจำหน่วยกล่าวขึ้นมา
“เข้าใจแล้ว” เหิงเจาตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“มา เจ้าเองก็ต้องรักษา”
“อืม”
เมื่อรักษาคนเจ็บเสร็จเรียบร้อย แพทย์ทุกคนกำลังเก็บเครื่องไม้เครื่องมือ ตอนนั้นเองเสนาธิการเว่ยจ้งก็เดินเข้ามา
ทหารราชองครักษ์ที่อยู่ในห้อง รวมถึงผู้บาดเจ็บ ต่างประสานมือก้มศีรษะให้เว่ยจ้งเป็นการเคารพ
ยกเว้นแต่เพียงเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่นอนราบอยู่บนเตียงเพราะยังไม่ได้สติ
เว่ยจ้งสั่งให้คนเจ็บนอนลงบนเตียงเหมือนเดิม แล้วเดินเข้ามายืนที่เตียงของเด็กหนุ่ม ใช้นิ้วอังใต้จมูกเพราะดูเหมือนหน้าอกของเด็กหนุ่มไม่ได้ขยับขึ้นลง เลยเข้าใจว่าไม่หายใจแล้ว
แต่ความจริง เด็กหนุ่มยังหายใจอยู่
“รายงานมา” เว่ยจ้งบอก
“ข้าน้อยทำงานบกพร่อง ทำให้สหายล้มตายและบาดเจ็บจำนวนมาก ขอท่านเสนาธิการเว่ยโปรดลงโทษ”
เหิงเจารีบคุกเข่าลงตรงหน้าเว่ยจ้งด้วยสำนึกผิด
คณะการเดินทางครั้งนี้เหิงเจาเป็นหัวหน้า
เมื่อผู้ร่วมเดินทางบาดเจ็บล้มตาย ผู้เป็นหัวหน้าต้องรับผิดชอบ
“ลุกขึ้นมา สำคัญกว่าการลงโทษเจ้า คือต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้” เว่ยจ้งบอก
“ขอรับ”
เหิงเจาลุกขึ้น ก่อนจะรายงานว่าระหว่างทางขนส่งเสบียงไปยังหมู่บ้านหลวง รถม้าขนเสบียงถูกปล้น 2 ครั้งทั้งขาไปและขากลับ
ถูกปล้นรอบแรกไม่รุนแรงนัก เพราะโจรเหล่านั้นเป็นเพียงชาวบ้าน ใช้เครื่องมือทำเกษตรเป็นอาวุธ เหิงเจาและทุกคนจึงคุ้มกันเสบียงนำไปส่งหมู่บ้านหลวงได้อย่างลุล่วง
ถูกปล้นรอบสองคือตอนขากลับ คราวนี้เป็นโจรมากฝีมือ อาวุธที่ใช้มีทั้งดาบและหน้าไม้
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ เว่ยจ้งขมวดคิ้วด้วยรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล
ว่าตามตรง ขากลับจากส่งเสบียง ภายในรถม้าจะว่างเปล่า แม้แต่ชาวบ้านยังรู้กันดี ดังนั้นรถม้าขนเสบียงจะไม่ถูกปล้นรอบสอง
ถ้าอย่างนั้นแล้ว…
เว่ยจ้งหรี่ตามองมาที่เด็กหนุ่มหน้าตาคมคายที่ยังนอนหมดสติ
“เจ้าไปเจอเขาที่ไหน”
“ในป่าทางแยกระหว่างหมู่บ้านหลวงกับทางไปเมืองซินหยานขอรับ เขาเข้ามาช่วยรถม้าของข้าน้อย”
พื้นที่ทางเหนือส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบสูงและเต็มไปด้วยป่าทึบ จะมีเพียงถนนสายเล็กอันเป็นเส้นทางสำหรับให้รถม้าวิ่งผ่านเท่านั้น
“อธิบายเหตุการณ์อย่างละเอียดอีกรอบ”
เว่ยจ้งสั่งเช่นนั้น เหิงเจาก็อธิบายเรื่องราวทั้งหมดใหม่ กระทั่งมาถึงช่วงที่พบเจอเด็กหนุ่ม
ตอนขากลับ เมื่อรถม้าขนเสบียงวิ่งมาถึงทางแยก จู่ๆ ก็มีลูกศรพุ่งเข้าใส่ จากนั้นโจรปิดหน้าจำนวน 5 คนก็เข้ามาโจมตีและทำลายรถม้า
โจรกลุ่มนี้อาวุครบมือและโจมตีดุดัน แน่นอนว่าไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป แต่คล้ายกับทหารที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดี
ระหว่างที่ต่างฝ่ายต่างโรมรันกันอยู่นั้น เด็กหนุ่มคนนี้ก็กระโดดเข้ามา ช่วยเหิงเจาที่กำลังจะโดนดาบยาวเสียบทะลุท้อง
ทุกอย่างวุ่นวายมากจนจับทางไม่ถูก
รู้ตัวอีกที ตรงหน้าก็มีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ไม่เพียงทหารราชองครักษ์หลวง โจรพวกนั้นก็ตายไปสองคน
“นี่ไม่ใช่การปล้นขนเสบียง” เว่ยจ้งพึมพำหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดจบ
“ขอรับ?”
เหิงเจาทำหน้าไม่เข้าใจ
“แรกเริ่มโจรพวกนั้นพุ่งเป้ามาที่รถขนเสบียงใช่หรือไม่”
“ใช่ขอรับ”
“ข้าเดาว่าโจรพวกนั้นคงเข้าใจผิด คิดว่าพวกเจ้าให้เด็กคนนี้ซ่อนตัวในรถม้า”
“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นไปได้?”
“ตามหลักแล้ว แม้แต่โจรภูเขาก็ไม่ปล้นรถขนเสบียงที่ว่างเปล่า แล้วทำไมโจรกลุ่มนี้ถึงทุ่มสุดตัวจนทำให้พวกเดียวกันล้มตายเพียงแค่ปล้นรถม้าที่ว่างเปล่า ข้อสังเกตอีกอย่าง ตอนต่อสู้กัน พวกเจ้าสังเกตหรือไม่ โจรพวกนั้นพุ่งเป้ามาที่เด็กหนุ่มหรือพวกเจ้ากันแน่”
สิ้นคำอธิบายของเว่ยจ้ง ทันใดนั้น เหิงเจาพลันแสดงสีหน้าเอะใจ
“จริงด้วยขอรับ…พอเด็กคนนี้โผล่มา โจรพวกนั้นก็หันไปโจมตีเขาทันที หรือเด็กคนนี้จะขโมยของสำคัญมาจากพวกมัน...เด็กๆ ค้นตัว”
เมื่อได้รับข้อสรุป เหิงเจาสั่งลูกน้องให้ค้นบนตัวเด็กหนุ่ม
เพียงครู่ ลูกน้องก็ชูกระดาษที่ยับยู่ยี่กับถุงเงินที่เปื้อนเลือด
“เจอจดหมายกับถุงเงินขอรับ”
“เอามาดูเร็ว”
ในถุงเงินมีเงินจำนวนมาก เทียบกับเสื้อผ้าเก่าๆ ที่เด็กหนุ่มสวม ไม่เข้ากันเสียเลย
“ท่านเว่ย หรือเด็กคนนี้จะขโมยเงินมาจากโจรปิดตาขอรับ?” เหิงเจาถาม
“แค่ขโมยเงินคงไม่ไล่ตามฆ่ากันอย่างเอาเป็นเอาตายขนาดนี้กระมัง” เว่ยจ้งกล่าวเสียงราบเรียบ
เหิงเจาผงกศีรษะเล็กน้อย จากนั้นเปิดจดหมายแล้วอ่าน
จดหมายฉบับแรกคือแผนที่ไปเมืองซินหยาน เส้นทางเขียนได้อย่างชัดเจน คาดว่าคนเขียนต้องรู้จักทางไปเมืองซินหยานเป็นอย่างดี
จดหมายฉบับที่สอง เขียนด้วยลายมือที่หนักแน่น เนื้อหาบอกไว้ว่าเด็กหนุ่มต้องการที่พึ่ง และเขามีพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์เลยต้องการให้เข้าร่วมกองทัพ จึงขอฝากเด็กคนนี้ไว้กับแม่ทัพเสวี่ยหมิงด้วย
สรุปจากจดหมาย เด็กหนุ่มเดินทางไปเมืองซินเมือง เส้นทางไปที่นั่นต้องผ่านหมู่บ้านหลวง
รถขนเสบียงถูกโจมตีระหว่างทางกลับเมืองหลวงก่อนเด็กหนุ่มจะโผล่มา
เรื่องนี้เป็นได้ทั้งความบังเอิญ และความเข้าใจผิด
“ท่านเว่ยขอรับ!” เหิงเจาพลันเรียกเว่ยจ้งด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“ว่ามา”
“ดูเหมือนคนเขียนจดหมายทั้งสองฉบับนี้จะเป็น...จางไคเฮ่อ”
ทันทีที่ชื่อนั้นหลุดจากปาก เว่ยจ้งพลันผุดสีหน้าเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก
ตอนที่ตงตงถูกจับเข้าคุก เว่ยจ้งได้ฟังเรื่องราวก่อนที่พวกนางจะมาเมืองหลวง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
เด็กคนนั้นชื่อเหยียนหลิ่ว ชีวิตอาภัพ
ตงตงช่วยเด็กหนุ่มเท่าที่จะทำได้ จนนำไปสู่ความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์
ตระกูลจางปิดกิจการและย้ายมาที่เมืองหลวง
เหยียนหลิ่วคนนั้นหนีออกจากเมืองอู่เฉิงด้วยเหตุผลบางประการ
หากเด็กหนุ่มคนนี้คือเหยียนหลิ่ว นี่คงเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่โชคชะตา
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม