แชร์

บทที่ 62 รถขนเสบียงที่ถูกปล้น

ผู้เขียน: ฮาจิฮาจิ
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-21 17:22:03

บทที่ 62

รถขนเสบียงที่ถูกปล้น

            วันนี้ลูกค้าก็แน่นร้านเหมือนอย่างทุกที

            ฝั่งร้านค้าขายส่งก็มีออเดอร์เข้ามาเรื่อยๆ

            เรียกได้ว่าเป็นช่วงเฟื่องฟูของโรงเตี๊ยมตระกูลจางก็ว่าได้!

            ช่วงเย็นของวันหนึ่ง หลังจากลูกค้าคนสุดท้ายออกร้านแล้ว ทุกคนกำลังช่วยกันเก็บร้านและเช็ดโต๊ะ

            ตงตงดีดลูกคิดทำบัญชีรายวันที่โต๊ะคิดเงิน

            ประตูหน้าร้านยังไม่ทันจะปิด บนหน้าถนนก็เกิดเสียงเอะอะผสานกับเสียงฝีเท้าม้าควบผ่านหน้าร้านด้วยความเร็วรี่

            “หลบไป หลบไป!”

            “หลีกทางหน่อย!!”

            ด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกคนวิ่งออกมายืนดูเหตุการณ์ที่หน้าร้าน

            จังหวะนั้นเอง ทหารของสำนักราชองครักษ์หลวงที่กำลังเดินออกตรวจตราในช่วงเย็น จับกลุ่มซุบซิบกันข้างถนน

            “รถขนเสบียงของพี่เหิงนี่น่า?”

            พี่เหิงในที่นี้ก็คือเหิงเจา ชายร่างใหญ่หน้าโฉดที่เป็นลูกค้าขาประจำของโรงเตี๊ยมตระกูลจาง

            ราวๆ สองเดือนก่อน เหิงเจาคนนี้ขอเหมาไข่เยี่ยวม้าและกุนเชียงก่อนออกเดินทางไปส่งเสบียงให้กับหมู่บ้านหลวงทางเหนือ

            ตงตงจำได้แม่น

            “ไม่ผิดแน่ นั่นคือรถขนเสบียงของพี่เหิง” ชายคนหนึ่งยืนยัน

            “เขากลับมาแล้วหรือ คราวนี้กลับมาช้านะ” 

            “พวกเจ้าไม่คิดว่าแปลกๆ หรือ รถขนเสบียงกลับมาแค่คันเดียว ซ้ำยังเร่งรีบขนาดนั้น เกรงว่าจะมีคนเจ็บอยู่ในรถม้า แล้วก็…”

            ชายคนนั้นพูดไม่จบประโยคก็เม้มปากแน่นสนิท

            สักครู่หนึ่ง ชายอีกคนก็กล่าวว่า “ชาวบ้านปล้นรถขนเสบียงแบบนี้ทุกปี แต่จากสภาพรถม้าที่ยับเยิน ครั้งนี้น่าจะสาหัสมากทีเดียว”

            “ความอดอยากจากภัยแล้งช่างน่ากลัว ทำให้ชาวบ้านผลันตัวมาเป็นโจร”

            “นั่นสินะ” 

            พูดมาถึงตรงนี้ เหล่าทหารที่ยืนซุบซิบกันข้างถนน ต่างก็ทอดถอนใจออกมา

            คงเห็นว่าตงตงมองตามหลังรถม้าคันนั้นด้วยสายตาเป็นห่วง จางไคเฮ่อที่ยืนข้างๆ วางมือบนศีรษะเล็กๆ ของบุตรสาว ก่อนจะพูดขึ้น

            “เป็นเรื่องปกติกับรถขนเสบียงของราชสำนัก สมัยที่ข้าเป็นทหาร ก็เจอเหตุการณ์ปล้นเสบียงอยู่บ่อยครั้ง เหิงเจาคนนั้นวรยุทธ์ไม่เลว น่าจะไม่เป็นอะไร”

            ตงตงดึงสายตากลับมามองบิดา “ข้าก็แค่กลัวว่าจะไม่มีใครมาเหมาไข่เยี่ยวม้าเจ้าค่ะ”

จางไคเฮ่อส่ายหน้าพลางยิ้มน้อยๆ

            บุตรสาวของเขามักเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นเสมอ แม้ว่าคนคนนั้นจะเพิ่งเจอแค่ครั้งสองครั้ง

            …..

            …..

            ลานกว้าง หน้าสำนักราชองครักษ์หลวง

            ทันทีที่รถม้าจอดสนิท เหิงเจากระโดดลงจากห้องโดยสารของรถม้า เลิกม่านหลังรถขึ้นแล้วตะโกนว่า “มีคนเจ็บ!”

            เหล่าราชองครักษ์หลวงที่อยู่บริเวณนั้นช่วยกันหามคนเจ็บลงจากรถม้า เข้าไปรักษาในอาคารหลัง 

            ตอนที่กำลังนำคนเจ็บคนสุดท้ายออกมา

            ชายคนหนึ่งท้วงว่า “พี่เหิง นี่มันคนนอก?”

            “ข้ารู้ กฎของสำนักราชองครักษ์หลวงคือห้ามพาคนนอกเข้ามา แต่เด็กคนนี้เป็นข้อเว้น เขาช่วยข้าและคนอื่นๆ เจ้ารีบพาเขาเข้าไปรักษาเถอะ ข้าจะรายงานกับท่านเว่ยเอง” เหิงเจารัวเสียงพูด

            “ได้ขอรับ”

            เมื่อพาคนเจ็บทั้งหมดมายังหน่วยแพทย์ ซึ่งเป็นอาคารขนาดกลางที่อยู่ด้านหลังของอาคารใหญ่

            อาคารนี้เน้นการใช้งานเป็นหลักจึงไม่มีของตกแต่งมากนัก ข้าวของทุกชิ้นล้วนเรียบง่าย

            มิหนำซ้ำ ประตูและหน้าต่างก็เปิดกว้างเพื่อให้อากาศถ่ายเทอยู่ตลอด 

            ทหารหน่วยราชองครักษ์หลวงที่ร่วมเดินทางไปกับเหิงเจา หากนับรวมคนขับรถม้าแล้วมีทั้งสิ้น 10 คน

            แต่ที่กลับมามีเพียง 5 คน รวมเด็กหนุ่มแปลกหน้าอีก 1 คน

            คนหายไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว

            การปล้นครั้งนี้คงดุเดือดมากแน่ๆ 

            “รถม้าขนเสบียงถูกปล้นเป็นประจำทุกปี แต่ไม่เคยเกิดเหตุรุนแรงที่ทำให้มีคนตายหรือเจ็บสาหัสแบบนี้มาก่อน เหิงเจา เจ้าต้องเขียนรายงานส่งท่านเว่ยแล้วละ”

            ระหว่างกำลังรักษาคนเจ็บ แพทย์ประจำหน่วยกล่าวขึ้นมา

            “เข้าใจแล้ว” เหิงเจาตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

            “มา เจ้าเองก็ต้องรักษา”

            “อืม”

            เมื่อรักษาคนเจ็บเสร็จเรียบร้อย แพทย์ทุกคนกำลังเก็บเครื่องไม้เครื่องมือ ตอนนั้นเองเสนาธิการเว่ยจ้งก็เดินเข้ามา

            ทหารราชองครักษ์ที่อยู่ในห้อง รวมถึงผู้บาดเจ็บ ต่างประสานมือก้มศีรษะให้เว่ยจ้งเป็นการเคารพ 

            ยกเว้นแต่เพียงเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่นอนราบอยู่บนเตียงเพราะยังไม่ได้สติ

            เว่ยจ้งสั่งให้คนเจ็บนอนลงบนเตียงเหมือนเดิม แล้วเดินเข้ามายืนที่เตียงของเด็กหนุ่ม ใช้นิ้วอังใต้จมูกเพราะดูเหมือนหน้าอกของเด็กหนุ่มไม่ได้ขยับขึ้นลง เลยเข้าใจว่าไม่หายใจแล้ว

            แต่ความจริง เด็กหนุ่มยังหายใจอยู่

            “รายงานมา” เว่ยจ้งบอก

            “ข้าน้อยทำงานบกพร่อง ทำให้สหายล้มตายและบาดเจ็บจำนวนมาก ขอท่านเสนาธิการเว่ยโปรดลงโทษ”

            เหิงเจารีบคุกเข่าลงตรงหน้าเว่ยจ้งด้วยสำนึกผิด

            คณะการเดินทางครั้งนี้เหิงเจาเป็นหัวหน้า

            เมื่อผู้ร่วมเดินทางบาดเจ็บล้มตาย ผู้เป็นหัวหน้าต้องรับผิดชอบ

            “ลุกขึ้นมา สำคัญกว่าการลงโทษเจ้า คือต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้” เว่ยจ้งบอก  

            “ขอรับ”

            เหิงเจาลุกขึ้น ก่อนจะรายงานว่าระหว่างทางขนส่งเสบียงไปยังหมู่บ้านหลวง รถม้าขนเสบียงถูกปล้น 2 ครั้งทั้งขาไปและขากลับ

            ถูกปล้นรอบแรกไม่รุนแรงนัก เพราะโจรเหล่านั้นเป็นเพียงชาวบ้าน ใช้เครื่องมือทำเกษตรเป็นอาวุธ เหิงเจาและทุกคนจึงคุ้มกันเสบียงนำไปส่งหมู่บ้านหลวงได้อย่างลุล่วง

            ถูกปล้นรอบสองคือตอนขากลับ คราวนี้เป็นโจรมากฝีมือ อาวุธที่ใช้มีทั้งดาบและหน้าไม้

            เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ เว่ยจ้งขมวดคิ้วด้วยรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล

            ว่าตามตรง ขากลับจากส่งเสบียง ภายในรถม้าจะว่างเปล่า แม้แต่ชาวบ้านยังรู้กันดี ดังนั้นรถม้าขนเสบียงจะไม่ถูกปล้นรอบสอง

            ถ้าอย่างนั้นแล้ว…

            เว่ยจ้งหรี่ตามองมาที่เด็กหนุ่มหน้าตาคมคายที่ยังนอนหมดสติ  

            “เจ้าไปเจอเขาที่ไหน”

            “ในป่าทางแยกระหว่างหมู่บ้านหลวงกับทางไปเมืองซินหยานขอรับ เขาเข้ามาช่วยรถม้าของข้าน้อย”

            พื้นที่ทางเหนือส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบสูงและเต็มไปด้วยป่าทึบ จะมีเพียงถนนสายเล็กอันเป็นเส้นทางสำหรับให้รถม้าวิ่งผ่านเท่านั้น

            “อธิบายเหตุการณ์อย่างละเอียดอีกรอบ”

            เว่ยจ้งสั่งเช่นนั้น เหิงเจาก็อธิบายเรื่องราวทั้งหมดใหม่ กระทั่งมาถึงช่วงที่พบเจอเด็กหนุ่ม

            ตอนขากลับ เมื่อรถม้าขนเสบียงวิ่งมาถึงทางแยก จู่ๆ ก็มีลูกศรพุ่งเข้าใส่ จากนั้นโจรปิดหน้าจำนวน 5 คนก็เข้ามาโจมตีและทำลายรถม้า

            โจรกลุ่มนี้อาวุครบมือและโจมตีดุดัน แน่นอนว่าไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป แต่คล้ายกับทหารที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดี 

            ระหว่างที่ต่างฝ่ายต่างโรมรันกันอยู่นั้น เด็กหนุ่มคนนี้ก็กระโดดเข้ามา ช่วยเหิงเจาที่กำลังจะโดนดาบยาวเสียบทะลุท้อง

            ทุกอย่างวุ่นวายมากจนจับทางไม่ถูก

            รู้ตัวอีกที ตรงหน้าก็มีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ไม่เพียงทหารราชองครักษ์หลวง โจรพวกนั้นก็ตายไปสองคน  

            “นี่ไม่ใช่การปล้นขนเสบียง” เว่ยจ้งพึมพำหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดจบ 

            “ขอรับ?”

            เหิงเจาทำหน้าไม่เข้าใจ

            “แรกเริ่มโจรพวกนั้นพุ่งเป้ามาที่รถขนเสบียงใช่หรือไม่”

            “ใช่ขอรับ”

            “ข้าเดาว่าโจรพวกนั้นคงเข้าใจผิด คิดว่าพวกเจ้าให้เด็กคนนี้ซ่อนตัวในรถม้า”

            “ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นไปได้?” 

            “ตามหลักแล้ว แม้แต่โจรภูเขาก็ไม่ปล้นรถขนเสบียงที่ว่างเปล่า แล้วทำไมโจรกลุ่มนี้ถึงทุ่มสุดตัวจนทำให้พวกเดียวกันล้มตายเพียงแค่ปล้นรถม้าที่ว่างเปล่า ข้อสังเกตอีกอย่าง ตอนต่อสู้กัน พวกเจ้าสังเกตหรือไม่ โจรพวกนั้นพุ่งเป้ามาที่เด็กหนุ่มหรือพวกเจ้ากันแน่”

            สิ้นคำอธิบายของเว่ยจ้ง ทันใดนั้น เหิงเจาพลันแสดงสีหน้าเอะใจ

            “จริงด้วยขอรับ…พอเด็กคนนี้โผล่มา โจรพวกนั้นก็หันไปโจมตีเขาทันที หรือเด็กคนนี้จะขโมยของสำคัญมาจากพวกมัน...เด็กๆ ค้นตัว”   

            เมื่อได้รับข้อสรุป เหิงเจาสั่งลูกน้องให้ค้นบนตัวเด็กหนุ่ม

            เพียงครู่ ลูกน้องก็ชูกระดาษที่ยับยู่ยี่กับถุงเงินที่เปื้อนเลือด

            “เจอจดหมายกับถุงเงินขอรับ”

            “เอามาดูเร็ว”

            ในถุงเงินมีเงินจำนวนมาก เทียบกับเสื้อผ้าเก่าๆ ที่เด็กหนุ่มสวม ไม่เข้ากันเสียเลย

            “ท่านเว่ย หรือเด็กคนนี้จะขโมยเงินมาจากโจรปิดตาขอรับ?” เหิงเจาถาม

            “แค่ขโมยเงินคงไม่ไล่ตามฆ่ากันอย่างเอาเป็นเอาตายขนาดนี้กระมัง” เว่ยจ้งกล่าวเสียงราบเรียบ

            เหิงเจาผงกศีรษะเล็กน้อย จากนั้นเปิดจดหมายแล้วอ่าน 

            จดหมายฉบับแรกคือแผนที่ไปเมืองซินหยาน เส้นทางเขียนได้อย่างชัดเจน คาดว่าคนเขียนต้องรู้จักทางไปเมืองซินหยานเป็นอย่างดี 

            จดหมายฉบับที่สอง เขียนด้วยลายมือที่หนักแน่น เนื้อหาบอกไว้ว่าเด็กหนุ่มต้องการที่พึ่ง และเขามีพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์เลยต้องการให้เข้าร่วมกองทัพ จึงขอฝากเด็กคนนี้ไว้กับแม่ทัพเสวี่ยหมิงด้วย

            สรุปจากจดหมาย เด็กหนุ่มเดินทางไปเมืองซินเมือง เส้นทางไปที่นั่นต้องผ่านหมู่บ้านหลวง

            รถขนเสบียงถูกโจมตีระหว่างทางกลับเมืองหลวงก่อนเด็กหนุ่มจะโผล่มา

            เรื่องนี้เป็นได้ทั้งความบังเอิญ และความเข้าใจผิด

            “ท่านเว่ยขอรับ!” เหิงเจาพลันเรียกเว่ยจ้งด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

            “ว่ามา”

            “ดูเหมือนคนเขียนจดหมายทั้งสองฉบับนี้จะเป็น...จางไคเฮ่อ”

            ทันทีที่ชื่อนั้นหลุดจากปาก เว่ยจ้งพลันผุดสีหน้าเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก 

            ตอนที่ตงตงถูกจับเข้าคุก เว่ยจ้งได้ฟังเรื่องราวก่อนที่พวกนางจะมาเมืองหลวง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง

            เด็กคนนั้นชื่อเหยียนหลิ่ว ชีวิตอาภัพ

            ตงตงช่วยเด็กหนุ่มเท่าที่จะทำได้ จนนำไปสู่ความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์

            ตระกูลจางปิดกิจการและย้ายมาที่เมืองหลวง

            เหยียนหลิ่วคนนั้นหนีออกจากเมืองอู่เฉิงด้วยเหตุผลบางประการ

            หากเด็กหนุ่มคนนี้คือเหยียนหลิ่ว นี่คงเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่โชคชะตา

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • แม่ครัวแห่งยุคกับระบบร้านค้า    บทพิเศษ ความลับของตระกูลจาง

    บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ

  • แม่ครัวแห่งยุคกับระบบร้านค้า    บทส่งท้าย

    บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”

  • แม่ครัวแห่งยุคกับระบบร้านค้า    บทที่ 78 ขอแต่งงาน

    บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ

  • แม่ครัวแห่งยุคกับระบบร้านค้า    บทที่ 77 จู่โจมรวดเร็ว

    บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่

  • แม่ครัวแห่งยุคกับระบบร้านค้า    บทที่ 76 กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง

    บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที

  • แม่ครัวแห่งยุคกับระบบร้านค้า    บทที่ 75 คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ

    บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status