บทที่ 73
จริงๆ แล้วเถ้าแก่ใหญ่น่ะ….!
“พี่ชาย ขอซื้อลูกกวาดรสนมสองเม็ด!”
เด็กชายตัวอ้วนกมสองคนจูงมือกันมาหยุดที่หน้าร้านค้าส่งตระกูลจาง คนโตอายุแปดเก้าขวบ คนน้องอายุราวห้าขวบ พวกเขาชี้ไปที่โหลลูกกวาดที่วางเรียงกันหลายใบ
ในขณะนั้น จิ่งฝางถูกตงตงวานให้เอาสมุดบัญชีมาส่งหลงจู๊ชิวที่ทำงานอยู่ในร้านค้าส่ง พอได้ยินเสียงของเด็กน้อยตะโกนเรียก เขาจึงเดินออกมาขายลูกกวาดแทนอาเหมียว
อาเหมียวคือพนักงานคนใหม่ที่เพิ่งมาทำงานได้สี่ปี นางจะคอยเฝ้าหน้าร้านค้าส่ง
เหตุผลที่อาเหมียวไม่อยู่หน้าร้าน หากไม่ไปเข้าห้องน้ำ ก็คงคุยธุระอยู่กับหลงจู๊ชิวในห้องบัญชี
“สองเม็ด หนึ่งอีแปะ”
“นี่ เงิน” เด็กชายตัวอ้วนกลมคนพี่ยื่นเหรียญหนึ่งอีแปะให้กับจิ่งฝาง
จังหวะที่จิ่งฝางกำลังรับเงิน เสียงของจางไคเฮ่อดังขึ้น
“เดี๋ยวก่อน จิ่งฝาง”
“เถ้าแก่ใหญ่?”
ไม่ใช่แค่จิ่งฝางที่งุนงง เด็กน้อยตัวอ้วนกลมทั้งสองเอียงหัวทำหน้าสงสัยไม่ต่างกัน
“เจ้าหนู ชอบลูกกวาดรสผลไม้หรือไม่”
“ชอบขอรับ” เด็กทั้งสองตอบอย่างใสซื่อ
จางไคเฮ่อหยิบลูกอมรสผลไม้ออกมาสองเม็ดแล้วยื่นให้เด็กทั้งสอง
“เจ้าหนู ข้าแถมให้เจ้าอีกสองเม็ด”
ใบหน้ากลมป้อมของเด็กทั้งสองปรากฏรอยยิ้ม
“ขอบคุณขอรับ!”
“ค่อยๆ เดินละ เดี๋ยวล้ม”
“ขอรับ”
“บ้ายบ่าย”
ก่อนจะออกจากร้าน เด็กทั้งสองโบกมือให้จางไคเฮ่อ
จางไคเฮ่อยิ้มมองตามหลังเด็กน้อยตัวอ้วนกลมทั้งสอง
เห็นดังนั้น จิ่งฝางอดเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจไม่ได้
หลังจากงานหมั้นของตงตงกับเหยียนหลิ่ว รู้สึกว่าช่วงนี้เถ้าแก่ใหญ่จะยิ้มมากขึ้น
ในบางครั้งก็มายืนดูพวกเด็กๆ วิ่งเล่นกันบนท้องถนนแล้วอมยิ้มอยู่คนเดียว เหมือนกับสีหน้าของท่านปู่ผู้ใจดีที่กำลังมองหลานๆ
เอ๊ะ หรือว่า…
ยิ่งคิดจิ่งฝานก็ยิ่งสงสัย
ด้วยความอยากรู้ เขาจึงลองโยนหินถามทางด้วยการตั้งคำถาม
“ปกติแล้ว เถ้าแก่ใหญ่ไม่ค่อยชอบเสียงจอแจใช่หรือไม่ ทำไมวันนี้ท่านถึงออกมาที่หน้าร้านหรือขอรับ ท่านไม่รำคาญเด็กพวกนั้นแล้วหรือ”
จางไคเฮ่อหันขวับมองจิ่งฝาง ทั้งยังคิ้วขมวดเล็กน้อย
“ข้าพูดเมื่อไรว่ารำคาญพวกเด็กๆ กลับกัน พวกเขาน่าเอ็นดูออกจะตาย”
อ่า…น่าเอ็นดูสินะ
จิ่งฝางพยายามควบคุมสีหน้าแปลกใจกับคำตอบที่เกินความคาดหมาย
“ทำไมทำหน้าเช่นนั้น”
ตอนตั้งคำถามนั้น สีหน้าของจางไคเฮ่อกลับมาเคร่งขรึมเหมือนเดิม ผิดจากตอนที่อยู่ต่อหน้าเด็กๆ อย่างสิ้นเชิง
จิ่งฝางยังไม่ทันตอบ ตอนนั้นเอง เด็กหญิงและเด็กชายวัยสิบกว่าขวบพากันมาซื้อขนมที่หน้าร้าน
“เถ้าแก่ เอาคุกกี้ถั่วสองชิ้น”
แน่นอนว่า ครั้งนี้จางไคเฮ่อก็ยังแถมให้เด็กทั้งสองคนละชิ้น
“ขอบคุณเจ้าค่ะ/ขอบคุณขอรับ”
สีหน้าของจางไคเฮ่อเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“พวกเจ้าวิ่งเล่นกันดีๆ ระวังรถม้าด้วย”
“เจ้าค่ะ/ขอรับ”
“เถ้าแก่ใหญ่ ขายของแบบนี้ ร้านของเราก็ขาดทุนกันพอดีสิขอรับ” จิ่งฝางท้วง
“แถมนิดแถมหน่อย ทำเป็นงกไปได้”
“ข้ากำลังช่วยเถ้าแก่ใหญ่รักษาผลประโยชน์อยู่นะขอรับ” จิ่งฝางท้วงอีกครั้ง “อีกอย่าง เถ้าแก่ใหญ่อยากมีหลานใช่หรือไม่ ช่วงนี้ถึงได้ใจดีกับพวกเด็กๆ นัก เช่นนั้นทำไมไม่ให้ตงตงแต่งงานแทนที่จะหมั้นเล่าขอรับ ตงตงจะได้มีหลานให้ท่านอุ้มเร็วๆ”
“เจ้านี่นะ พูดมากเสียจริง ทุกอย่างต้องมีขั้นมีตอน”
“แหะๆ จริงด้วยขอรับ”
“ช่างเถอะ แทนที่จะห่วงข้า ห่วงตัวเองดีกว่า จิ่งฝางเอ๋ยจิ่งฝาง เจ้าน่ะอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ยังทำได้แค่แอบมอง ลูกจ้างร้านเถ้าแก่อู๋ ถ้าหากจริงใจกับนางจริงๆ ละก็ เดี๋ยวข้าออกหน้าสู่ขอให้ ว่ายังไงล่ะ!”
จิ่งฝางนั้นแอบชอบลูกจ้างร้านใบชาของร้านเถ้าแก่อู๋ ติดที่ใจไม่กล้า เลยได้แต่แอบมองหญิงสาวอยู่ห่างๆ
จางไคเฮ่อมองออกจึงได้พูดเรื่องนี้ออกมา
จิ่งฝางหัวเราะอย่างเก้อเขิน
“ขะ ข้าขอตัวไปทำงานต่อนะขอรับ”
“เฮ้อ…ใจฝ่อเสียจริง”
พอถูกพูดจี้ใจดำ จิ่งฝางก็รีบวิ่งปรู๊ดออกไป
ด้านจางไคเฮ่อได้แต่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
…..
…..
นับตั้งแต่สองหนุ่มสาวหมั้นหมายกัน
วันเวลาได้ล่วงเลยมาอีกหลายวัน
ระหว่างกำลังตรวจสอบเอกสารอยู่ในห้อง เหยียนหลิ่วถูกเว่ยจ้งเรียกพบอย่างเร่งด่วน
ทันทีที่มาถึง เหยียนหลิ่วพบว่าภายในห้องทำงานของเว่ยจ้งไม่ได้มีเพียงเขาเท่านั้น เหิงเจากับแม่ทัพฟางก็อยู่ที่นี่ด้วย
หลังจากทุกคนมากันครบ เว่ยจ้งหันหน้าไปบอกกับแม่ทัพฟางด้วยสีหน้าเคร่งเครียดทันที
“ในเมื่อคนมากันครบแล้ว แม่ทัพฟาง ท่านบอกสถานการณ์สงครามที่ชายแดนตะวันออกเถอะ”
แม่ทัพฟางมีนามเต็มๆ ว่าฟางอู่เซิง อายุเพียงยี่สิบแปดก็ขึ้นเป็นแม่ทัพ ปัจจุบันประจำการอยู่ที่เมืองหลวง นับว่าเป็นชายหนุ่มที่มีความสามารถคนหนึ่ง
ฟางอู่เซิงพยักหน้าให้กับเว่ยจ้ง ก่อนจะบอกเล่าสถานการณ์ชายแดนตะวันออก
“ขอรับท่านเสนาธิการ…ทุกท่านคงทราบสถานการณ์ของชายแดนตะวันออกดีอยู่แล้ว พวกเราทำสงครามกับชนเผ่าฮุยมาครึ่งปี แต่เมื่อสองวันก่อน คนส่งสารส่งข่าวมารายงานว่า เผ่าฮุยรุกคืบจนเกือบตีฐานที่ตั้งของเราสำเร็จ โชคดีที่แม่ทัพกู้พลิกแพลงสถานการณ์ ปกป้องป้อมปราการตะวันออกเอาไว้ได้ แต่ว่า…”
ฟางอู่เซิงเว้นช่วง ทั้งยังแสดงเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม
เหิงเจากับเหยียนหลิ่วรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ทั้งสองจึงทำหน้าเคร่งเครียดตามไปด้วย
ฟางอู่เซิงกล่าวต่อ “การรุกคืบของเผ่าฮุยครั้งนี้ ทำให้ทหารของฝ่ายเราบาดเจ็บล้มตายไปมาก ซ้ำยังเผาทำลายยุ้งฉางของเราสำเร็จ ป้อมปราการตะวันออกตอนนี้กำลังขาดแคลนอย่างหนัก ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเราได้เสียเมืองชายแดนตะวันออกเป็นแน่”
หกปีก่อน ทางเหนือรับศึกกับเผ่าหู่เยว่ แต่สถานการณ์ตอนนั้นไม่ได้รุนแรงมากนัก เพราะสุดท้ายข่าวที่ว่าแคว้นซีเป่ยร่วมมือกับเผ่าหู่เยว่ก็ไม่เป็นความจริง
หากทว่า
ยามนี้เกิดสงครามชิงดินแดนตะวันออก ฟังจากสถานการณ์แล้ว ฝ่ายเราเสียเปรียบเห็นๆ
แม้กู้เหว่ยเป็นแม่ทัพมากประสบการณ์ สั่งการอย่างเฉียบขาด แต่ชายคนนั้นอายุมาก กำลังกายย่อมถดถอย
ด้วยเหตุนี้ กู้เหว่ยจึงส่งฎีกามาขอกำลังเสริมอย่างเร่งด่วน
“เพราะอย่างนั้น ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ข้าเคลื่อนพลไปเป็นทัพเสริม ส่วนสำนักราชองครักษ์หลวง คุ้มกันเสบียงเดินทางไปพร้อมกับข้า”
“เข้าใจแล้ว” เหิงเจาตอบรับอย่างหนักแน่น
หกปีมานี้ ไม่เพียงเหยียนหลิ่วขึ้นมาเป็นหัวหน้าหน่วยจู่โจม เหิงเจาเองก็เลื่อนขั้นมาเป็นหัวหน้าหน่วยคุ้มกัน
สงครามชายแดนตะวันออกใหญ่หลวงนัก การส่งเหิงเจาไปคุ้มกันเสบียงเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง
แต่ว่า…เหยียนหลิ่วเป็นหัวหน้าหน่วยจู่โจม ให้เขาเดินทางไปด้วย เดาว่าเขาคงได้รับมอบหมายหน้าที่อื่น
คิดจบ เหยียนหลิ่วพลันเอ่ยถาม
“ท่านเว่ย แม่ทัพฟาง พวกท่านเรียกข้ามาด้วย หน้าที่ของข้าคงไม่ใช่แค่คุ้มกันเสบียงใช่หรือไม่”
“ถูกต้อง” แม่ทัพฟางกล่าว
“เช่นนั้น…?” เหยียนหลิ่วถาม
“เจ้าได้มอบหมายให้ลอบสังหารแม่ทัพฝ่ายศัตรู” แม่ทัพฟางกล่าวเสียงเรียบ ทว่าแววตากลับเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ก่อนมาที่นี่ ทุกฝ่ายได้หารือกันเป็นที่เรียบร้อย ผู้ที่เหมาะสมทำหน้าที่สำคัญในครั้งนี้ก็คือเหยียนหลิ่ว
หกปีมานี้ ทักษะและพัฒนาการของเหยียนหลิ่วก้าวกระโดด ความสามารถอยู่ในจุดที่เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือ
ไม่อย่างนั้น เด็กที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งจะขึ้นมาเป็นหัวหน้าหน่วยจู่โจมโดยใช้เวลาแค่หกปีได้เชียวหรือ
เพราะเชื่อมั่นในฝีมือของเหยียนหลิ่ว ทั้งเว่ยจ้งทั้งฟางอู่เซิงจึงให้เขารับหน้าที่อันแสนสำคัญ
เหยียนหลิ่วไม่ลังเล ประสานมือตอบรับ
“ขอรับ!”
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม