ทั่วหมู่บ้านหลี่ ไร้เงามนุษย์แม้แต่คนเดียว! กองทัพพันธมิตรยืนมองด้วยความไม่อยากจะเชื่อ แววตาของฮ่องเต้เยี่ยนคมกริบ พลางสั่งให้นำตัวทหารที่รอดชีวิตมาพบ ทหารแม้ถูกธนูยิง ก็ต้องถูกลากตัวมาสอบสวนอย่างน่าเวทนา เขาคุกเข่าลงกับพื้น พลางรายงานอย่างหนักแน่น “ฝ่าบาท เป็นตรงนี้พ่ะย่ะค่ะ! พวกเราถูกซุ่มโจมตีกันตรงนี้!” ฮ่องเต้เยี่ยนอยู่บนหลังอาชา ทอดสายตามองไปข้างหน้าอย่างเย็นชา “สถานที่แห่งนี้ ไม่มีแม้แต่ผีสาง!” ทหารสอดแนมที่ออกไปสำรวจก่อนหน้านี้ก็ถูกนำตัวมาด้วย “ฝ่าบาท เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ ก่อนหน้านี้ยังมีชาวบ้านอยู่มากมาย!” ฮ่องเต้เยี่ยนกุมสายบังเหียนไว้แน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน “ไปค้นหาต่อ!” เหล่าทหารออกตรวจค้นทั่วหมู่บ้านหลี่ กลับไม่พบชาวบ้านแม้แต่คนเดียว รวมถึงทหารที่เสียชีวิตในการถูกซุ่มโจมตี ก็ไม่รู้ว่าถูกลากศพไปไว้ที่ใด หมู่บ้านหลี่แห่งนี้เปรียบเสมือนยมโลก เอ่อล้นด้วยพลังงานหยิน หิมะเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ ปกคลุมพื้นดินอย่างสมบูรณ์ ม่านตาของฮ่องเต้เยี่ยนฉายแววแดงฉานดุจเลือด แสดงถึงความกระวนกระวาย “เดินทัพต่อไป!” ตลอด
กองทัพพันธมิตรสี่แคว้นต้าเซี่ยโจมตีเมืองม่อ ทว่าต้องตกตะลึง เมื่อเห็นว่าเมืองม่อไม่ต่างจากด่านเฉาอวี๋ ที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน ซ่านชุนรู้สึกเหลือเชื่อ ในระยะเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ ชาวบ้านจักหนีไปที่ไหนได้? หรือทุกคนหนีไปอยู่ที่กานโจวหมดแล้ว? ทหารสอดแนมวิ่งเข้ามา “รายงาน! ท่านแม่ทัพ เมืองม่อไม่มีทหารรักษาเมืองเลยขอรับ!” กองทัพใหญ่ตรวจค้นเมืองม่อหลายครั้ง ยังไม่พบเงาร่างของใครจริง ๆ ไม่มีแม้แต่สุนัข! เดิมเมืองม่อมีประชากรจำนวนมาก กลับกลายเป็นเมืองผี กองทัพพันธมิตรประจำการอยู่ที่นี่ ในยามค่ำคืน ลมหนาวส่งเสียงหวีดหวิว เสมือนผีร้ายคร่ำครวญ เหล่าทหารจุดไฟตั้งหม้อ คิดจะทำอาหารกินบ้าง กลับพบว่า เหลือเสบียงไม่เพียงพอ ในกระโจมหลัก เหล่าขุนพลทำหน้านิ่วคิ้วขมวด พลางมองไปที่ซ่านชุน คาดหวังให้เขาตัดสินใจ “แม่ทัพซ่าน ชาวฉีเจ้าเล่ห์มาก! พวกเราพบเมืองร้างสองเมืองติดกัน ทำให้ขวัญกำลังใจถดถอยลง เดิมคิดว่าจะสามารถทำศึกเลี้ยงศึกได้ หากพิชิตเมืองได้ จักมีเสบียง ทว่าผลลัพธ์...” “ท่านแม่ทัพ ข้าคิดว่า อย่ารั้งอยู่นานเลยขอรับ!” “พรุ่งนี้ยังจ
ในกระโจมทหาร รุ่ยอ๋องเผยไหล่ครึ่งหนึ่ง มีหมอทหารช่วยขับพิษให้เขา หมอทหารถือมีดคมกริบ รุ่ยอ๋องกัดม้วนผ้าไว้ในปาก ดูเหมือนจะต้องเผชิญความเจ็บปวดมาก นางจึงเอ่ยถามทันที “มิใช่ดึงลูกศรพิษออกมาแล้วหรือ? นี่กำลังจะทำอันใด?” องครักษ์หลิวหวาตอบกลับ “หมอทหารกล่าวว่า ต้องเฉือนเนื้อเพื่อขับพิษขอรับ” ครั้นหร่วนฝูอวี้ได้ยินเช่นนี้ พลันหัวเราะออกมา “เฉือนเนื้อ? ข้าว่า หมอทหารคนนี้จะเป็นสายลับจากแคว้นศัตรูเสียแล้วกระมัง?” เมื่อหมอทหารได้ยินดังนั้น พลันหยุดชะงักมือที่เคลื่อนไหวลง พระชายารุ่ยอ๋องผู้นี้ จักเอ่ยโจมตีใส่ร้ายคนอื่นอย่างชั่วช้าได้อย่างไร! รุ่ยอ๋องเงยหน้าขึ้นมองนาง เนื่องจากมีม้วนผ้าอยู่ในปาก จึงใช้สายตาเตือนนาง——พูดให้น้อยลง หร่วนฝูอวี้เดินตรงเข้าไป หลังจากเบียดหมอทหารลุกออกไปแล้ว จึงก้มลงมองดูบาดแผลบนไหล่ของรุ่ยอ๋อง บาดแผลลึกมาก และการดึงลูกศรพิษออกทำให้เนื้อหนังปริแตกออก แถมฤทธิ์ของพิษทำให้บาดแผลเป็นสีดำ ช่างน่าตกใจ หากเป็นสตรีทั่วไปได้เห็นบาดแผลเช่นนี้ ย่อมอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอย่างหวาดกลัว หร่วนฝูอวี้แตกต่างโดยสิ้นเชิง นางเดาะ
กองทัพพันธมิตรต้าเซี่ยยึดเมืองม่อได้แล้ว พลันเร่งเคลื่อนทัพไปยังเมืองเซวียน โดยมิหยุดพัก ในหมู่ขุนพล มีผู้ที่ระมัดระวังและช่างสงสัย “แม่ทัพซ่าน พวกเราบุกโจมตีหนานฉีครานี้ ราบรื่นไปเสียทุกอย่าง เกรงว่าหนานฉีจะหลอกลวง และสร้างแนวป้องกันไว้ในเมืองเซวียนแล้ว” ซ่านชุนก็ตระหนักถึงข้อสันนิษฐานนี้เช่นกัน กระนั้น เท่าที่เขารู้คือ กองทัพตงจิ้งล้วนอยู่ในกานโจว เขาหาใช่คนโง่เขลาไม่ ถึงแม้จะนำกองทัพไปที่เมืองเซวียน แต่ก็ทิ้งกองทหารบางส่วนไว้ข้างหลัง เพื่อให้ไปที่กานโจวและแสร้งโจมตี จุดประสงค์ของการปิดล้อมที่แท้จริง เพื่อกักอาณาเขตกองทัพตงจิ้งไว้ ต่อให้เมืองเซวียนจะมีอุบาย ทว่าด้วยกองทัพจำนวนนับแสนนาย รวมกับกองทัพพันธมิตรทางเหนืออีกหลายแสน ยังจะยึดเมืองเซวียนเล็ก ๆ นั้นไม่ได้อีกหรือ? ขุนพลที่เอ่ยเตือนยังคงลังเลใจ เขาเสนอแนะ “ลองคิดดูแล้ว มักจะรู้สึกว่าหนานฉีพยายามล่อลวงศัตรูให้ถลำลึก แม่ทัพซ่าน พวกเราควรจะปฏิบัติตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ กลับไปควบคุมกองทัพตงจิ้งดีกว่า...” ซ่านชุนหมดความอดทนแล้ว “ล่อศัตรูให้ถลำลึก? หนานฉีต้องโง่เขลาเพียงใด ถึงกล้าใช
หนานเจียง รุ่ยอ๋องได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ หร่วนฝูอวี้คอยอยู่ข้างกายเขา และแสร้งทำเป็นคู่รักยามที่อยู่ข้างนอก เมื่อเข้าสู่กระโจมใหญ่ของค่ายทหาร คนทั้งสองพลันแบ่งแยกเขตแดน ต่างฝ่ายต่างไม่อยากสนทนากัน หร่วนฝูอวี้กินมื้อเย็นอย่างอิ่มหนำ หน้าท้องจึงนูนออกมา จู่ ๆ เกิดอาการปวดท้อง ทำให้นางต้องก้มเอวลง เหตุการณ์นี้ตกอยู่ในสายตาของรุ่ยอ๋อง จึงรีบเข้ามาประคองนางไว้ด้วยความกังวล “หลิวหวา! รีบไปตามหมอทหารมา!” เขากังวลว่าจะเกิดความผิดปกติกับทารกในครรภ์ หร่วนฝูอวี้รู้ดีว่า นางแค่กินอิ่มเกินไป “ไม่ต้อง! ข้าไม่เป็นไร” นางสบายดีมาก การตั้งครรภ์เท็จจากวิชาไสยเวท ส่งผลให้ระยะนี้ “ทารกในครรภ์” ไม่มั่นคงมากขึ้นเรื่อย ๆ หากเรียกหมอทหารมาตรวจ นางกลัวว่าความลับจะถูกเปิดเผย รุ่ยอ๋องเห็นว่านางสงบลงแล้ว จึงช่วยประคองให้นางนั่งบนเตียง ทั้งที่ยังกังวลอยู่ “เด็กเป็นอย่างไรบ้าง?” เขาจ้องมองไปที่หน้าท้องนูน ๆ ของนาง ผู้หญิงร่างผอมบาง มักจะเห็นการตั้งครรภ์ไม่ชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นระยะนี้หร่วนฝูอวี้ชอบสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ และยังไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้ เขาจึงไม่รู้จริง
เดิมรุ่ยอ๋องคิดว่า การที่กองกำลังพันธมิตรเผ่าสุยเหอถอนทัพ เป็นกลอุบาย ทว่าหลังจากลาดตระเวนยามค่ำคืน พวกเขาถอนทัพครั้งนี้ ราวกับรีบหลบหนี จนไม่มีเวลาหยิบหม้อไหกระทะ และกองไฟยังไม่ดับด้วยซ้ำ ครั้นได้สอบถามเพิ่มเติมจึงพบว่า กองกำลังพันธมิตรเผ่าสุยเหอได้ยินข่าวลือเรื่องขุมทรัพย์เมืองเซวียน จึงเร่งรีบถอนทัพทันที เรื่องเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน รุ่ยอ๋องจึงมิรู้ว่าจะรับมืออย่างไรดี กองทัพศัตรูถอนทัพหมดแล้ว เขายังจะต้องปักหลักพิทักษ์ต่อไปหรือไม่? อีกด้านหนึ่ง กองกำลังพันธมิตรเผ่าสุยเหอที่มุ่งหน้าไปทางเหนือมีความรีบร้อนอย่างมาก เหล่าทหารเคลื่อนพลฝ่าลมหิมะ ใบหน้าดุร้าย ทหารม้ากองหน้าตะโกนปลุกเร้า “ท่านแม่ทัพมีคำสั่ง! เร่งเดินหน้าให้เร็วขึ้น!” เหล่าทหารรู้สึกน่าสังเวช “เร่งรีบแล้วอย่างไร สุดท้ายขุมทรัพย์ก็มิใช่ของพวกเราอยู่ดี หาเรื่องลำบากไปไย!” “ถูกต้องอย่างที่ว่า! ทันทีที่ได้ยินเรื่องศิลาหยกกับขุมทรัพย์ในเมืองเซวียน ก็รีบแตกค่ายกลางดึก อันที่จริงมีสมบัติก็มีแค่นั้น ศิลาหยกก็มีเพียงแผ่นเดียว แล้วมันจะมาอยู่ในมือพวกเราได้อย่างไร?” “เจ้าจะพูดอ
ไม่กลัวศัตรูที่เก่งกาจ กลัวแต่เพื่อนร่วมงานที่โง่เขลา ถึงแม้ซ่านชุนจะต้องการศิลาหยกของหนานฉีมากเพียงใด ก็ยังตระหนักถึงความสำคัญในหน้าที่ของแต่ละคน เขาเป็นผู้ที่บุกยึดด่านเฉาอวี๋ได้ และบุกเข้าสู่หนานฉีอย่างสง่าผ่าเผย กองกำลังพันธมิตรเผ่าสุยเหอคืออะไร? ไม่สามารถโจมตีเอาชนะได้ กลับจะมาเอาเปรียบกองทัพพันธมิตรตะวันออกของพวกเขา โดยไม่ลงแรงสักนิด! เมื่อคิดเช่นนี้ ซ่านชุนยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก ทว่าคนเหล่านั้นมุ่งตรงมาที่นี่แล้ว มิอาจขับไล่ออกไปได้ เขาทำได้แค่ออกคำสั่ง “ทุกคนจงฟัง แม้จะไม่กินไม่ดื่ม ก็ต้องเร่งรีบออกเดินทาง เพื่อให้แน่ใจว่าจะไปถึงเมืองเซวียนก่อนแคว้นอื่น!” “ขอรับ!” …… กานโจว กองทัพพันธมิตรของต้าเซี่ยล้อมรอบเมือง พลางจ้องมองไปที่กองทัพตงจิ้งของหนานฉี หารู้ไม่ว่า เฟิ่งจิ่วเหยียนได้นำกองทัพใหญ่ออกไปแล้ว ผ่านช่องทางลับ “ใยแมงมุม” โดยเหลือเพียงคนกลุ่มเล็ก ๆ ไว้ เพื่อสร้างภาพลวงว่ากานโจวเต็มไปด้วยกองกำลังทหาร ที่ตอบโต้ศัตรูได้ ช่องทางลับใต้ดินนี้ ส่วนใหญ่เป็นเส้นทางตรง กองทัพตะวันออกจึงเดินทางมาถึงเมืองม่อแล้ว ที่นี
ข้างนอกเมืองเซวียน ลมเย็นหนาวเหน็บ เหล่าทหารหนานฉีนับแสนถืออาวุธต่าง ๆ ในมือ พร้อมร้องเพลงของทหารเสียงนั้นกึกก้องดังสนั่นทั่วเมืองเซวียน ราวกับสัตว์ร้ายยักษ์ถูกกักขัง อดใจรอไม่ไหวที่จะหลุดออกจากกรง ส่งเสียงคำรามกึกก้อง แผ่นดินเมืองเซวียนถึงกับสั่นสะเทือนเฟิ่งจิ่วเหยียนขี่ม้าศึก ภายใต้ชุดเกราะ ร่างกายเปี่ยมไปด้วยพลังอันยิ่งใหญ่นางมองกำแพงเมืองตรงหน้าอย่างเยือกเย็นกลกลอนปิดตายของประตูได้ทำงาน คนที่อยู่ข้างใน ใครก็ล้วนหนีไม่พ้น...บนหอประตูเมืองซ่านชุนจมอยู่ในความตกตะลึง เป็นเวลานานจึงได้สติกลับมาสีหน้ารองขุนพลด้านข้างเขา ต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน“ท่านแม่ทัพ นั่นล้วนเป็นกองทัพตงจิ้ง เหตุใดพวกเขาถึง...มาปรากฏในเมืองเซวียน? !”หรือว่าบินมา?ฮ่องเต้เยี่ยนได้ยินว่าข้างนอกมีกองทัพตงจิ้ง ก็กราดเกรี้ยวทันที ยกมือคว้าจับคอเสื้อซ่านชุน เอ่ยถามอย่างโกรธจัด“เจ้าบอกว่า กองทัพตงจิ้งถูกขังอยู่ในกานโจว ออกมาไม่ได้ไม่ใช่หรือ!“เกิดอะไรขึ้นกับคนพวกนี้!“ซ่านชุน นี่คือผลงานของเจ้า! !”ซ่านชุนใจคอไม่ดี พูดอะไรไม่ออกในทันทีกองทัพพันธมิตรเผ่าสุยเหอที่อยู่ข้างหลัง ฉวยโอกาสซ้ำเติม หัวเราะเย้ย
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้